บทที่ 36 สายเลือดเทพปีศาจ ศิษย์ขอมอบโอกาสให้

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 36 สายเลือดเทพปีศาจ ศิษย์ขอมอบโอกาสให้
“คุณสมบัติเช่นนี้ของข้าไม่อาจตามศิษย์น้องได้ทันหรอก”

ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ทอดถอนใจกล่าว พูดมาถึงจุดนี้ นางก็รู้สึกว่าจิตใจหนักอึ้ง

นางคู่ควรกับหานเจวี๋ยจริงๆ หรือ

ลำพังแค่ในสำนักฝ่ายใน นางก็มีคู่แข่งตั้งสองคนแล้ว

พรสวรรค์ของโม่จู๋ก็สูงกว่านาง

หานเจวี๋ยกล่าวปลอบใจว่า “แน่นอนว่าท่านไม่อาจตามข้าได้ทัน ท่านเพียงแต่ต้องพยายามฝึกฝนให้เต็มที่ การมีอายุยืนยาวถึงจะเป็นจุดประสงค์หลักในการบำเพ็ญของข้า”

ฉางเยวี๋ยเอ๋อร์ได้ยิน ก็รู้สึกกลัดกลุ้มมากกว่าเดิม

จากนั้นฉางเยวี่ยเอ๋อร์ก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักช่วงนี้

เจ้าสำนักพาศิษย์สิบยอดเขาไปโจมตีลัทธิมารฟ้ามืด เหลือแปดยอดเขาไว้ตั้งมั่นคุ้มกันสำนัก

หลังจากถูกลัทธิมารฟ้ามืดโจมตี บรรยากาศการฝึกฝนในสำนักดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก บรรดาศิษย์ต่างก็ตระหนักถึงวิกฤตที่เกิดขึ้น

โจวฝานบรรลุระดับสร้างฐานขั้นเก้าแล้ว เตรียมพร้อมฝ่าด่านเคราะห์สำเร็จระดับรวมแก่นปราณ

สำนักหยกพิสุทธิ์มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนบำเพ็ญพรต ในแง่ของชื่อเสียง มีแนวโน้มว่าจะเป็นผู้นำสำนักสายหลัก ส่วนด้านกำลังนั้นไม่แน่นอน

ชื่อเสียงของผู้อาวุโสสังหารเทพก็เลื่องลือไปทั่วแดนบำเพ็ญพรต

แม้ว่าหานเจวี๋ยไม่อยากเป็นที่สนใจ แต่ศึกครั้งนี้ก็ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา

หลังจากยุ่งวุ่นอยู่สองชั่วยาม ฉางเยวี่ยเอ๋อร์ถึงจากไป

หลังจากค่ายกลรวมวิญญาณเปิดออก พลังวิญญาณในถ้ำเทวาก็เริ่มหนาแน่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

‘ดูเหมือนว่าสถานะของสำนักก็สำคัญเป็นอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อความเร็วในการฝึกฝนของข้าได้’

หานเจวี๋ยคิดเงียบๆ

ภายหลังต้องไปขอโอสถกับหลี่ชิงจื่อสักหน่อย

ไม่นานหลังจากนั้น หานเจวี๋ยก็ฝึกฝนต่อ

……

ครึ่งปีต่อมา

ข้อความแจ้งเตือนปรากฏขึ้นตรงหน้าหานเจวี๋ย

[ลัทธิมารฟ้ามืดเลิกระรานสำนักหยกพิสุทธิ์ ท่านได้รับอาวุธเวทหนึ่งชิ้น เคล็ดวิชาเวทหนึ่งเล่ม]

[ยินดีด้วย ท่านได้รับเชือกพันธนาการปีศาจและมหาวายุอัสนี]

[เชือกพันธนาการปีศาจ: มีผลลัพธ์ในการพันธนาการที่ทรงพลัง สามารถพันธนาการสิ่งชีวิตทั้งหมดที่ต่ำกว่าระดับเปลี่ยนวิญญาณ ทำให้สิ่งนั้นเคลื่อนไหวไม่ได้]

[มหาวายุอัสนี: วิชาเวทสายอัสนี สามารถกระตุ้นพลังวิญญาณอัสนีในฟ้าดิน สำแดงวายุอัสนีที่มีพลังราวกับทำลายล้างโลก รัศมีการทำลายล้างกว้างมาก]

ในที่สุดลัทธิมารฟ้ามืดก็ยอมแพ้

จำต้องบอกเลยว่า พวกเขาเองก็ทรหดมาก แม้โดนกำราบจนต้องหนีกลับบ้านเก่า ก็ยังกล้าที่จะวางแผนล้างแค้น

ดูจากสถานการณ์เช่นนี้แล้ว ลัทธิมารฟ้ามืดกำลังจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อ

ต่อจากนี้ไป แดนบำเพ็ญพรตต้าเยี่ยนจะไม่มีลัทธิมารฟ้ามืดอีก

หานเจวี๋ยยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มทำให้เชือกพันธนาการปีศาจรับตนเองเป็นเจ้านาย

แล้วจึงค่อยสืบทอดมหาวายุอัสนี

มหาวายุอัสนีเป็นวิชาเวทที่มีรัศมีทำลายล้างกว้าง เหมาะกับหานเจวี๋ยมาก

เขาชอบวิชาเวทที่ยิ่งใหญ่อลังการเช่นนี้

ความหล่อเท่นับเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต

ในคืนวันนั้น

เมฆอัสนีรวมตัวกันเหนือสำนักหยกพิสุทธิ์ พลังอันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมทั้งสิบแปดยอดเขา จนผู้คนทั้งหลายรู้สึกหวาดผวา

“ลัทธิมารฟ้ามืดลอบมาโจมตีพวกเราอีกแล้วหรือ”

“ลัทธิมารฟ้ามืดไม่มีอยู่แล้วนี่!”

“หรือจะเป็นสำนักสายมารอื่น?”

“อาจจะเป็นไปได้ อย่างไรเสียลัทธิมารฟ้ามืดก็ไม่นับว่าแข็งแกร่งที่สุดในสายมาร”

“เตรียมตัวรับศึก!”

……

ศิษย์แปดยอดเขาที่ตั้งมั่นอยู่ในสำนักตึงเครียดเป็นอย่างมาก แม้แต่บรรดาผู้อาวุโสก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ไม่นานเหล่าผู้อาวุโสก็ค้นพบพลังวิญญาณที่มาจากถ้ำเทวาของหานเจวี๋ย เมฆอัสนีที่ปั่นป่วนอยู่บนฟ้าไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรให้กับสำนักฝ่ายใน

หรือว่าเขากำลังฝึกฝนวิชาเวท?

ชิ…

บรรดาผู้อาวุโสยิ่งรู้สึกยำเกรงหานเจวี๋ยมากขึ้นไปอีก

เมฆอัสนีบนฟ้าสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว สำนักหยกพิสุทธิ์กลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ไม่นานนัก ไม่รู้ผู้อาวุโสท่านใดที่เปิดเผยว่าภาพปรากฏการณ์ประหลาดเมื่อครู่นั้นเกิดเพราะผู้อาวุโสสังหารเทพกำลังฝึกวิชาเวท

เมื่อเรื่องนี้เล่าลือออกไป ศิษย์สำนักหยกพิสุทธิ์รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาก

หลังจากศึกใหญ่เมื่อหลายปีก่อนสิ้นสุดลง ผู้อาวุโสสังหารเทพก็กลายเป็นที่พึ่งทางจิตใจที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขา

ขอเพียงมีผู้อาวุโสสังหารเทพอยู่ จะไม่เกิดเรื่องกับพวกเขาอย่างแน่นอน!

……

สองปีต่อมา

ตบะของหานเจวี๋ยยังคงอยู่ที่ปรานก่อกำเนิดขั้นสอง เข้าใกล้ขั้นที่สามแล้ว

ความเร็วระดับนี้นับว่าสูงมากแล้ว ตั้งแต่หานเจวี๋ยเข้าสำนักฝ่ายในมา ตบะของผู้บำเพ็ญระดับปราณก่อกำเนิดที่อยู่ในค่าความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลต่างก็ยังไม่เพิ่มขึ้น

หานเจวี๋ยนับว่าพอใจกับความก้าวหน้าของตนเองมาก

ถึงอย่างไรเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ได้แปดร้อยกว่าปี การทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว

“ผู้อาวุโสหานพอจะมีเวลาว่างหรือไม่”

มีเสียงดังมาจากนอกถ้ำเทวา

เป็นเสียงของหลี่ชิงจื่อนั่นเอง

หานเจวี๋ยพลันโบกมือเปิดประตูถ้ำเทวา ให้หลี่ชิงจื่อเข้ามาด้านใน

สีหน้าของหลี่ชิงจื่อเต็มไปด้วยความปลื้มปีติ ช่วงนี้สำนักหยกพิสุทธิ์ยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม เขาที่เป็นเจ้าสำนักย่อมได้หน้าได้ตากว่าใครๆ

เขาเดินเข้ามา สังเกตดูถ้ำเทวาฟ้าประทานแห่งนี้แล้วกล่าวยิ้มๆ ว่า “สำหรับผู้อาวุโสหานแล้ว ถ้ำเทวาแห่งนี้ออกจะเล็กไปสักหน่อย ต้องการไปฝึกฝนที่ยอดเขาหลักหรือไม่”

หานเจวี๋ยส่ายหน้ากล่าว “ไม่จำเป็น ข้าคุ้นชินกับการอยู่ที่นี่แล้ว”

เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของผู้อื่น มีคนกำลังรออยู่นอกถ้ำ ตบะอ่อนแอมาก ดูเหมือนจะเพิ่งขั้นสร้างฐาน

[ตรวจสอบพบผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิด จะตรวจสอบที่มาหรือไม่]

อักขระแถวหนึ่งปรากฏขึ้นมาตรงหน้าหานเจวี๋ย เขารีบตรวจสอบทันที

[หยางเทียนตง มีสายเลือดเทพปีศาจแฝงอยู่ เกิดมาเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ คุณสมบัติเลิศล้ำ แต่วัยเยาว์เคยสูญเสียการควบคุมจนกลายเป็นปีศาจ และทำร้ายคนร่วมสำนัก จึงถูกลัทธิมารฟ้ามืดคุมขัง โชคดีที่สำนักหยกพิสุทธิ์ช่วยไว้ได้]

หือ?

มาแบบตัวเอกอีกแล้วหรือ

ลัทธิมารฟ้ามืดช่างร้ายกาจจริงๆ!

คิดไม่ถึงว่าจะซ่อนผู้มีดวงชะตาแต่กำเนิดไว้ถึงสองคน!

ทว่าพอคิดอีกที สำนักหยกพิสุทธิ์เองก็มีสองคนเหมือนกัน

แท้จริงมีอัจฉริยะอยู่ไม่น้อย แต่ว่าอัจฉริยะที่สามารถอยู่ได้นานกลับน้อยมาก

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่ฝืนใจแล้ว ผู้อาวุโสหานประสงค์สิ่งใดก็เอ่ยออกมาได้เลย ข้าไปทักทายผู้อาวุโสทั้งหมดแล้ว เรื่องเล็กของท่านก็คือเรื่องใหญ่ของสำนักหยกพิสุทธิ์” หลี่ชิงจื่อกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ

หานเจวี๋ยยิ้มบอกว่า “ขอบคุณความปรารถนาดีของเจ้าสำนักมาก”

แม้ว่าเขาจะเหนือกว่าทุกคนในสำนักหยกพิสุทธิ์แล้ว แต่เขาไม่ได้ยกตนข่มท่าน เพราะเขายังอยากอยู่ในสำนักหยกพิสุทธิ์ต่อ

ตอนนี้ก็ดีมากแล้ว

“จริงสิ ผู้อาวุโสหานอยากจะรับศิษย์หรือไม่ ปกติชี้แนะสักหน่อยก็พอแล้ว เด็กคนนี้มีคุณสมบัติดีเยี่ยม ภายภาคหน้าเติบโตไปสามารถแทนคุณท่านได้” หลี่ชิงจื่อถามด้วยรอยยิ้ม

เขาหันหน้ามองไปยังปากถ้ำ และกวักมือเรียกหยางเทียนตงเข้ามา

ดูไปแล้วหยางตงเทียนมีอายุราวยี่สิบต้นๆ เครื่องหน้าทั้งห้าเด่นชัด แม้จะไม่นับว่ารูปงาม แต่ก็ถือว่าพอดูได้ บนร่างของเขามีลักษณะของปีศาจที่ชัดเจนมาก ชุดคลุมสำนักหยกพิสุทธิ์ที่สวมใส่อยู่แลดูไม่เข้ากับเขาสักเท่าใด

เขาเดินมาคุกเข่าตรงหน้าหานเจวี๋ย ท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนมาก

หานเจวี๋ยคิดจะปฏิเสธตามจิตใต้สำนึก

แต่พอนึกๆ ดูแล้ว การบ่มเพาะลูกศิษย์ก็ไม่เลว ภายหน้าเติบโตไปก็ให้เป็นผู้ช่วยของเขาได้

“รับศิษย์น่ะได้ แต่ว่าวิชายุทธ์ของสำนักหยกพิสุทธิ์จำต้องให้เขาเลือกเอง ข้าจะรับผิดชอบแค่ถ่ายทอดวิชาเวทและพลังวิเศษเท่านั้น” หานเจวี๋ยกล่าวพึมพำ

หลี่ชิงจื่อยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องวิชายุทธ์ไม่มีปัญหา แต่ก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่ศิษย์ของสำนักหยกพิสุทธิ์ ข้ามอบวิชายุทธ์ของสำนักฝ่ายในให้เขาได้ แต่สุดยอดวิชาจำเป็นต้องให้เขาสร้างผลงานสะสมคุณูปการถึงจะได้ไป”

“อืม”

หลี่ชิงจื่อนำป้ายคำสั่งออกมากองหนึ่ง ด้านบนนั้นมีอักขระคำว่า ‘สังหารเทพ’ สลักอยู่

“นี่เป็นป้ายคำสั่งผู้อาวุโสสังหารเทพของท่าน ต่อไปสามารถมอบให้กับบรรดาศิษย์ของท่านได้”

หลี่ชิงจื่อกล่าวจบก็หมุนตัวจากไปทันที

ครั้นหานเจวี๋ยโบกมือขวา ป้ายคำสั่งอันหนึ่งก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าหยางเทียนตง ส่วนป้ายคำสั่งอื่นๆ เขาเก็บไว้ในเข็มขัดเก็บสมบัติ

[หยางเทียนตงเกิดความประทับใจในตัวท่าน ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 1 ดาว]

หือ?

แค่ 1 ดาวเอง?

หานเจวี๋ยหรี่ตาเอ่ย “อาจารย์คำนวณดูภูมิหลังที่มาของเจ้าแล้ว เจ้าชื่อหยางเทียนตง ครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ เคยถูกลัทธิมารฟ้ามืดคุมขังมาก่อน ใช่หรือไม่”

หยางเทียนตงเงยหน้ามองอย่างตกตะลึง สีหน้าตื่นตระหนก

ก่อนมาหลี่ชิงจื่อยังกำชับกับเขาอยู่เลยว่า ไม่ให้เขาบอกที่มาของตนเอง

ไม่นึกว่าหานเจวี๋ยจะสามารถคำนวณออกมาเช่นนี้ได้เลย

นี่ก็คือผู้ยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้ามที่สังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณได้ในกระบี่เดียวหรือ?

[ความประทับใจที่หยางเทียนตงมีต่อท่านเพิ่มขึ้น ระดับความประทับใจในขณะนี้คือ 3 ดาว]

หยางตงเทียนกล่าวอย่างนอบน้อม “อาจารย์เก่งกาจจริงๆ เรื่องนี้ก็สามารถคำนวณออกมาได้ ศิษย์นับถือยิ่งนัก”

เขาชะงักไปครู่หนึ่ง ราวกับกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง

ครั้นเขาพลิกมือขวา ขนวิหคสีชาดเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ เขาเอ่ยด้วยท่าทีจริงจัง “อาจารย์ นี่คือสิ่งที่บิดาข้าทิ้งไว้ให้ ด้านในนี้ซ่อนสุดยอดวิชาของเขาไว้ ต้องบรรลุระดับเปลี่ยนวิญญาณเท่านั้นถึงจะฝึกฝนได้ คุณสมบัติของข้ายังอยู่ห่างจากระดับเปลี่ยนวิญญาณมากนัก ข้าจะให้อาจารย์ฝึกฝนก่อน วันหน้าท่านค่อยสอนข้า”

……………………………………….