บทที่ 37 ปราณก่อกำเนิดขั้นสี่ ค้ำฟ้าเสมือนพสุธา

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 37 ปราณก่อกำเนิดขั้นสี่ ค้ำฟ้าเสมือนพสุธา
หานเจวี๋ยรับขนวิหคสีชาดมา และส่งพลังจิตเข้าไปตรวจสอบด้านใน

เพียงไม่นาน เขาก็รับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่ต้านทานพลังจิตของเขาไว้

ดูท่าคงต้องใช้พลังจิตระดับเปลี่ยนวิญญาณถึงจะฝ่าเข้าไปได้

หยางเทียนตงมีความประทับใจต่อเขาในระดับ 3 ดาว น่าจะไม่หลอกเขา

“เช่นนั้นอาจารย์จะรับไว้ เจ้าฝึกฝนพลังวิญญาณสักสิบปีก่อน อาจารย์ชอบคนมุมานะฝึกฝน หากเจ้าทำผลงานได้ดี อาจารย์จะถ่ายทอดวิชาเวทให้”

หานเจวี๋ยเอ่ยปาก พอได้ยินเช่นนี้ หยางเทียนตงรีบกล่าวขอบคุณทันที

หานเจวี๋ยชี้ไปด้านข้างแล้วบอกว่า “เจ้าหาที่นั่งฝึกบำเพ็ญเถอะ”

จากนั้นหานเจวี๋ยก็หลับตาลง เริ่มฝึกฝนต่อ

หยางเทียนตงลุกขึ้นมาหามุมหนึ่งแล้วนั่งลงไป

เขาไม่กล้ามองหานเจวี๋ย ด้วยเกรงว่าจะเป็นการล่วงเกิน จากนั้นจึงรีบเริ่มการฝึกฝน

ไม่นาน เขาก็พบว่าพลังวิญญาณในถ้ำเทวาแห่งนี้หนาแน่นมาก

เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการบำเพ็ญเซียนยิ่งนัก!

……

ตั้งแต่ค่ายกลรวมวิญญาณกับของล้ำค่าฟ้าดินชุดใหม่เพิ่มเข้ามาในถ้ำเทวา พลังวิญญาณในถ้ำเทวาก็หนาแน่นมากกว่าเดิม ความเร็วในการฝึกฝนของหานเจวี๋ยก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสิบปี

ตบะของหานเจวี๋ยบรรลุระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสี่

ความเร็วของการทะลวงขั้นระดับนี้เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปมาก

หากยึดตามความเร็วในการฝึกฝนนี้ การทะลวงระดับเปลี่ยนวิญญาณนับว่าอยู่ไม่ไกลแล้ว

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

ในช่วงเวลาสิบปีที่หยางเทียนตงอยู่ที่นี่ ตบะได้บรรลุถึงระดับสร้างฐานขั้นหกแล้ว

สิบปีกับหกขอบเขตพลังเล็กๆ

ระดับความเร็วในการทะลวงขั้นไม่เลวเลย

นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์จริงๆ!

หานเจวี๋ยเอ่ยปากว่า “ศิษย์ข้า”

หยางเทียนตงสะดุ้งตื่นโดยพลัน รีบคุกเข่าคารวะหานเจวี๋ย

“สิบปีมานี้รู้สึกอย่างไรบ้าง” หานเจวี๋ยถาม

หยางเทียนตงเอ่ยตอบ “ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยขอรับ ไม่เพียงแต่ตบะจะเพิ่มขึ้น ทั้งยังรู้ซึ้งในหลักธรรมอีกมาก”

‘สวรรค์!

เป็นเวลาตั้งสิบปีแล้ว!’

หยางเทียนตงคร่ำครวญในใจ

เวลาสิบปีนี้ เขาสิ้นหวังไปไม่รู้กี่ครั้ง

แต่เขาคิดว่านี่เป็นการทดสอบของหานเจวี๋ย ไม่อาจหย่อนยานได้

หากแม้แต่ด่านแรกยังไม่อาจข้ามผ่านได้ หานเจวี๋ยคงไม่มีทางรับเขาเป็นศิษย์สืบทอดอย่างแน่นอน

หานเจวี๋ยเลิกคิ้วขึ้น เจ้าหมอนี่ยังรู้ซึ้งในหลักธรรมด้วย?

‘โอ้อวดนัก!

ข้าปิดด่านฝึกฝนมาร้อยกว่าปี ยังไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย’

หานเจวี๋ยคิดว่าจำเป็นต้องขัดเกลาสักหน่อย “ออกไปทำภารกิจเถอะ ข้าจำได้ว่าหอภารกิจของสำนักมีลำดับแสดงแต้มคุณูปการประจำเดือนอยู่ รอเจ้าได้ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของเดือนแล้วค่อยกลับมา”

เมื่อหยางเทียนตงได้ยิน ก็พลันลุกขึ้นมา

พอลุกขึ้นก็เกือบจะล้มลง

นั่งมานานถึงสิบปี ร่างกายส่วนล่างของเขาแข็งไปหมดแล้ว

เขารีบโค้งคารวะแล้วหมุนตัวจากไป

หานเจวี๋ยโบกมือเปิดประตูถ้ำ

หลังจากหยางเทียนตงจากไป หานเจวี๋ยคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนำโอสถจิตนึกคิดที่ได้มาตอนสังหารระดับเปลี่ยนวิญญาณก่อนหน้านี้ออกมา

โอสถจิตนึกคิดใช้เพิ่มความแข็งแกร่งของพลังจิตโดยเฉพาะ

หลังจากพลังจิตแข็งแกร่งแล้ว เขาจะได้ลองใช้ขนวิหคสีชาดที่หยางเทียนตงมอบให้เสียหน่อย

โอสถในขวดมีทั้งหมดเก้าเม็ด หานเจวี๋ยนรีบกินเข้าไปทันที

หลังกินโอสถจิตนึกคิดเข้าไป หานเจวี๋ยรู้สึกเวียนหัวในทันใด

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าใด

แต่พอเขารู้สึกตัวขึ้นมา ก็พบว่าพลังจิตของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเป็นเท่าตัว

เขารู้สึกตื่นเต้นดีใจอย่างอดไม่ได้

โอสถนี้สุดยอดอยู่บ้างจริงๆ!

หานเจวี๋ยกินโอสถนั้นเรื่อยมา

ครึ่งเดือนต่อมา

โอสถจิตนึกคิดทั้งเก้าเม็ดถูกกินจนหมด ผลลัพธ์ที่ได้ยอดเยี่ยมมาก พลังจิตของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

แกร่งกว่าเดิมมากกว่าสิบเท่า!

ยิ่งกินโอสถมากเท่าไร ผลลัพธ์ก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก

หานเจวี๋ยนำขนวิหคสีชาดออกมาอีกครั้ง และส่งจิตเข้าไปด้านใน

ตู้ม!

แรงต้านทานอันแข็งแกร่งปรากฏออกมาอีกครั้ง!

หานเจวี๋ยกัดฟันอดทน

ส่งพลังจิตเข้าปะทะกับมัน!

หลังจากปะทะกันราวสามอึดใจ เขาก็ฝืนฝ่าแรงต้านทานนั้นเข้าไปได้

เพียงไม่นาน ความทรงจำจำนวนมหาศาลก็หลั่งไหลเข้าสู่สมองของหานเจวี๋ย

พลังวิเศษ!

ค้ำฟ้าเสมือนพสุธา!

นี่คือพลังวิเศษชนิดหนึ่งที่ทำให้ร่างกายขยายได้ถึงหมื่นเท่า

พลังวิเศษนี้ปรากฏในเทพนิยายหลายเรื่อง พอฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์จะมีร่างกายสูงถึงหมื่นจั้ง!

หานเจวี๋ยรู้สึกประหลาดใจระคนดีใจ พลังวิเศษนี้ยิ่งใหญ่มาก เขาชอบมัน!

……

ท่ามกลางหมู่ขุนเขา ผู้บำเพ็ญกลุ่มหนึ่งกำลังรีบร้อนเดินทาง

ผู้ที่เดินอยู่ตรงหน้าสุดก็คือโม่ฟู่โฉว

ยามนี้โม่ฟู่โฉวสำเร็จระดับรวมแก่นปราณ กลายเป็นศิษย์แกนหลักอย่างแท้จริงแล้ว

นอกจากเขากับศิษย์ชายสองคน คนที่เหลือล้วนเป็นเด็กหนุ่มกับเด็กสาว

“ด้านหน้าก็เป็นสำนักหยกพิสุทธิ์แล้วใช่หรือไม่”

“เฮ้อ ข้าจะผ่านการคัดเลือกไหมเนี่ย!”

“ไม่ผ่านการคัดเลือกก็เป็นเรื่องปกติ ต่อไปดีกับข้าให้มากหน่อย ข้าจะให้เจ้าเป็นเด็กเป่าขลุ่ย อาศัยความสามารถในการผิวปากของเจ้า หากฝึกเป่าขลุ่ยสักหน่อยก็คงไม่เลว”

“ยอดเขาทั้งสิบแปดลูกนี้ ยอดเขาไหนเก่งกาจที่สุดหรือ”

“ไม่แน่ใจ พอถึงเวลาผู้อาวุโสโม่คงจะแนะนำให้พวกเรากระมัง”

เด็กหนุ่มและเด็กสาวเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักหยกพิสุทธิ์ ความรับผิดชอบในช่วงนี้ของโม่ฟู่โฉวก็คือการรับสมัครลูกศิษย์

เซียนเฒ่าเต้าเหลยอยากจะสนับสนุนโม่ฟู่โฉว ลำพังแค่เป็นศิษย์แกนหลักยังไม่พอ เขาจะต้องกุมอำนาจด้วย

การรับสมัครศิษย์ เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการดึงคนมาเป็นของตนเอง

ขณะที่ฟังเสียงพูดคุยกันด้านหลัง โม่ฟู่โฉวเผยรอยยิ้มออกมา

นึกถึงเมื่อปีนั้น ตอนที่เขาเพิ่งเข้าร่วมสำนักหยกพิสุทธิ์ก็ตื่นเต้นเช่นนี้

ขณะนั้นเอง!

เสียงแหวกอากาศสายหนึ่งดังมาจากด้านหน้า โม่ฟู่โฉวชักกระบี่ฟันออกไปตามจิตใต้สำนึก ลูกธนูดอกหนึ่งถูกฟันขาดเป็นท่อนๆ จากนั้นเศษลูกธนูก็กลายเป็นหมอกพิษ ค่อยๆ แผ่กระจายไปทุกทิศทาง

“ถอยไป มีศัตรูลอบโจมตี!”

โม่ฟู่โฉวเอ่ยเสียงเข้ม จากนั้นกระโจนขึ้นบนอากาศ กวัดแกว่งกระบี่ไปทางผู้ลอบโจมตี

คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมกันฝนที่ทำจากฟาง หมวกฟางปกปิดใบหน้าของเขาไว้ เขาชักดาบวงพระจันทร์ที่ด้านหลังออกมาสองเล่ม คมดาบเปล่งแสงเย็นยะเยือก

เมื่อเผชิญหน้ากับโม่ฟู่โฉวที่กำลังโจมตีเข้ามา ร่างของคนสวมเสื้อคลุมกันฝนก็ขยับวูบ กลายเป็นเงาร่างห้าสายพุ่งไปสังหารโม่ฟู่โฉว

โม่ฟู่โฉวฟาดกระบี่ออกไป สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ก่อนจะกลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่เข้าปกคลุมคนในเสื้อคลุมกันฝนกับร่างแยกไว้

คนสวมเสื้อคลุมกันฝนหมุนตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพายุหมุนสีดำฉีกทึ้งตาข่ายสายฟ้า

โม่ฟู่โฉวไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด มือซ้ายขยับปางมือร่ายวิชา จากนั้นตบลงบนพื้น สายฟ้าแผ่พุ่งไปตามพื้นดินอย่างรวดเร็วยิ่ง

คนสวมเสื้อคลุมกันฝนเพิ่งจะลงมาถึงพื้น ก็ถูกสายฟ้ารัดพันจนสั่นกระตุกไปทั้งตัว

โม่ฟู่โฉวพุ่งตามไป เตรียมจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามยอมจำนน

ตู้ม!

พื้นดินด้านข้างพลันระเบิดออกมา คนในเสื้อคลุมกันฝนอีกคนพุ่งขึ้นมาจากใต้ดิน ก่อนจะตวัดดาบใส่โม่ฟู่โฉว

โม่ฟู่โฉวแอบก่นด่าในใจ ศัตรูมาจากไหนกัน?

เหตุใดถึงได้กล้าก่อเรื่องในพื้นที่ของสำนักหยกพิสุทธิ์!

ขณะที่เขากำลังคิดจะลงมือ ยันต์กระดาษแผ่นหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นด้านหลัง ตรงเข้ามาแปะบนหลังของเขาอย่างว่องไว

โม่ฟู่โฉวเคลื่อนไหวไม่ได้ในทันใด ได้แต่ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่

ฟิ้ว!

คนในเสื้อคลุมกันฝนแทงทะลุหน้าอกของโม่ฟู่โฉว โลหิตสาดกระเซ็นตามคมดาบ

โม่ฟู่โฉวเบิกตากว้าง ในใจเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

แย่แล้ว!

คนอื่นๆ พากันร่นถอย พอเห็นโม่ฟู่โฉวบาดเจ็บสาหัส แต่ละคนลนลานเป็นอย่างมาก!

“ทั้งหมดคุกเข่าลง พวกเราต้องการจับแค่โม่ฟู่โฉว หากพวกเจ้ากล้าขัดขวางพวกข้า จะต้องตายทั้งหมด!”

คนสวมเสื้อคลุมกันฝนผู้หนึ่งตะคอกเสียงเข้ม ทำให้ศิษย์เหล่านั้นตกใจจนแข้งขาอ่อน คุกเข่าลงตามๆ กัน

ไหนเลยเด็กหนุ่มเด็กสาวเหล่านี้จะเคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ละคนล้วนหน้าซีดขาว ร่างกายสั่นสะท้าน ไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร

โม่ฟู่โฉวไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เขาจ้องมองคนในชุดคลุมกันฝนตรงหน้า ก่อนถามเสียงเข้ม “พวกเจ้าเป็นใครกันแน่”

“ดาราพิฆาต ผีร้ายอาภรณ์ป้องพิรุณ สำนักหยกพิสุทธิ์ฝ่าฝืนข้อห้ามสำคัญ เราจะจับเจ้ากลับไปก่อน บอกได้แค่ว่าเคราะห์ใหญ่ของสำนักหยกพิสุทธิ์มาถึงแล้ว!”

คนในเสื้อคลุมกันฝนกล่าวเสียงเข้ม น้ำเสียงแหบแห้ง

โม่ฟู่โฉวได้ยินเช่นนั้นก็เบิกตาโพลง เผยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

และในตอนนั้นเอง

โครมคราม…

ไม่รู้ว่ามีมนุษย์ร่างยักษ์ปรากฏตัวท่ามกลางหมู่เขาตั้งแต่เมื่อใด ร่างกายส่วนบนจมอยู่ในทะเลหมอก กลุ่มขุนเขารอบด้านสูงที่สุดก็แค่ช่วงเอวของเขาเท่านั้น ภาพฉากใหญ่โตอลังการยิ่งนัก

อยู่ต่อหน้ามนุษย์ยักษ์ตนนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็รู้สึกว่าตนเองเล็กจ้อย ราวกับฝูงมดที่กำลังมองคน

คนสวมเสื้อคลุมกันฝนสองคนตกใจจนมือไม้สั่น

เพราะอาภรณ์ที่ยักษ์ตนนี้ใส่อยู่คือชุดคลุมของสำนักหยกพิสุทธิ์!

……………………………………….