บทที่ 7 ผีดิบ

ถึงแม้จะไม่มีรากฐานพลัง ไม่มีแก่นแท้แห่งพลัง ไม่มีจิตวิญญาณต้นกำเนิด หรือพลังแห่งเซียน สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานก็ทรงพลังเป็นอย่างมากหลังจากบ่มเพาะพลังมาสามพันปี แม้จะไม่มีพลังกายระดับเซียน แต่สัมผัสเทวะของเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงสิ่งต่าง ๆ รอบด้านโดยเห็นภาพในหัวได้ทันที สิ่งนี้นับว่าน่าสะพรึงกว่าพลังของเซียนทั่วไป

ขณะยืนอยู่บนภูเขาเหมิง สัมผัสเทวะของไป๋ชิวหรานได้กระจายไปทุกทิศทาง ดังนั้นจึงสามารถหาตำแหน่งของสมุนไพรที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

ระหว่างทางเขายังเผชิญหน้ากับอสรพิษสีดำขนาดมหึมาที่กำลังจะกลายเป็นปีศาจตรงแม่น้ำบนภูเขา อสรพิษตัวนั้นกินมนุษย์เป็นอาหาร และมันก็คิดที่จะกินเขาด้วย แต่มันก็ถูกสังหารลงเพียงฝ่ามือเดียว หลังจากนั้นไป๋ชิวหรานก็รวบรวมสมุนไพรที่ต้องการมาได้จนใกล้จะครบ

“เอาล่ะ นี่เป็นสมุนไพรชนิดสุดท้าย”

บนเชิงผา ไป๋ชิวหรานหยิบสมุนไพรวิเศษชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายหัวใจมนุษย์ออกมา จากนั้นได้เก็บมันไว้ในกระเป๋าก่อนจะทะยานลงพื้น

“ตอนนี้โอสถสำหรับสร้างรากฐานรวบรวมครบแล้ว ต่อไปเราต้องหาสมุนไพรทำโอสถอายุยืนต่อ”

ใบหน้าไร้อารมณ์ของเชวียหลิงปรากฏขึ้นในหัวของไป๋ชิวหราน สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ที่กำลังดีของเขาเปลี่ยนเป็นหม่นหมองทันที

“เฮ้อ น่าเบื่อจริง ๆ เหตุใดคนอื่นถึงก้าวออกมาจากธาตุทั้งห้าได้หลังจากอยู่ถึงสามพันปี อีกทั้งยังสามารถใช้ชีวิตต่อได้อย่างมีความสุข? ทว่าหลังจากสามพันปีของข้าผ่านพ้นไป กลับมีแค่ผู้คุมวิญญาณเท่านั้นที่มาตามติด”

ไม่ว่าเขาจะฝันถึงขั้นสร้างรากฐานมากเท่าไหร่ แต่ท้ายที่สุดก็ต้องกลั่นโอสถอายุยืนก่อน ถึงแม้จะไม่มีใครสามารถดึงวิญญาณเขาไปยังยมโลกได้ แต่เขาก็ต้องยอมเห็นแก่หน้าสวรรค์และทำตามกฎของฟ้าดิน นอกจากนั้นเซียนชิงหมิงที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ได้เข้าสู่โลกเซียนไปแล้ว หากชายหนุ่มขัดกฎสวรรค์ เช่นนั้นมันต้องส่งผลเสียต่ออาจารย์ในโลกเซียนแน่นอน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

เมื่อนึกได้เช่นนี้ ไป๋ชิวหรานก็ไม่คิดจะชักช้า เขาเก็บกระเป๋าและเตรียมตัวเดินทางลงจากภูเขาเหมิง แต่ก่อนจะเดินทาง เขายังมีอยู่อีกที่หนึ่งที่ต้องไป

ข่าวที่ว่ามีปีศาจอยู่ในภูเขาเหมิงซึ่งคอยทำร้ายและกินผู้คน ในฐานะศิษย์สำนักกระบี่ชิงหมิง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับพวกเขา ไป๋ชิวหรานก็ไม่สามารถปล่อยปีศาจไปได้

เมื่อใช้สัมผัสเทวะตรวจสอบทั่วทั้งภูเขาแล้ว เขาก็พบว่ามีถ้ำปีศาจอยู่ไม่ไกล ก่อนจะออกเดินทาง เขาตัดสินใจไปแวะยังไปถ้ำปีศาจนี้เพื่อปราบมันก่อน นอกจากนี้มันยังมีสมุนไพรสำหรับกลั่นโอสถอายุยืนอยู่ระหว่างทางด้วย

พื้นที่ของภูเขาเหมิงนั้นกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง จากการตรวจสอบด้วยสัมผัสเทวะ ไป๋ชิวหรานก็ทราบว่าปีศาจอยู่ห่างจากที่นี่กว่าสามร้อยลี้

ไม่กี่วันมานี้ขณะเก็บสมุนไพรอย่างสงบ เขายังคงติดตามการเคลื่อนไหวของปีศาจด้วยสัมผัสเทวะเป็นครั้งคราว หากมันออกไปทำร้ายผู้คน ไป๋ชิวหรานตัดสินใจว่าจะตามไปสังหารมันทันที

แต่หลังจากสังเกตอยู่สองสามวัน เขาก็พบว่ามีบางสิ่งที่ผิดแปลก

สถานที่ที่ปีศาจอาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดและความคับแค้น มันกินมนุษย์มากไปก็จริง แต่ความถี่ในการกินของมันดูไม่เหมือนข่าวลือที่เขาได้ยินมา

เมื่อไป๋ชิวหรานใช้สัมผัสเทวะตรวจจับในครั้งแรก ปีศาจตัวนี้ดูเหมือนเพิ่งจะออกล่าเหยื่อและนำกลับมาที่รัง แต่มันอยู่ในรังของตัวเองสองถึงสามวันเพื่อย่อยอาหาร นอกจากนั้นก็ไม่ได้ออกไปโจมตีผู้คนอีก ซึ่งแตกต่างจากที่ข่าวลือบรรยายไว้ว่ามันเป็นปีศาจที่ออกล่าผู้คนทั้งเช้าเย็น

ไป๋ชิวหรานรู้สึกว่าอาจมีอะไรที่ยุ่งยากอยู่เบื้องหลัง แต่เขาก็ยังไม่รีบร้อน หลังจากที่สังหารปีศาจตัวนี้สำเร็จ เขาคิดจะถามว่ายังมีปีศาจตัวอื่นอยู่อีกหรือไม่

ไป๋ชิวหรานจึงไม่คิดจะชักช้าอีกต่อไป เขารวบรวมพลังปราณภายในร่าง จากนั้นเขาได้กลายเป็นประกายแสงพุ่งข้ามระยะทางหลายร้อยลี้ เพียงไม่นานก็มาถึงบริเวณรอบนอกของรังปีศาจ

พื้นที่แห่งนี้เป็นป่าโปร่งกว้าง พืชพรรณส่วนใหญ่ในป่าถูกกัดเซาะด้วยสารพิษบางอย่าง ส่วนใหญ่ถึงขั้นเหี่ยวเฉาและตายไปแล้วเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ยังรอด ห่างออกไปอีกนิดหนึ่งเป็นยอดเขาหินสูง ด้านใต้ของยอดเขานั้นมีถ้ำปีศาจอยู่ มันเป็นถ้ำมืดที่ลากลึกลงไปถึงพื้นดิน

ส่วนปากทางเข้าถ้ำนั้นเต็มไปด้วยกองกระดูกมากมาย ไป๋ชิวหรานจึงรีบเดินทางไปยังปากถ้ำอย่างรวดเร็ว เขาพบว่ามีคราบเลือดสด ๆ อยู่บริเวณนี้ด้วย

เมื่อพบว่าสถานการณ์ดูไม่ชอบมาพากล ไป๋ชิวหรานจึงหยุดและสังเกตสถานการณ์อยู่ชั่วครู่

“นี่มัน?”

หลังจากสังเกตอย่างละเอียด ไป๋ชิวหรานก็พบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้อยู่รอบด้าน ซึ่งสามารถเห็นได้จากต้นไม้ที่ล้มตายในบริเวณนี้

“มีคนเข้ามาก่อน? เกิดการต่อสู้ขึ้นงั้นหรือ?”

สิ่งนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน ถึงแม้จะใช้สัมผัสเทวะสอดแนมบริเวณที่ปีศาจอยู่ก่อนหน้านี้ แต่ด้วยความขี้เกียจ ชายหนุ่มจึงดึงสัมผัสเทวะกลับมาเพื่อค้นหาสมุนไพรรอบด้านแทน และทำการสอดแนมอย่างเจาะจงเฉพาะตัวปีศาจเท่านั้น

ไม่นานก่อนหน้านี้ ด้วยการเคลื่อนที่ความเร็วสูงขณะมายังถ้ำปีศาจ เขาจึงไม่ได้เปิดใช้สัมผัสเทวะอีก

เขาเกรงว่าระหว่างช่วงที่ปิดสัมผัสเทวะ ผู้คนจากด้านนอกคงจะรวมตัวกันและเดินทางมาในป่าแห่งนี้ก่อนจะค้นพบถ้ำปีศาจ ดังนั้นเขาจึงใช้สัมผัสเทวะตรวจสอบอีกครั้ง และพบว่าเคยมีกลุ่มคนต่อสู้กับปีศาจอยู่จริง

และผลลัพธ์ก็ชัดเจน…

ไป๋ชิวหรานเหลือบมองดูซากศพในป่าแห่งนี้

หากคนพวกนั้นชนะ ไป๋ชิวหรานก็คงไม่ต้องมา

เคร้ง ๆ!

ทันใดนั้นได้มีเสียงโลหะกระทบกันดังออกมาจากปากถ้ำ เมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาจึงเร่งฝีเท้าขึ้นอีก

ถึงแม้จะยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ แต่ฟังจากเสียงเมื่อครู่ คนผู้นั้นคงกำลังตกอยู่ในอันตราย สิ่งนี้ทำให้ไป๋ชิวหรานกังวลนิด ๆ

เขานึกถึงเด็กหนุ่มที่เดินทางมาด้วยก่อนหน้านี้ ขณะอยู่ที่ร้านอาหารป่าข้างทาง พวกเขาได้สนทนาเรื่องปีศาจบนภูเขาเหมิง ซึ่งเขาเองก็รับรู้ได้ถึงเจตนาของเด็กหนุ่ม

ชายหนุ่มผู้นี้มีความเกลียดชังต่อผู้ฝึกตน และยังมีความรับผิดชอบต่อชะตากรรมของชาวซ่างเสวียน ถึงแม้เขาจะไม่ยอมขอความช่วยเหลือจากผู้ฝึกตน เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ชาวบ้านเดือดร้อนจากปีศาจ

ดังนั้นจึงคิดได้อย่างเดียวว่าเด็กหนุ่มต้องเป็นผู้รวบรวมผู้กล้าเข้ามาโจมตีปีศาจ

อันที่จริงไป๋ชิวหรานคิดจะมาจัดการกับปีศาจก่อนที่ถังเวยจะลงมือ แต่ไม่คาดคิดว่าเจ้าหนุ่มคนนั้นจะกระทำการอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิดเช่นนี้

เพราะไป๋ชิวหรานเพิ่งแยกทางจากถังเวยเพียงไม่กี่วัน แต่ไม่นานเด็กหนุ่มกลับสามารถพาคนเข้ามาสู้กับปีศาจได้แล้ว

เราหวังว่าเขาจะยังคงไม่ตายนะ มิเช่นนั้นคงน่าเสียดายอย่างมาก

ไป๋ชิวหรานเร่งฝีเท้าในทันที เขาพุ่งทะลวงผ่านป่าจนมาถึงตรงหน้าปากทางเข้า ลึกเข้าไปในโพรงอันมืดมิด ไป๋ชิวหรานเห็นซากศพของปีศาจหักงอสองตัว พวกมันกำลังเคลื่อนที่เข้าหาคนที่รอดชีวิตอยู่ภายในถ้ำ และคนผู้นั้นคือถังเวยที่ไป๋ชิวหรานนึกถึงเมื่อครู่