บทที่ 8 น้องชาย กล้ามหน้าอกของเจ้าช่างแข็งนัก!

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 8 น้องชาย กล้ามหน้าอกของเจ้าช่างแข็งนัก!

มือและเท้าของถังเวยเย็นเฉียบ ภายในใจของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เดิมทีเขาออกจากบ้านมาเพื่อพิสูจน์ให้บิดาเห็นว่ามนุษย์สามารถปกป้องตัวเองได้โดยไม่ต้องพึ่งผู้ฝึกตน และหวังว่ามันจะทำให้บิดาที่ลุ่มหลงแต่เวทมนตร์จะได้สติกลับมา

ดังนั้นเมื่อได้ยินว่ามีปีศาจที่ภูเขาเหมิง ถังเวยจึงรีบเดินทางทันที

หลังจากใช้เงินจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องนำของใช้ส่วนตัวไปไว้โรงจำนำ เขาก็มีเงินพอจะจ้างกลุ่มนักสู้ที่อยู่ตั้งแต่ขั้นกลั่นร่างกายไปจนถึงขั้นกลั่นลมปราณ จากนั้นจึงเดินทางมายังภูเขาเหมิงเพื่อปราบปีศาจ

ถึงแม้ถังเวยจะไม่มีประสบการณ์ แต่เขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดจะนำตัวเองไปตาย เขาได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับปีศาจและวัดความสำเร็จไว้ล่วงหน้า จากนั้นจึงเริ่มหาพวกนักสู้

หลังจากฟังคำอธิบายของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง และเปรียบเทียบกับตำราที่เคยเห็นมาก่อน ถังเวยก็มั่นใจว่าปีศาจที่ผู้คนหวาดกลัวนั้นอยู่ขั้นกลั่นลมปราณระดับสูง มันคืออสูรซากศพ ความแข็งแกร่งของมันทัดเทียมได้กับผู้อาวุโสของสำนักผู้ฝึกตน แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งและอันตราย แต่หากมีกำลังคนที่เพียงพอ มันก็จัดการได้ไม่ยาก

ดังนั้นหลังจากรวบรวมคนจำนวนมาก เขาก็ได้เตรียมน้ำมันและไม้เนื้อแห้งที่พวกอสูรซากศพกลัวก่อนจะออกเดินทาง

พวกเขาใช้เวลาสามวันในการค้นหาร่องรอยอสูรซากศพจนมาถึงถ้ำนี้

ถังเวยจุดไฟด้วยไม้แห้ง แน่นอนว่าเปลวไฟนั้นมีผลกับอสูรซากศพจนสามารถไล่พวกมันออกมาจากถ้ำได้สำเร็จ อีกทั้งยังทำให้พละกำลังลดลงไปด้วย

ถึงอย่างไรอสูรซากศพก็ยังคงจัดการได้ยาก เพราะผิวหนังของมันห่อหุ้มไปด้วยหนังคนตาย ซึ่งเทียบได้กับผิวหนังของยอดฝีมือที่สำเร็จวิชาคงกระพัน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากยอดฝีมือรอบด้าน ถังเวยจึงสามารถปราบพวกอสูรซากศพและไล่ต้อนมันสู่ทางตันสำเร็จ

แต่ขณะที่กำลังจะปราบอสูรซากศพ มันได้มีอสูรซากศพที่มีพละกำลังใกล้เคียงกันปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ

คราวนี้กลายเป็นกลุ่มของถังเวยที่เสียเปรียบ ภายใต้การรวมตัวของอสูรซากศพสองตัว ยอดฝีมือขั้นกลั่นลมปราณถึงขั้นตายคาที่ ถังเวยพยายามช่วยเหลือทุกคน แต่พวกเขาก็ถูกอสูรซากศพลากไปฉีกทึ้งทีละคน

ถังเวยและยอดฝีมือขั้นกลั่นลมปราณคนสุดท้ายถูกต้อนเข้าไปในถ้ำ ในที่สุดยอดฝีมือคนท้ายก็ถูกอสูรซากศพจับตัวได้ เวลานี้ถังเวยเองก็ไม่มีพลังปราณพอที่จะนำมาต่อสู้แล้ว

อสูรซากศพทั้งสองฉีกร่างยอดฝีมือคนนั้นจนกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปทั่วถ้ำ จากนั้นพวกมันพลันหันมาคำรามใส่ถังเวย

ถังเวยจับกระบี่ด้วยมือที่ชุ่มเหงื่อ เขาดึงพลังปราณเฮือกสุดท้ายในตัวพร้อมพ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรง

อย่างไรก็ตามขณะที่ชีวิตของเด็กหนุ่มกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ลมปราณอันเดือดพล่านก็ได้พุ่งมาจากด้านหลังของเขา

มันคือพลังฝ่ามือ ขณะที่มันพุ่งมาโจมตี พลังปราณสีแดงได้กลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่พร้อมส่งเสียงดังก้อง มันบีบอสูรซากศพทั้งสองตัวเข้ากับผนังถ้ำในทันที

ทันใดนั้นพื้นแผ่นดินถึงกับสั่นสะเทือน และยังมีเศษดินเศษหินตกกระจายจากเพดานถ้ำ เมื่อเห็นสิ่งนี้ ถังเวยจึงยกกระบี่ขึ้นป้องกันตัวเอง

หลังจากฝุ่นควันจางลง ถังเวยมองไปยังผนังด้านข้างและพบว่ามีเพียงรอยฝ่ามือประดับอยู่ แต่อสูรซากศพทั้งหมดกลับหายตัวไปโดยไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย

“น้องถัง”

เสียงอันอ่อนโยนดังมาจากด้านหลัง

“พวกเราพบกันอีกแล้วนะ”

ถังเวยหันไปมองและพบว่าเป็นไป๋ชิวหรานที่กำลังโบกมือและยิ้มให้

เจ้าตัวถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะเอ่ยถาม “ไป๋ชิวหราน ท่านมาทำอะไรที่นี่?”

“ข้ามาปราบปีศาจเพื่อชาวบ้านไม่ได้หรือ?” ไป๋ชิวหรานตอบกลับ “ตั้งแต่ข้ามาที่นี่และได้ยินว่ามีปีศาจออกทำร้ายผู้คน หากข้ากลับไปโดยไม่ทำสิ่งใดเลย อาจารย์จะต้องฆ่าข้าแน่หากเขารู้เข้า”

เมื่อได้ยินคำของไป๋ชิวหราน ใบหน้าของถังเวยก็ดูผ่อนคลายลง “ท่านก็เป็นคนดีทีเดียวนะ แต่มันอันตรายเกินไปที่ท่านจะมาที่นี่คนเดียว…ระวัง!”

ขณะที่ถังเวยอุทาน ไป๋ชิวหรานก็สัมผัสได้ถึงสิ่งผิดปกติบนพื้นดินและกำลังพุ่งมาหาเขา ไป๋ชิวหรานหันหลังกลับไปอย่างรวดเร็วพร้อมใช้ฝ่ามือต้านอสูรซากศพไว้

ตู้ม!

คลื่นพลังกระจายไปทั่วทั้งถ้ำ ถังเวยเงยหน้ามองไป๋ชิวหรานที่ป้องกันการโจมตีของอสูรซากศพ ไป๋ชิวหรานตะโกนขึ้น “มันยังมีอีกตัวงั้นหรือ พวกมันมีกี่ตัวกันแน่?”

“น่าจะมีพวกมันอีกเยอะเลย”

ไป๋ชิวหรานที่ต่อสู้กับอสูรซากศพยังคงดูผ่อนคลาย แต่ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

เขาก้มหน้ามองดูด้านล่าง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเพดานถ้ำก่อนจะเอ่ยกับถังเวย

“น้องถัง พวกเราอาจจะมีปัญหานิดหน่อย…”

“ปัญหา?” ถังเวยมองไปยังอสูรซากศพที่สู้กับไป๋ชิวหรานอยู่ จากนั้นจึงถามกลับอย่างกังวล “ท่านกำลังจะแพ้งั้นหรือ?”

“ไม่ ข้ารับมือพวกมันไหว” ไป๋ชิวหรานมองไปที่ถังเวยก่อนจะแสดงท่าทีมองลงไปที่พื้น “แต่พื้นด้านล่างพวกเราอาจจะรับมือไม่ไหว…ข้างล่างเป็นพื้นที่ว่างเปล่า”

ถังเวยมองไปยังเท้าของเขาและพบว่ามีรอยแตกคล้ายใยแมงมุมปรากฏขึ้น ใต้เท้าของไป๋ชิวหรานเองก็มีเช่นกันและมันเริ่มขยายวงกว้าง

“ไป๋ชิวหราน” เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผากของเขา “มันเป็นพื้นโล่งสูงมากหรือเปล่า?”

ไป๋ชิวหรานพยักหน้า “ไม่ว่าอย่างไรมันก็กำลังจะพัง”

ทันใดนั้นพื้นดินใต้เท้าของเขาก็ว่างเปล่า

ในที่สุดพื้นก็ทนการต่อสู้ของเขาและอสูรซากศพไม่ไหว และทรุดตัวลงอย่างรุนแรง

“ดูสิน้องถัง พวกเรากำลังร่วงลงไปแล้ว”

“อย่าเอาแต่มองสิ ช่วยข้าด้วยยยย! พลังปราณในตัวข้าไม่เหลือแล้ว!” ถังเวยดิ้นรนกลางอากาศ อีกทั้งยังกรีดร้องออกมาราวกับสตรี

“มาแล้ว ๆ!” ไป๋ชิวหรานเตะอสูรซากศพกลางอากาศ จากนั้นก็กระโดดไปทางถังเวยโดยเหยียบเศษซากหินที่ถล่มก่อนจะใช้มือคว้าถังเวยไว้

แต่ขณะเดียวกันภายในความมืด อสูรซากศพทั้งสองก็ได้พุ่งเข้ามาเพื่อพยายามจะฉีกไป๋ชิวหรานและถังเวยกลางอากาศ

ไป๋ชิวหรานยังคงสงบนิ่ง เขาคว้าตัวถังเวยไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งได้ปล่อยพลังปราณที่รุนแรงทุบอสูรซากศพทั้งสองตัว แต่เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้พื้นดินมากแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงไม่มีเวลาปรับท่าทาง เพราะเขามัวแต่ยุ่งกับการโคจรพลังและช่วยถังเวย

หลังจากกระแทกลงพื้น ทั้งสองได้เกาะกันแน่นขณะกลิ้งไปอีกหลายตลบก่อนจะหยุดลง

ถังเวยเงยหน้าขึ้นมองด้วยความวิงเวียน

“น้องถัง เจ้ายังสบายดีอยู่หรือไม่?”

เสียงของไป๋ชิวหรานดังขึ้นในหูของเขา จากนั้นถังเวยจึงส่ายหัวไปมาเพื่อเรียกสติ

“อืม ข้าไม่เป็นไรมาก ท่าน…” ขณะพูดเขารู้สึกว่าหน้าอกของตนอุ่น ๆ จึงก้มลงไปมอง และพบว่าไป๋ชิวหรานกำลังกดหน้าอกของตนอยู่ ส่วนอีกมือช่วยพยุงด้านหลัง

เวลานี้ถังเวยได้ยินเสียงบางอย่างในหัว จากนั้นใบหน้าของเขาได้เปลี่ยนเป็นสีแดง

“วะ…ว้ายยยย!” ถังเวยกรีดร้องและรีบลุกขึ้นออกห่างไป๋ชิวหรานทันที จากนั้นเขาใช้มือมาปิดบังตรงหน้าอก

เขาหรือนางรู้สึกสับสนอย่างมากตอนนี้ เพราะกลัวว่าความลับของตนจะถูกเปิดเผยโดยไป๋ชิวหราน

หลังจากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอันสงบนิ่งของอีกฝ่าย

“ไม่เป็นไรหรอกน้องถัง อย่าเข้าใจข้าผิด จิตของข้ายังปกติดีและไม่คิดสิ่งใดกับบุรุษด้วยกันหรอก”

หืม? ฮะ!? เขายังไม่รู้สินะ?

ถังเวยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นนางก็ได้ยินไป๋ชิวหรานกล่าวต่อ

“แต่อันที่จริง ข้าเคยสงสัยมาก่อนแล้วว่าเจ้าเป็นหญิงปลอมตัวมาเป็นชายนะน้องถัง เพราะกิริยาท่าทางของเจ้าก่อนหน้านี้มันดูเหมือนสตรีเหลือเกิน แต่ตอนนี้มั่นใจแล้วว่าสัมผัสข้าคงผิดเพี้ยนไป”

คนพูดหันหน้าไปมองพร้อมยิ้มอย่างสดใสราวกับบุปผาในฤดูร้อน

“เพราะถึงแม้ลักษณะทางเพศจะถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าพันหน้าอก แต่หญิงที่ไหนจะมีกล้ามเนื้อหน้าอกที่แข็งปึ้กเช่นนี้? เมื่อพิจารณาจากกล้ามเนื้อหน้าอกและซี่โครงของเจ้าแล้ว แม้แต่ร่างกายของข้าครั้งแรกในการเข้าสู่การบ่มเพาะพลังยังอ่อนแอกว่าเจ้าเสียอีก!”