บทที่ 35 ต้นฉบับหายไปแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

“หายไปแล้วเหรอ?” นัทธีขมวดคิ้วแน่น

วารุณีตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะโชว์เอกสารให้เขาดู “มีแต่กระดาษขาว แบบร่างของฉันถูกคนขโมยไป!”

“ขโมยงั้นเหรอ?” พิชญาปิดปากหัวเราะเบาๆ “คุณวารุณี ไม่ใช่ว่าคุณไม่ได้วาดเลย แต่หาข้ออ้างหรอกเหรอ ใครมันจะว่างจนไปขโมยแบบร่างของคุณล่ะ”

“อาจจะมีจริงๆ ก็ได้!” วารุณีหันไป พลางมองเธออย่างจริงจัง

พิชญาแววตาเป็นประกาย ก่อนจะตบโต๊ะด้วยความโกรธ “คุณหมายความว่าอย่างไร?คุณมองฉันทำไม?หรือคุณคิดว่าฉันเป็นคนขโมยไปงั้นเหรอ?”

“ฉันไม่ได้บอกว่าผู้จัดการพิชญาเป็นขโมย ผู้จัดการพิชญาไม่ต้องร้อนตัวขนาดนี้ก็ได้นะ?” วารุณีมีใบหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา

พิชญาโกรธเป็นอย่างมาก เหมือนกำลังจะพูดอะไร

นัทธีทนดูต่อไปไม่ได้ เลยตะโกนออกมา “พอได้แล้ว!”

“จะพอได้อย่างไร” พิชญาชี้ไปทางวารุณีด้วยอารมณ์โกรธ “นัทธี เธอทำให้เสียเวลาประชุมไม่พอ ยัง……”

“คุณฟังที่ฉันพูดไม่รู้เรื่องเหรอ?” นัทธีตะโกนตัดบทของเธอ ด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก

พิชญาตกใจมาก จนไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก

จากนั้น นัทธีมองเธอด้วยแววตาที่มืดลง ก่อนจะหันไปหาวารุณี “มีแบบสแกนสำรองไหม?”

“มี ฉันมักจะมีฉบับสำรองเอาไว้ในคอมพิวเตอร์ แต่มันอาจจะไม่มีแล้วก็ได้” พูดไป วารุณีก็รีบเปิดคอมพิวเตอร์แล้วดูไฟล์ของแบบสแกน มันไม่เหลืออะไรตามคาด

เมื่อเป็นแบบนี้ นอกจากความโกรธของเธอ ก็ไม่มีความประหลาดใจอย่างอื่นแล้ว

ถึงอย่างไรแบบร่างต้องถูกคนขโมยไปแล้ว แล้วจะเหลือแบบสแกนเอาไว้ได้อย่างไร

นัทธีเงียบไป พลางใช้ปลายนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ ทำให้มองความโกรธไม่ออก

ผ่านไปสักพัก จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมา “วันนี้เลิกประชุมก่อนดีกว่า เรื่องการวิจารณ์โครงร่างของBath fire rebirth ค่อยมาประชุมกันในครั้งต่อไปนะ!”

เมื่อพูดออกไป คนในห้องประชุมก็ไม่อยู่ต่อ ก่อนจะพากันเดินจากไป

เพียงไม่นาน ในห้องประชุมก็เหลืออยู่เพียงพวกเขาสามคน

วารุณีกอดคอมพิวเตอร์ อีกมือกอดกระเป๋าเอกสาร “ประธานนัทธี ฉันอยากไปดูที่ห้องกล้องวงจรปิดสักหน่อย”

“คุณอยากหาว่าใครมายุ่งกับแบบร่างของคุณงั้นเหรอ?” นัทธีเดาความคิดของเธอออกทันที

“ใช่!” วารุณีพยักหน้า พลางมองไปที่พิชญา เพราะอยากดูท่าทีของพิชญา

แต่พิชญานั้นนิ่งมากกว่าที่คิด ไม่ร้อนรนเลยแม้แต่น้อย มันทำให้วารุณีไม่มั่นใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว

หรือพิชญาจะไม่ได้ทำจริงๆ ?

ตอนที่กำลังคิดอยู่ นัทธีก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย ก่อนจะอนุญาต “ไปเถอะ!”

“โอเค” วารุณีเลิกสงสัย ก่อนจะขอบคุณ แล้วออกจากห้องประชุมไป

หลังจากที่เธอไปแล้ว นัทธีก็หรี่ตามองพิชญา “บอกมาเถอะ ว่าคุณได้ทำหรือเปล่า?”

พิชญามีสีหน้าท่าทางไม่เชื่อ “นัทธี คุณเองก็สงสัยฉันงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่ว่าฉันอยากจะสงสัยคุณ แต่คุณมีประวัติมาก่อน เพราะคุณคอยแต่จะจับจ้องแต่เธอมาก่อนไงล่ะ” นัทธีบอกเรื่องที่เธอเคยทำมาก่อน

พิชญาหดขา เหมือนไม่พอใจกับการที่เขาไม่เชื่อ “ฉันยอมรับ ว่าฉันเคยพยายามตั้งใจจับผิดเธอ แต่เรื่องนี้ฉันไม่ได้ทำนะ ถ้าฉันทำ ทำไมฉันไม่ห้ามไม่ให้เธอไปดูกล้องวงจรปิดล่ะ?”

เมื่อเป็นแบบนั้น นัทธีก็อึ้งไป จากนั้นก็ผลุบตาลง เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมา

พิชญารู้ว่าเขาเริ่มโอนเอนเพราะคำพูดของตัวเองแล้ว เลยแอบยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เพียงไม่นาน เธอก็ปรับอารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง ก่อนจะดึงแขนเขา แล้วส่งสายตาให้เขา “นัทธี คุณเชื่อฉันเถอะ ครั้งก่อนคุณบอกว่าไม่ให้ฉันไปยุ่มย่ามกับวารุณีแล้ว ฉันจะไม่ฟังได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นมันก็หมายความว่าเป็นศัตรูกับคุณไม่ใช่เหรอ”

“โอเค” นัทธีดึงมือออกมาอย่างไร้อารมณ์ร่วมใดๆ ก่อนจะตบๆส่วนที่ยับอยู่ “ก็ขอให้คนที่ทำไม่ใช่คุณจริงๆ เถอะไม่อย่างนั้นคุณคงต้องกลับไปที่ห้องทำงานของคุณเถอะ”

เมื่อพูดจบ เขาก็ไม่มองเธออีก ก่อนจะก้าวออกจากห้องประชุมไป

ภายในห้องกล้องวงจรปิด วารุณีก็กอดอก จากนั้นก็มองจออย่างไม่ละสายตา เพราะกลัวว่าจะพลาดอะไรที่น่าสงสัยไป

นัทธีเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ เธอ ก่อนจะมองหน้าจอไปพร้อมกับเธอ “เป็นอย่างไรบ้าง เห็นอะไรหรือยัง?”

วารุณีส่ายหัว พลางมีใบหน้าจริงจัง “ยังเลย นี่ฉันดูมาสองรอบแล้ว ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงเช้าวันนี้ ไม่มีใครมายุ่งกับที่ทำงานของฉันเลย”

“มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลนะ!” นัทธีขมวดคิ้ว

วารุณีลูบคางของตัวเอง “ใช่แล้วล่ะ ฉันเองก็รู้สึกว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล”

ไม่มีใครมาแตะต้องกับที่ทำงานของเธอ แต่แบบร่างของเธอกลับหายไป แบบสแกนเองก็ถูกลบออก

นี่มันไม่ปกติแล้ว!

แต่มันผิดพลาดตรงไหนกันนะ?

วารุณีกัดเล็ก พลางก้มหน้าคิดหนัก

ผ่านไปสักพัก จู่ๆ เธอก็คิดอะไรออก เลยหรี่ตามอง “ประธานนัทธี ขอโทษที่ทำให้งานประชุมวันนี้พังด้วยนะ ให้เวลาฉันหน่อย ฉันจะทำให้เรื่องนี้มันชัดเจน จะหาคำอธิบายให้กับคุณ แล้วก็กับตัวฉันเองด้วย”

เธอโค้งให้นัทธี

เรื่องนี้ เธอไม่มีทางปล่อยไปแบบนี้

เธอจะต้องให้คนที่มายุ่งกับงานออกแบบได้รับโทษ

“คุณพอจะจัดการได้ไหม?” นัทธีมองวารุณี พลางผลุบตาลงแล้วพูดเสียงนิ่งๆ

เมื่อนึกถึงแผนที่ผู้ช่วยตัวยน้อยของตัวเองจะช่วยขึ้นมา วารุณีจึงเผยรอยยิ้มขึ้นมา “แน่นอน!”

“ห๊ะ?” เธอตอบอย่างไม่ลังเล ทำให้นัทธีเลิกคิ้วขึ้น “โอเค งั้นฉันให้เวลาคุณหนึ่งวัน ถ้าคุณตรวจสอบไม่ได้ คุณก็ต้องวาดรูปแบบโครงร่างใหม่ จะให้เหมือนก่อนหน้านี้ไม่ได้แล้วนะ เข้าใจไหม?”

“โอเค!” วารุณียืดตัวตรง ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ

นัทธีตอบรับ ก่อนจะหันตัวเดินจากไป

วารุณีเองก็ไม่ได้อยู่ในห้องกล้องวงจรปิดนาน หลังจากที่คัดลอกคลิปกล้องวงจรปิดของห้องทำงานแล้ว ก็กลับไปที่แผนกออกแบบ

เมื่อตกบ่าย เธอก็ออกจากบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป แล้วก็ไปหานักสืบพลางเอาเมาส์ของคอมพิวเตอร์ไปให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาตรวจสอบว่ามีรอยนิ้วมือหลงเหลืออยู่ไหม จากนั้นก็นั่งแท็กซี่ไปโรงเรียนอนุบาลเพื่อรับลูก

“หม่ามี๊ คุณอานัทธีล่ะ?” เมื่อไอริณไม่เห็นนัทธี ใบหน้าน่ารักนั้นเลยไม่มีรอยยิ้มอยู่

วารุณีลูบจมูกของเธอ “เป็นอะไรเหรอ ชอบคุณอานัทธีขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“อือ ชอบมากๆ” ไอริณพยักหน้า

อารัณเองก็ถาม “จริงสิหม่ามี๊ ทำไมวันนี้คุณอานัทธีไม่มาส่งล่ะ?”

“คุณอานัทธีติดธุระ นอกจากนี้ขาของหม่ามี๊เองก็ดีขึ้นมากแล้ว ดังนั้นเลยไม่ต้องให้คุณอานัทธีมาส่ง” วารุณีถือกระเป๋าของเด็กทั้งสองคนขึ้นก่อนจะตอบขึ้น

อารัณแกะลูกอมออกก่อนจะใส่เข้าปาก “แล้วพวกเราจะได้เจอคุณอานัทธีอีกทีเมื่อไหร่?”

“เดี๋ยวมีโอกาสก็ได้เจอเองนั่นแหละ เราขึ้นรถกันเถอะ” วารุณีตบก้นของเด็กทั้งสองคน

เด็กทั้งสองคนโบกมือก่อนจะขึ้นแท็กซี่ไป

หลังจากที่พวกเขานั่งดีแล้ว วารุณีก็หรี่ตามองอารัณ “เด็กน้อยอารัณ หม่ามี๊อยากให้หนูช่วยอะไรหน่อย”

“ช่วยอะไรเหรอ?” อารัณหมุนๆ ลูกอมในปาก

ไอริณกะพริบตาปริบๆ พลางมองวารุณี “หม่ามี๊ ไอริณเองก็ช่วยหม่ามี๊ได้นะ”

“หม่ามี๊รู้ว่าไอริณเก่งมาก แต่เรื่องนี้ ให้พี่ช่วยดีกว่า ครั้งหน้าไอริณค่อยช่วยหม่ามี๊ดีไหม?” วารุณีลูบๆ พุงของลูกสาว

ไอริณหัวเราะไม่หยุด “โอเค ครั้งหน้าไอริณค่อยช่วยหม่ามี๊นะ”

“ไอริณน่ารักจังเลย!” วารุณีปล่อยเธอ จากนั้นก็มองอารัณ “หม่ามี๊อยากให้หนูได้ใช้ฝีมือทางเทคโนโลยีคอมที่หนูมี เพื่อช่วยหม่ามี๊ตรวจกล้องวงจรปิดของบริษัทหน่อย”

เธอสงสัยว่าจะมีคนมาทำอะไรกับกล้องวงจรปิดน่ะ

“ตรวจสอบกล้องวงจรปิดของบริษัทงั้นเหรอ?” อารัณเอียงคอ “ทำไมเหรอ?”

“เพราะแบบร่างของหม่ามี๊ถูกคนขโมยไป!” วารุณีนวดขมับ พลางตอบด้วยความเหนื่อยล้า

อารัณหน้าเคร่งขรึมลง แววตาก็จริงจังขึ้นมา “มีคนแกล้งหม่ามี๊งั้นเหรอ?”