ภายในดินแดนสีเลือดนั้นเอเลนอร์กำลังยืนตัวตรงอยู่ ลมที่พัดผ่านทำให้ผมของเธอปลิวสลวยต่อหน้าสัตว์ร้ายที่ยืนเรียงกันเป็นแถว โดยที่แต่ละตัวต่างดุร้ายกว่าสัตว์ร้ายปกติมาก

แถวของสัตว์ร้ายที่รวมตัวกันดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด ต่อหน้าสถานการณ์เช่นนั้นเอเลนอร์กลับยืนอย่างสงบนิ่ง ใบหน้าที่สวยงามของเธอแสดงท่าทีท้าทายอย่างกล้าหาญต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

ปีศาจบนฟ้าเมื่อเห็นอย่างนั้นก็เพียงยิ้มเยาะอย่างเย้ยหยัน

“ขอข้าดูหน่อยเถอะว่าแกจะสงบสติอารมณ์ได้นานแค่ไหนกัน”

พูดจบมันก็ดีดนิ้วก่อนจะมีตัวจับเวลา 2 ชั่วโมงปรากฏขึ้นมา

“รอดให้ได้ 2 ชม. แล้วจะเริ่มรอบต่อไป”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดของปีศาจเวลาก็เริ่มเดิน สัตว์ทุกตัวคำรามพร้อมกับเริ่มวิ่งเข้ามาหาเอเลนอร์ด้วยความตั้งใจที่จะฉีกเธอให้เป็นชิ้นๆ

เมือเห็นเช่นนั้นเอเลนอร์ก็ง้างคันธนูของตนเอง ตอนนี้พลังของเธอถูกระงับไว้ที่ต้นกำเนิดระดับ 1 เธอเลยไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก

คันธนูที่เอเลนอร์ใช้นั้นมีสีดำเข้มและดูเหมือนมันจะมีชีวิต เมื่อง้างคันธนูก็มีลูกธนูปรากฏขึ้นมา ทันทีที่เธอยิงออกไปเพียงครั้งเดียวลูธนูก็แตกตัวออกเป็น 10 ลูกพร้อมกับคร่าชีวิตของสัตว์ร้ายที่อยู่ข้างหน้าอย่างแม่นยำ

ในเวลาเดียวกันนั้นเธอก็เริ่มวิ่งหนีจากกระแสของสัตว์ร้าย แม้ว่าเธอจะวิ่งอยู่แต่แขนของเธอก็ยังคงยิงลูกธนูออกไปอย่างต่อเนื่อง ลูกธนูแต่ละดอกที่เคลื่อนไหวต่างพากันเก็บเกี่ยวชีวิตของสัตว์ร้ายอย่างไม่หยุดหย่อน

แต่ทุกคนนั้นมีขีดจำกัดเป็นของตัวเอง ไม่นานภายในไม่กี่นาทีเอเลนอร์ก็ถึงขีดจำกัด มานาของเธอเริ่มลดลงและความเร็วของลูกธนูก็ลดลงเช่นกัน

กระแสของสัตว์ร้ายที่อยู่ข้างหลังเธอเริ่มที่จะตามมาทันแล้ว ทันทีที่เธอยิงธนูดอกที่ 10 ออกไป สัตว์ร้ายหลายตัวก็มาถึงข้างหลังของเธอ 

เมื่อเห็นพวกสัตว์ร้ายที่ฉายแววเหี้ยมโหด เอเลนอร์จึงรีบดึงพลังชีวิตของตัวเองออกมาเพื่อทำลายโซ่ตรวนที่ผูดมัดเธอเอาไว้

แต่ในตอนนั้นเองก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น ขณะที่สัตว์ร้ายกำลังจะทำร้ายเอเลนอร์ พวกมันทั้งหมดกลับถูกกำจัดไปจนหมดพร้อมกับเสียงอันแสนคุ้นเคยที่เอเลนอร์คิดถึงที่ดังขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าอาจารย์กำลังแย่เลยนะครับ”

ขณะที่เสียงนั้นจางลง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเอเลนอร์ ผมสีเงินของเขาปลิวไสวไปตามสายลมและหันหลังให้เอเลนอร์ ใบหน้านุ่มนิ่มของเขาที่เธอจำได้นั้นตอนนี้กลายเป็นใบหน้าที่หล่อเหลาไปซะแล้ว

“ออสติน?”

เอเลนอร์เรียกชื่อของเขาขึ้นมาด้วยความไม่เชื่อตาตัวเอง ลูกศิษย์ตัวน้อยของเธอโตขนาดนี้แล้วงั้นเหรอ?

เมื่อเห็นเอเลนอร์ที่กำลังเรียกชื่อผมอยู่ ผมก็หันกลับไปก่อนจะยิ้มให้เธอ ในขณะเดียวกันผมก็เปิดใช้งานบาเรียรอบตัวพวกเราเพื่อหยุดสัตว์ร้ายเอาไว้และหันไปหาเอเลนอร์ซึ่งยังคงตกใจอยู่

“อาจารย์คิดถึงผมไหมครับ?”

ขณะที่ถามผมก็เดินเข้าไปหาเอเลนอร์พร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะกอดเธอ ผมรู้สึกว่าร่างกายของเธอแข็งกว่าเดิม ส่วนสูงของเธอนั้นเตี้ยกว่าผมนิดหน่อย ดังนั้นในตอนที่ผมกอดเธอ หัวของเธอเลยตรงเข้ามาที่คางของผมพอดี

“ผมคิดถึงอาจารย์มากเลยนะครับ”

เมื่อเอเลนอร์ได้ยินเสียงที่เจือไปด้วยความสุข เธอก็ผ่อนคลายและกอดผมกลับเช่นกัน

“อาจารย์ก็คิดถึงเธอเหมือนกัน”

ฉากกอดกันคงจะสมบูรณ์แบบกว่านี้ถ้าไม่ใช่เพราะกระแสของสัตว์ร้ายที่กำลังโจมตีบาเรียและปีศาจ 3 ตาที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าที่มองพวกเราอย่างไม่เชื่อสายตาอยู่

หลังจากกอดกันซักพักเราก็ผละออกจากกัน เอเลนอร์จับหน้าผมก่อนจะมองขึ้นลงเพื่อดูว่าผมได้รับบาดเจ็บรึเปล่า เมื่อเห็นผมไม่เป็นอะไรเธอก็ยิ้มออกมา

“ดูเหมือนเธอจะโตขึ้นมากเลยนะ”

น้ำเสียงที่ปกติจะสงบของเธอมีแต่ความสุขและความภูมิใจ เธอดูราวกับว่าตัวเองเป็นคนที่ผลักสัตว์ร้ายทั้งหมดออกไป

“เธอมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”

“ผมเคยอยู่ในหมู่บ้านนี้มาก่อนที่อาจารย์จะมาที่นี่ครับ ในตอนที่ผมเห็นอาจารย์ก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นคุณ ดังนั้นผมเลยคิดจะทำให้อาจารย์ประหลาดใจ แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นกันหล่ะครับ”

ผมพูดออกไปพร้อมกับส่งยิ้ม “ไร้เดียงสา” ให้เธอเพื่อสื่อถึงความตั้งใจของตัวเองและดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเช่นกันเมื่อผมเห็นว่าเอเลนอร์ส่ายหัวให้ 

หลังจากนั้นเธอก็เข้ามาใกล้ก่อนจะเริ่มหยิกหูผม

“เจ้าศิษย์บ้า บังอาจสะกดรอยอาจารย์ตัวเองงั้นเหรอ?”

ในขณะที่เธอกำลังจะดุผมไปมากกว่านี้ก็ได้มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นมา

ดูเหมือนว่าบาเรียจะทนไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

“ฮ่ะ…ฮ่ะ…ฮ่ะไอ้หนู ข้าไม่รู้หรอกนะว่าแกเข้ามาได้ยังไงโดยที่ข้าไม่รู้ตัว แต่สุดท้ายก็ต้องตายอยู่ที่นี่พร้อมกับนังผู้หญิงนั่น”

ในตอนนั้นเองเจ้าปีศาจก็พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะอันเย้ยหยันที่เป็นเอกลักษณ์ของมันราวกับว่าทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน

“อาจารย์ ขึ้นมาสิครับผมจะแบกคุณไปเอง”

ในขณะเดียวกันผมก็ก้มลงให้เอเลนอร์ขึ้นไปเกาะบนหลังของตัวเอง แต่แม้จะผ่านไปกี่วินาทีผมก็ไม่รู้สึกถึงอะไรเลย ผมเลยหันไปมองเอเลนอร์ที่กำลังสับสน

“เธอจะทำอะไร?”

ในตอนที่ผมมองหน้าเธอก็เห็นทั้งความมั่นใจและความภาคภูมิใจปรากฏอยู่ ความภาคภูมิใจในฐานะหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกได้กระแทกเข้ามาที่ผม

‘เอ่ออ…เราคงได้ใจเกินไปหน่อย’

ผู้หญิงแทบทั้งหมดที่ผมมีปฏิสัมพันธ์ด้วยนั้นต่างเป็นเด็กที่มีปัญหาต่างๆ พวกเธออ่อนแอและเปราะบาง แต่ผู้หญิงตรงหน้าผมไม่ใช่พวกเธอ

เอเลนอร์เป็นคนที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก เธอคือคนที่มาถึงระดับนี้ได้ด้วยพลังของตัวเอง คนที่มีหลักการอย่างเธอคงจะไม่ทำตามสิ่งที่ผมพูดเหมือนคนอื่นๆ เธอรู้ว่าเธอควรจะทำอะไร

ผมหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนจะลืมตาขึ้นและยืนขึ้นเพื่อขอโทษเธอ

“ผมขอโทษครับอาจารย์ ดูเหมือนผมจะอวดดีมากไปหน่อย แล้วเราควรทำยังไงกันดีครับ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของผม เอเลนอร์ก็ยิ้มขึ้นมาก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวผม

“ดูเหมือนเธอจะโตขึ้นมากเลยนะออสติน”

หลังจากพูดจบเธอก็ยกคันธนูขึ้น

“ฟังฉันให้ดีๆ หล่ะ ต้องขอบคุณบาเรียของเธอที่ทำให้ฉันได้มานาส่วนใหญ่กลับมาแล้ว ในตอนที่บาเรียแตกเธอสามารถสร้างทางให้พวกเราหนีได้ไหม?”

“ครับผมทำได้”

ผมพยักหน้ารับคำพูดของเธอ

“ดีมาก ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง พลังทั้งหมดของฉันอาจจะยังไม่กลับมา แต่ฉันก็ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะ”

ทันทีที่เธอพูดจบผมก็หยิบคันธนูออกมาก่อนจะหยิบลูกธนูธรรมดาขึ้นมาง้างพร้อมกับนึกถึงร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมสีดำเหมือนดวงตา

ขณะที่ผมทำแบบนั้นก็ได้มีสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟปรากฏขึ้นต่อหน้าผม ทันทีที่มันปรากฏขึ้นมานั้นราวกับว่าการทำลายล้างได้จุติลงมา มานาในพื้นที่เริ่มหยุดชะงัก แม้แต่สัตว์ร้ายที่ทำลายบาเรียจนพังทลายไปแล้วก็ยังขยับถอยหลังไปเล็กน้อย

สัญชาตญาณของพวกมันกำลังกรีดร้องถึงบางอย่าง…ความตาย 

ปีศาจที่บินอยู่บนท้องฟ้าร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ

“นั่นมัน!!?”

เอเลนอร์มองไปที่เปลวไฟประหลาด แม้แต่สัญชาตญาณของเธอก็ยังกรีดร้องว่ามันอันตราย

“ดูเหมือนว่าเธอจะมีความลับอยู่เยอะเลยนะในหลายปีที่ผ่านมานี้”

สำหรับคำพูดของเอเลนอร์ ผมทำเพียงแค่ยิ้มให้เธอกลับไป

“พร้อมไหมครับ?”

“อืม”

 

 

 

-Donate-
True Money Wallet ID : mraxzy 
ไทยพาณิชย์ : 4051572923 //ชาคริต