ครึก ครึก ครึก
 

บรื่นนนนนนนน—-

 

ในช่วงเย็นของวันเดียวกันนั้นบนถนนเส้นหลักทางทิศใต้ของเมืองรีมินัสอยู่ๆ ก็ได้มีรถกระบะขนาดใหญ่พุ่งผ่านรถม้าคันหนึ่งไปอย่างรวดเร็วจนทำให้คนขับรถม้าคันนั้นต้องรีบเบี่ยงหลบไปข้างถนนและพูดบ่นออกมาเบาๆ

 

“เหอะ… ไอ้พวกหน่วยที่ได้รถมาขับนี่มันดีจริงนะ…”

 

ซึ่งถึงแม้ว่าชายที่ขับรถม้านั้นจะแต่งตัวคล้ายกับทหาร แต่ว่าตราสัญลักษณ์ที่ถูกติดเอาไว้บนชุดของเขานั้นกลับไม่ได้เป็นรูปประภาคารที่กำลังส่องสว่างอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองรีมินัส โดยมันได้เป็นตราสัญลักษณ์รูปโลกครึ่งใบที่โผล่พ้นมาจากขอบด้านล่างของตราสัญลักษณ์นั้นแทน ซึ่งมันก็เหมือนกับตราที่ติดไว้บนรถกระบะที่เพิ่งจะพุ่งผ่านไปไม่ผิดเพี้ยน

 

และหลังจากที่เขามองตามรถกระบะไปจนมันลับสายตาไปแล้ว เขาก็เคาะไปที่ตัวรถม้าที่เขาขับอยู่และพูดขึ้นมา

 

“แถวนี้น่าจะไกลจากเมืองพอแล้วล่ะมั้ง… เฮ้ยเอาพวกมันลงมาได้แล้ว! รีบๆ จัดการให้เสร็จจะได้กลับกราวิทัสกันสักที”

 

“ครับ!”

 

ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงของชายคนหนึ่งตะโกนตอบเขากลับออกมาจากภายในตัวรถ ก่อนที่ประตูของรถม้าที่ถูกเหล็กดัดครอบเอาไว้เป็นลูกกรงจะถูกเปิดออกและมีทหารที่แต่งตัวแบบเดียวกันกระโดดลงมา

 

ซึ่งหลังจากที่ทหารคนนั้นกระโดดลงมาแล้วเขาก็มองซ้ายมองขวาดูรอบๆ สักพักจนมั่นใจว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว จากนั้นเขาจึงกวักมือเรียกเด็กผู้หญิงผมสีทองคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเก่าๆ โทรมๆ ที่ขาดหลุดลุ่ยให้ตามลงมาจากรถม้าด้วย

 

และหลังจากที่เด็กสาวผมทองที่ถูกเชือกมัดข้อมือเอาไว้คนนั้นได้เดินลงมาแล้ว ด้านหลังของเธอก็มีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ และถูกเชือกมัดเอาไว้เช่นเดียวกันเดินตามหลังเธอออกมา

 

“รีบๆ ลงไปได้แล้ว!!”

 

ในขณะที่ชายวัยกลางคนนั้นกำลังหันไปมามองดูสภาพภายนอกรถม้าที่เขาไม่คุ้นเคยนั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาและแผ่นหลังของเขาก็ถูกถีบเข้าอย่างจังโดยฝ่าเท้าของนายทหารอีกคนที่ยังอยู่ในรถม้าจนทำให้ร่างของเขากระเด็นลงมาหน้าทิ่มกับพื้นอย่างรุนแรง

 

ผลัก!!

 

“โอ๊ย!?”

 

“คุณพ่อคะ—- โอ๊ย!?”

 

เด็กสาวผมสีทองที่เห็นบิดาของตนถูกเตะจนกระเด็นลงมานั้นรีบหันหลังกลับและวิ่งเข้าไปหาพ่อของเธอในทันที แต่ว่าก่อนที่เธอจะได้เข้าถึงตัวอีกฝ่ายนั้น เส้นผมสีทองยาวของเธอก็ถูกกระชากเอาไว้ก่อนจนทำให้เธอหงายหลังล้มลงไป

 

“ใครสั่งให้แกหันกลับไปหะ!!”

 

“ปล่อยหนูนะ!!”

 

“หยุดนะ!! ซัมเมอร์ทำตามที่พวกมันบอกเถอะ! พ่อไม่เป็นอะไรหรอก!!”

 

ชายวัยกลางคนที่เห็นลูกสาวของตัวเองถูกกระชากเส้นผมจนหงายหลังล้มไปและกำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากการจับกุมของอีกฝ่ายนั้นได้รีบร้องห้ามลูกสาวของเขาเอาไว้พร้อมกับพยายามลุกขึ้นมายืนอีกครั้ง แต่ว่าทันใดนั้นเองศีรษะของเขาก็ถูกฝ่าเท้าของทหารคนที่ถีบเขาลงมากระทืบเข้าอย่างแรง

 

ผลัก!!

 

“ใครอนุญาตให้แกพูด!”

 

“คุณพ่—–”

 

เมื่อเด็กสาวที่ชื่อว่าซัมเมอร์เห็นพ่อของตนถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งเธอก็หยุดดิ้นลงในทันทีและร้องเรียกอีกฝ่ายขึ้นมา แต่ว่าคุณพ่อของเธอก็กลับส่งสายตาเตือนเธอกลับมาจนทำให้เธอหยุดพูดไปกลางคัน

 

“รีบลุกขึ้นแล้วเดินตามมา!”

 

ทันใดนั้นเองนายทหารที่เป็นคนขับรถม้าก็ได้พูดขึ้นมาหลังจากที่เขามองดูการกระทำของลูกน้องของตนได้สักพักพร้อมกับเดินนำเข้าไปในแนวต้นไม้ที่อยู่ริมถนน จนทำให้ทหารทั้งสองคนที่กำลังสนุกสนานอยู่ต้องรีบกระชากตัวนักโทษทั้งสองคนให้ลุกยืนขึ้นและเดินตามไปในทันที

 

หลังจากที่สองพ่อลูกเดินตามนายทหารคนนั้นไปได้สักพักและพบว่าอีกฝ่ายกำลังพาพวกเขาออกห่างจากถนนเส้นหลักไปเรื่อยๆ จนแทบมองไม่เห็นตัวถนนอีกต่อไป พ่อของเด็กสาวผมทองก็ได้พูดขึ้นมาอย่างเป็นกังวล

 

“พวกแกคิดจะพาพวกฉันไปที่ไหนกันแน่…?”

 

นายทหารที่เดินนำหน้านั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ก่อนที่เขาจะหยุดเท้าลงและหันกลับมาสั่งสองพ่อลูกที่เดินตามมา

 

“เอาล่ะ คุกเข่าลงซะ”

 

“พ—พวกแกคิดจะทำอะไร—”

 

“…”

 

นายทหารที่เห็นว่าชายวัยกลางคนไม่ยอมทำตามคำสั่งของเขาดีๆ นั้นได้พยักหน้าให้สัญญาณกับทหารอีกคนที่ยืนคุมตัวชายวัยกลางคนอยู่ทางด้านหลัง และเมื่อทหารคนนั้นได้รับคำสั่งแล้วเขาก็ตะคอกใส่อีกฝ่ายเสียงดังและถีบเข้าใส่แผ่นหลังของชายวัยกลางคนเต็มแรงและใช้ฝ่าเท้าเหยียบแผ่นหลังของเขาเอาไว้

 

“บอกให้คุกเข่าลง!!”

 

ผลัก!!

 

“ย…หยุดทำร้ายคุณพ่อนะ!!”

 

เด็กสาวผมสีทองที่เห็นว่าพ่อของตนกำลังถูกทำร้ายร่างกายอีกครั้งนั้นได้ตะโกนขึ้นมาพร้อมกับพุ่งเข้าไปหาทหารคนนั้นในทันที แต่ว่ายังไม่ทันที่เธอจะได้ขยับออกจากจุดเดิม ทหารอีกคนหนึ่งที่ยืนคุมตัวอยู่ทางด้านหลังก็ได้พูดขึ้นมาพร้อมกับเหวี่ยงขาเตะไปที่ใบหน้าของเธอเต็มแรง

 

“น่ารำคาญจริง!”

 

ผลัวะ!!

 

“—!!”

 

“ซัมเมอร์!!”

 

ร่างของเด็กสาวผมทองที่ถูกเตะเข้าไปจังๆ นั้นได้กระเด็นออกไปไกลนับเมตร แต่ก่อนที่เธอจะได้ยันร่างของตัวเองลุกขึ้นมาอีกครั้งนั้น ทหารคนที่เตะเธอกระเด็นออกมาก็ได้เดินเข้ามาล็อกตัวเธอเอาไว้กับพื้นซะก่อน

 

ส่วนทางด้านนายทหารคนแรกที่เหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนั้นได้ก็เดินเข้าไปกระชายผมของชายวัยกลางคนที่ถูกเหยียบไว้กับพื้นขึ้นมาเพื่อพูดใส่หน้าของอีกฝ่าย

 

“รู้มั้ยว่าพวกแกทำเอาพวกฉันวุ่ยวายขนาดไหนน่ะหะ? น่าเสียดายนะทั้งที่อีกนิดเดียวก็จะหนีเข้าเมืองรีมินัสได้แล้วแท้ๆ น่ะ… แต่ถึงจะหนีเข้าไปได้จริงๆ มันก็แค่ทำให้พวกฉันเสียเวลาขึ้นไปอีกแค่นิดหน่อยเท่านั้นล่ะนะ เพราะงั้นตอนนี้ช่วยอยู่นิ่งๆ แล้วก็ยอมรับความผิดที่แกทำไปแต่โดยดีซะเถอะ”

 

“ความผิด!? พวกฉันที่เป็นแค่พ่อค้าธรรมดาๆ ไปทำความผิดอะไรเข้าถึงขนาดทำให้พวกแกต้องมาตามล่ากันขนาดนี้ด้วยเนี่ยหะ!?”

 

“มีสิ ก็อย่างเช่นข้อหายักยอกภาษีของโรงเรียนกราวิทัสแล้วใส่ร้ายว่าเป็นฝีมือของขุนนางคนหนึ่ง แล้วก็เรื่องที่ว่าพวกแกมีส่วนรู้เห็นกับพวกกบฏที่วางแผนโค่นล้มราชวงค์ของเมืองกราวิทัสไงล่ะ”

 

“กบฏ…? —!? อย่าบอกนะว่าพวกแ—-”

 

ปี๊ก!! กร๊อบ!

 

ในขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังพูดอะไรบางอย่างออกมานั้น อยู่ๆ ทหารคนที่เหยียบแผ่นหลังของเขาเอาไว้อยู่ก็ได้ยกเท้าขึ้นเล็กน้อยก่อนจะกระทืบกลับลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรงทำให้เสียงกระดูกท่อนไหนสักท่อนของชายวัยกลางคนส่งเสียงดังลั่นจนเขาส่งเสียงร้องกรีดร้องออกมา

 

“อ๊ากกกกกกก”

 

“ค—คุณพ่อ—!!”

 

ชายวัยกลางคนหยุดหอบหายใจสักพักก่อนที่เขาจะจ้องนายทหารที่เหมือนว่าจะเป็นหัวหน้าด้วยสายตาโกรธแค้นและเค้นเสียงพูดขึ้นมา

 

“แฮ่ก…แฮ่ก… ข…ข้อหาพวกนั้นมันก็แค่ข้ออ้างที่พวกแกเอาไปยัดเยียดใส่คนอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของพวกแกเองไม่ใช่หรือไง!!”

 

“หึหึ มันก็อาจจะเป็นแบบนั้นก็ได้ล่ะมั้ง แต่ว่าน่าเสียดายนะที่แกคงจะไม่ได้ไปเล่าให้ใครฟังแล้วล่ะ…”

 

นายทหารผู้เป็นหัวหน้านั้นได้หัวเราะออกมาก่อนที่เขาจะชักปืนสั้นออกมาจากซองปืนข้างกายและนำมันมาจ่อศีรษะของชายวัยกลางคนเอาไว้

 

แกร๊ก

 

“เพราะว่าสุดท้ายแล้วสิ่งที่คนอื่นจะได้รับรู้ก็คือว่าแกที่เป็นหนึ่งในขบวนการกบฏที่ได้ถูกวิสามัญโดยผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างพวกฉันไปแล้วยังไงล่ะ…”

 

“ไอพวกสารเลวเอ๊ย!!”

 

“ย—หยุดนะ—!!”

 

“ซัมเมอ—”

 

ปั้ง—!!! เปรี๊ยะ…

 

นายทหารคนนั้นไม่สนใจเสียงร้องห้ามของเด็กสาวและลั่นไกออกไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อยราวกับว่าเขาทำเรื่องแบบนี้มาเป็นประจำอยู่แล้ว ทำให้ปืนสั้นในมือของเขาปลดปล่อยกระสุนพลังวิซออกมาอย่างรุนแรง พร้อมๆ กับที่ตัวคริสตัลที่ใช้ปลดปล่อยกระสุนออกมาได้แตกกระจายไปราวกับว่ามันถูกออกแบบมาให้ใช้แล้วทิ้งแบบนี้อยู่แล้ว

 

ซึ่งกระสุนพลังวิซที่พุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนนั้นก็ได้พุ่งทะลุเข้าไปภายในศีรษะของชายผู้เป็นบิดาของเด็กสาวผมสีทองต่อหน้าต่อตาเธอ ก่อนที่ร่างของชายวัยกลางคนที่กำลังพยายามขัดขืนอยู่นั้นจะชะงักไปกลางคันและแน่นิ่งไปตลอดกาล

 

“ม๊ายยยยยยยยยยยยยยย!!!”

 

ผลัก!!

 

เด็กสาวผมสีทองที่เห็นร่างของคุณพ่อของเธอล้มลงไปนั้นได้กรีดร้องออกมาสุดเสียงพร้อมกับออกแรงทั้งหมดในร่างเล็กๆ ของเธอเพื่อสลัดให้หลุดจากการจับกุมและรีบวิ่งเข้าไปหาร่างของชายผู้เป็นพ่อในทันที

 

“ม–ไม่จริง…คุณพ่อ! คุณพ่อคะ!!”

 

เด็กสาวพยายามใช้มือของเธอที่ถูกมัดอยู่นั้นเขย่าร่างตรงหน้าไปมา ก่อนที่น้ำตาซึ่งเอ่อล้นขึ้นมาบนดวงตาของเธอจะไหลลงมาอย่างไร้การควบคุม

 

“ตื่นสิคะคุณพ่อ!…ตื่นขึ้นมาเถอะ!!”

 

แต่ไม่ว่าเด็กสาวจะพยายามเขย่าร่างอีกฝ่ายขนาดไหน ชายผู้เป็นพ่อของเธอนั้นก็ไม่มีทางที่จะลุกกลับขึ้นมาได้อีกแล้ว

“เอาล่ะ หมดเวลาโวยวายแล้วแม่หนู!”

 

หมับ!

 

“โอ๊ย!!”

 

ทันใดนั้นเองทหารคนที่ถูกเธอผลักออกไปเมื่อสักครู่นั้นก็ได้เดินเข้ามาและกระชากเส้นผมของเธออีกครั้ง

 

แต่ว่าในคราวนี้เด็กสาวกลับพยายามสะบัดตัวเองออกมาโดยไม่มีท่าทีว่าจะสนใจความเจ็บปวดหรือว่าเส้นผมสีทองของเธอที่ที่หลุดติดมืออีกฝ่ายไปบางส่วนนั้นเลยแม้แต่น้อยพร้อมกับตะโกนใส่ทหารเหล่านั้นอย่างโกรธแค้น จนทำให้ทหารอีกคนหนึ่งต้องรีบเข้าไปช่วยเพื่อนของเขาล็อกตัวเด็กสาวผู้กำลังบ้าคลั่งเอาไว้ในทันที

 

“ฉ…ฉันจะฆ่าพวกแก!! ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมดทุกคน!!”

 

“งั้นก็พยายามเข้าละกัน ถ้าเกิดว่าผีมันมีอยู่จริงน่ะนะ”

 

แกร๊ก

 

ทหารผู้ที่เป็นหัวหน้านั้นได้พูดขึ้นมาอย่างล้อเลียนพร้อมกับยกปืนสั้นที่เปลี่ยนตลับกระสุนเสร็จเรียบร้อยแล้วมาจ่อไว้ที่กลางหน้าผากของอีกฝ่ายเอาไว้ แต่ว่าเด็กสาวที่ถูกปืนจ่อศีรษะเอาไว้ก็เหมือนกับว่าจะไม่สนใจมันและยังคงตะโกนสาปแช่งเขาต่อไป

 

“ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด! ทั้งพ่อแม่ของพวกแก…! ทั้งคนรักของพวกแก…! พวกมันจะต้องตายให้หมดทุกคน!! ไอพวกสารเลว!!”

 

“รู้อะไรมั้ยยัยหนู ถ้าเกิดว่าเธอยอมหุบปากไปสักพักล่ะก็นะพวกฉันก็อาจจะยอมเปลี่ยนเครื่องมือจากปืนนี่เป็นอย่างอื่นก็ได้นะ ฮิฮิฮิ”

 

ทันใดนั้นเองนายทหารผู้เป็นหัวหน้าก็ได้พูดขึ้นมาด้วยแววตาแพรวพราวหลังจากที่เขาได้เห็นผิวกายขาวผ่องภายใต้เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ของเด็กสาวที่ซึ่งกำลังเปิดเผยให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการพยายามสะบัดตัวดิ้นรนให้หลุดจากการจับกุม

 

ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กสาวชะงักไปสักครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะเค้นเสียงด่าอีกฝ่ายและถ่มน้ำลายใส่หน้าของเขาไป

 

“ไอ้ขยะเอ๊ย…”

 

“เฮ้อ~ ก็เพราะแบบนี้แหล่ะฉันถึงได้เกลียดเด็กน่ะ… จำไว้นะยัยหนู วันหน้าวันหลังถ้าเกิดคิดว่าหนูไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่จำเป็นต้องกลัวจนหนีมาแบบนี้จริงมั้ยล่ะ? จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพวกฉันด้วยน่ะ”

 

หัวหน้าทหารได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าตัวเองและเดินออกห่างไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะหันกลับมาเล็งปืนใส่เด็กสาวที่ถูกล็อกตัวเอาไว้และพูดขึ้นมาอีกครั้ง

 

“เอาล่ะ… ถ้างั้นพอเป็นผีไปแล้วก็อย่าลืมตามมาฆ่าพวกฉันด้วยล่ะ”

 

“ฉันจะฆ่าแก!!”

 

ฟ๊าวววววว—-

 

ปั้ง!!

 

“—!?”

 

ในชั่วพริบตาหลังจากที่หัวหน้าทหารได้ลั่นไกออกไปนั้นเอง จู่ๆ ก็ได้มีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าเข้ามาขวางระหว่างตัวเขากับเด็กสาวเอาไว้ จนทำให้กระสุนวิซที่เพิ่งจะพุ่งออกมาจากปากกระบอกปืนเจาะทะลุหัวไหล่ขาวเนียนของร่างที่เพิ่งจะพุ่งลงมาเข้าไปแทน

 

“….อึ๊ก–!”

 

เปรี๊ยะ— เคร๊งงงง!!

 

หัวหน้าทหารได้แต่เบิ่งตามองดูหญิงสาวผมสีเหลืองทองในชุดสาวใช้สีดำเปิดไหล่ที่มีปีกแสงสีฟ้ารูปทรงคล้ายกับปีกผีเสื้อแผ่ออกมาจากแผ่นหลังคนนั้นอย่างสับสน ก่อนที่ทันใดนั้นเองปีกแสงรูปผีเสื้อของอีกฝ่ายจะแตกร้าวเป็นทางยาวและมีเสียงของเหล็กกระทบกันดังขึ้นมาพร้อมๆ กับที่ภาพเบื้องหน้าของเขาก็ได้กลายเป็นท้องฟ้าสีส้มที่ถูกย้อมไปด้วยสีสันของยามเย็นอย่างกะทันหัน

 

“???”

 

ปึ๊ก!! แกร๊ง—

 

หัวหน้าทหารเกลือกตาไปมาอย่างสับสน ก่อนที่เขาจะสัมผัสได้ถึงแรงกระแทกบางอย่างที่แผ่นหลังและความเจ็บปวดที่ค่อยๆ แล่นขึ้นมาจากสันจมูกและบริเวณปากของเขา พร้อมๆ กับที่หมวกเหล็กที่น่าจะเป็นของเขาเองได้ตกกระแทกพื้นใกล้ๆ กันโดยที่มันมีรอยบุบขนาดใหญ่อยู่ที่บริเวณด้านหนึ่ง

 

ซึ่งหัวที่มึนตื้อของเขาก็พอจะคิดขึ้นมาได้ว่าเขาคงจะถูกหญิงสาวผมสีเหลืองทองที่เพิ่งจะโผล่มาแบบกะทันหันคนนั้นเล่นงานเข้าโดยไม่รู้ตัวอย่างแน่นอน

 

แต่ว่าเมื่อเขาพยายามจะยันตัวเองให้ลุกขึ้นเพื่อที่จะเข้าไปจัดการอีกฝ่ายนั้นความมึนงงอย่างรุนแรงก็ได้พุ่งเข้ามาจู่โจมจนทำให้เขาเซล้มลงไปอีกครั้งหนึ่ง

 

“อึ๊ก…”

 

“ห—หัวหน้า!?”

 

“ด้านหลังมีศัตรูอีกสองคนจ้ะฮานะ”

 

“…รับทราบค่ะ!”

 

ในขณะที่ทหารอีกสองคนที่เหลือกำลังจะชักดาบที่เอวของพวกเขาออกมานั้น ฮานะที่กำลังหันหลังให้ก็ได้ยินเสียงของร่างเงาของผู้หญิงคนหนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นมาเกาะไหล่ของเธอเอาไว้โดยไม่สนใจพวกทหารทั้งสองคนที่กำลังเข้ามาใกล้เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าหญิงสาวผู้เป็นเจ้าของร่างได้ทราบดีอยู่แล้วว่าพวกเขานั้นไม่สามารถมองเห็นเธอได้

 

ซึ่งในชั่วเวลาเพียงแค่พริบตานั้นเองสาวใช้ผมสีเหลืองทองที่ถูกเรียกว่าฮานะก็ได้เหวี่ยงไม้กระบองเรียวยาวที่ทำจากเหล็กสีเงินกวาดขวางเข้าใส่ทหารทั้งสองคนที่ยืนอยู่ในแนวเดียวกันอย่างรุนแรง

 

เคร๊ง!! ผลั๊ก!

 

ไม้กระบองเหล็กของฮานะนั้นได้ฟาดเข้าใส่ทหารคนแรกที่ยืนอยู่ในวิถีของมันเต็มแรงจนทำให้หมวกเหล็กของเขาหลุดกระเด็นและตัวเขาก็ปลิวกระแทกเข้าใส่ทหารอีกคนหนึ่งอย่างแรงจนหมวกของอีกฝ่ายกระเด็นหลุดออก ส่งผลให้กระบองเหล็กของฮานะที่แทบไม่ลดความเร็วลงเลยนั้นกระแทกเข้าใส่หัวของทหารคนที่สองอย่างรุนแรง

 

กร๊อบ!!

 

ซึ่งเมื่อฮานะเห็นว่าเธอสามารถจัดการทหารไปได้คนหนึ่งแล้ว เธอก็ได้ออกแรงหมุนตัวและเหวี่ยงไม้กระบองเหล็กของเธอเข้าใส่ศีรษะของทหารคนแรกที่ยังคงยืนอยู่อีกครั้งอย่างรวดเร็ว

 

กร๊อบ!!

 

ร่างของทหารทั้งสองคนที่ถูกกระบองเหล็กหวดเข้าใส่จังๆ นั้นได้ลอยกระเด็นออกไปไกลโดยทิ้งหมวกเกราะและอะไรบางอย่างเอาไว้เบื้องหลัง โดยฮานะที่มองตามร่างทั้งสองไปนั้นมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถลุกกลับขึ้นมาได้อีกครั้งในเร็วๆ นี้ หรืออาจจะตลอดไปอย่างแน่นอน

 

“แม่ตรวจสอบดูแล้วเหมือนว่าที่รถม้าจะไม่มีคนอยู่นะจ๊ะเพราะงั้นน่าจะมีแค่ทหารสามคนนี้เท่านั้นแหล่ะจ๊ะ ส่วนความเสียหายที่ไหล่ของหนูไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากเพราะงั้นสามารถทำภารกิจต่อได้เลยจ้ะ แต่แม่ขอแนะนำว่าให้หาผ้ามาพันปิดเอาไว้ก่อนน่าจะดีกว่านะ”

 

“รับทราบค่ะ ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะคุณแม่”

 

สาวใช้ผมสีเหลืองทองได้พูดขึ้นมาพร้อมกับมองดูรอบๆ เพื่อประเมินสถานการณ์อีกครั้ง ซึ่งเธอก็พบว่านอกจากเหล่าทหารทั้งสามคนที่นอนร้องโอดโอยอยู่รอบๆ แล้วก็ยังมีอีกร่างหนึ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นอีกด้วย

 

“ดูเหมือนเราจะมาช้าไปนะจ๊ะฮานะ…”

 

“…นั่นสินะคะ”

 

ร่างเงาจางๆ ที่ถูกเรียกว่าคุณแม่นั้นได้พูดขึ้นมาเมื่อเธอเห็นร่างของชายวัยกลางคนที่นอนแน่นอนอยู่กับพื้นและเด็กสาวผมสีทองที่กำลังนั่งอยู่ข้างๆ ร่างนั้น ก่อนที่ฮานะจะเดินเข้าไปใกล้ๆ และพูดถามเด็กสาวผมสีทองที่ชื่อว่าซัมเมอร์ขึ้นมา

 

“เธอพอจะจำทางกลับบ้านได้หรือเปล่าจ๊ะ?”

 

“….”

 

“นี่ ได้ยินพี่หรือเปล่า?”

 

ฮานะที่เห็นว่าเด็กสาวไม่ยอมตอบอะไรกลับมานั้นได้จับคางของอีกฝ่ายให้หันมาทางเธอและพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งเธอก็พบว่าแววตาของเด็กสาวตรงหน้าเธอนั้นว่างเปล่าเหมือนกับว่าตัวตนของอีกฝ่ายได้สูญสลายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว

 

แต่ว่าทันใดนั้นเองนัยน์ตาของซัมเมอร์ก็ได้เผยแววอะไรบางอย่างออกมาก่อนที่มันจะกลายเป็นแววตาที่ดุร้ายราวกับสัตว์ป่ากระหายเลือด เมื่อเธอได้สังเกตเห็นร่างของหัวหน้าทหารที่กำลังพยายามลากร่างของเขาหนีให้ออกห่างจากเด็กสาวทั้งสองคนอยู่ ก่อนที่ซัมเมอร์จะสะบัดตัวเองให้หลุดจากมือของฮานะที่กำลังจับคางของเธอเอาไว้และลุกขึ้นยืนพร้อมกับค่อยๆ เดินเข้าไปหาหัวหน้าทหารอย่างช้าๆ

 

ในขณะที่ทางด้านร่างเงาของคุณแม่ของฮานะนั้นก็ได้พูดขึ้นมาอย่างตกใจเมื่อเห็นแววตาอันแสนดุร้ายของเด็กสาวตรงหน้าเข้า

 

“ฮ—ฮานะ— แววตาแบบนั้น…”

 

“ค่ะ… ถึงจะยังไม่ขนาดนั้น แต่ว่าก็คล้ายกับแววตาของหัวหน้าเมื่อตอนนั้นไม่มีผิดค่ะ…”

 

ฮานะพูดตอบคุณแม่ของเธอกลับไปเบาๆ ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นและเดินตามร่างของซัมเมอร์ที่กำลังเดินเข้าไปหาหัวหน้าทหารคนนั้นอย่างช้าๆ จนทำให้คุณแม่ของเธอเอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างสงสัย

 

“นั่นลูกจะทำอะไรน่ะฮานะ”

 

“ทำตามกระบวนการตรวจสอบที่หัวหน้าเคยสั่งเอาไว้ในกรณีที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ค่ะ…”

 

“ด–เดี๋—”

 

หมับ

 

ยังไม่ทันที่คุณแม่ของเธอจะได้พูดห้ามอะไรขึ้นมา ฮานะที่เดินเข้าไปหาซัมเมอร์นั้นก็ได้ยื่นมือเข้าไปคว้าแขนของอีกฝ่ายเอาไว้และพูดถามขึ้นมา

 

“ร่างของผู้ชายที่นอนอยู่ตรงนั้นคือคุณพ่อของหนูใช่มั้ยจ๊ะ…? หนูโกรธแค้นทหารพวกนี้หรือเปล่าที่มาพลัดพรากคุณพ่อของหนูไปแบบนั้นน่ะ?”

 

“มันก็ต้องแค้นอยู่แล้วสิ!! ก็เพราะไอ้สารเลวพวกนี้คุณพ่อถึง… คุณพ่อถึงได้!!”

 

“ถ้าอย่างนั้นหนูก็จดจำและรวบรวมความโกรธแค้นแบบนี้เอาไว้นะจ๊ะ เพื่อที่พอถึงเวลาแล้วหนูจะได้สามารถนำมันออกมาใช้เป็นอาวุธทำลายอุปสรรคหรือศัตรูที่คิดจะเข้าขัดขวางหนูให้สิ้นซากได้…”

 

ฮานะพูดขึ้นมาให้เด็กสาวฟังก่อนที่เธอจะจับมือทั้งสองข้างของซัมเมอร์ให้มากุมไม้กระบองเหล็กที่เธอใช้เป็นอาวุธเอาไว้และดันหลังของซัมเมอร์ไปทางอุปสรรคชิ้นโตที่กำลังพยายามคลานหนีไปอยู่

 

“อุปสรรค…ศัตรู…ศัตรูของคุณพ่อ…”

 

“ย—อย่าเข้ามานะ–!!”

 

“ศัตรูของคุณพ่อ…ศัตรู… อุปสรรค… ศัตรู…”

 

ซัมเมอร์พูดพึมพำซ้ำไปซ้ำมาเบาๆ อย่างน่าขนลุกพร้อมกับค่อยๆ ลากกระบองเหล็กที่หนักกว่าที่ตาเห็นนั้นเข้าไปหาหัวหน้าทหารอย่างช้าๆ โดยไม่กะพริบตา จนทำให้หัวหน้าทหารที่เห็นแบบนั้นได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างน่าสมเพช

 

ในขณะที่ทางด้านคุณแม่ของฮานะนั้นก็ลอยมาเกาะที่ไหล่ของลูกสาวของเธอและพูดขึ้นมาเบาๆ

 

“ถึงจะบอกว่ามันเป็นวิธีของหัวหน้าเขาก็เถอะนะ… แต่ว่าการที่มอบไม้เบสบอลให้กับเด็กที่อยู่ในสภาพแบบนั้นนี่มันจะดีจริงๆ หรอจ๊ะฮานะ?”

 

“จะดีหรือไม่ดีมันก็ขึ้นอยู่กับมุมมองเท่านั้นแหล่ะค่ะ ที่หนูทำก็แค่การยื่นโอกาสให้กับผู้ที่ถูกช่วงชิงมันไป ส่วนใครจะตัดสินใจทำอะไรมันก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเขาเองแล้วล่ะค่ะ”

 

เมื่อได้ยินฮานะตอบกลับมาแบบนั้นคุณแม่ของเธอก็ได้หันกลับไปมองดูปีกแสงสีฟ้ารูปทรงผีเสื้อของลูกสาวของเธอที่ยังคงมีรอยร้าวอยู่เป็นทางยาวพร้อมกับพูดถามขึ้นมาอีกครั้ง

 

“ตาม ‘คำสั่ง’ ของหัวหน้างั้นหรอจ้ะ?”

 

“ค่ะ… ตามคำสั่งของหัวหน้า… ค่ะ…”

 

ฮานะนิ่งไปสักพักเมื่อสังเกตเห็นว่าคุณแม่กำลังจ้องมองปีกแสงของเธออยู่แล้วจึงพูดตอบกลับไปเบาๆ ก่อนที่รอยร้าวบนปีกของเธอจะค่อยๆ สมานเข้าหากันจนกลับมาเป็นปีกแสงทรงผีเสื้อที่ดูสวยงามตามเดิม

 

“ถ้าในเมื่อเป็นคำสั่งของหัวหน้าแล้วก็คงจะช่วยไม่ได้ล่ะจ้ะ…”

 

คุณแม่ของเธอพูดขึ้นมาอีกครั้งในขณะที่ฮานะกำลังเรียกผ้ายาวๆ ผืนหนึ่งออกมาด้วยละอองแสงสีฟ้าที่ลอยออกมาจากปีกของเธอ และพยายามใช้มันในการพันไหล่ข้างที่ถูกยิงไปด้วยความยากลำบาก ซึ่งนั่นก็ทำให้คุณแม่ของฮานะที่เห็นว่าลูกสาวของเธอกำลังพยายามพันแผลอยู่ด้วยมือข้างเดียวนั้นได้ยื่นมือเข้าไปเพื่อช่วยเหลืออีกฝ่าย

 

แต่ว่ามือของเธอที่เป็นเพียงแค่ร่างเงาจางๆ ก็กลับลอยทะลุแผลพันแผลสีขาวไปโดยไม่อาจสัมผัสกับมันได้จนทำให้เธอนิ่งไปสักพักก่อนที่เด็กสาวในชุดเมดจะพูดถามขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรกันแน่

 

“คุณแม่คะ?”

 

“เปล่าจ้ะ ไม่มีอะไรหรอก เดี๋ยวพอหนูทำแผลเสร็จแล้วก็ทำตามหน้าที่ที่หนูได้รับต่อไปได้เลยนะจ๊ะฮานะ…”

 

“รับทราบค่ะ”

 

ฮานะพูดรับคำของคุณแม่ของเธอก่อนจะหันไปทางทหารคนหนึ่งที่กำลังพยายามยันตัวเองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบากในขณะที่อีกคนนั้นนอนแน่นิ่งกับพื้นไปตั้งแต่ทีแรกแล้ว พร้อมกับใช้ละอองแสงสีฟ้าเรียกกระบองเหล็กที่คุณแม่ของเธอเรียกว่าไม้เบสบอลขึ้นมาอีกอันหนึ่งและเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างช้าๆ

 

“เพื่อทำตามคำสั่งของหัวหน้า ฉันคงจะยอมให้พวกคุณเข้าไปขัดขวางเด็กคนนั้นไม่ได้หรอกนะคะ”

 

และในขณะเดียวกันทางด้านซัมเมอร์เองก็ได้เดินเข้าไปถึงร่างของทหารผู้เป็นหัวหน้าแล้วและกำลังยกกระบองเหล็กในมือของเธอขึ้นสูงเหนือหัวโดยไม่สนใจท่าทีที่พยายามร้องขอชีวิตของเขาเลยแม้แต่น้อย

 

“ฉ—ฉันขอโทษ! ฉันแค่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเพราะว่าฉันขัดอะไรพวกมันไม่ได้เท่านั้นเอง! อย่าทำอะไรฉันเลยนะ ได้โปรดล่ะ!!”

 

“…ถ้าเกิดพวกพี่คิดว่าไม่ได้ทำอะไรผิด งั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวจนหนีไปแบบนั้นจริงมั้ยล่ะคะ?”

 

ซัมเมอร์พูดตอบกลับไปด้วยประโยคที่อีกฝ่ายเคยพูดใส่หน้าเธอเอาไว้ ก่อนที่ทั้งเธอและฮานะที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งจะเหวี่ยงกระบองเหล็กในมือลงไปพร้อมๆ กันจนเกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วผืนป่า

 

กร๊อบบ!