ทางด้านกลุ่มของนากา พรีมูล่า เซซิล และมายะที่ได้นั่งรถยนต์ขนาดใหญ่ของทางเมืองกราวิทัสออกมาจากรีมินัสกันมาตั้งแต่ช่วงเย็นนั้น พวกเขาก็ได้มาถึงเมืองกราวิทัสกันในรุ่งเช้าของวันถัดมานั่นเอง
 

ซึ่งถึงแม้ว่าเมืองกราวิทัสที่ตั้งอยู่ทิศใต้สุดขอบทวีปนั้นจะมีขนาดโดยรวมที่ดูเล็กกว่าเมืองรีมินัสอยู่บ้าง แต่ว่ามันก็ยังจัดว่าเป็นเมืองริมทะเลที่มีขนาดใหญ่อยู่ดี

 

โดยภายในตัวเมืองกราวิทัสเองนั้นมีรูปแบบที่ค่อนข้างจะแตกต่างจากเมืองรีมินัสที่มีกำแพงขนาดใหญ่คั่นเป็นชั้นๆ อยู่มาก

 

เมื่อมองโดยรวมแล้วตัวเมืองกราวิทัสนั้นถูกออกเป็นสี่ส่วนหลักๆ โดยมีปราสาทขนาดใหญ่ที่ดูหรูหราไม่แพ้ปราสาทรีมินัสตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ในขณะที่ทางทิศตะวันตกและทิศเหนือของเมืองนั้นเป็นบ้านเรือนสลับกันไปกับเขตการค้า และถัดไปทางทิศใต้นั้นก็เป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่ทอดยาวไปไกลจนแทบจะลับสายตา

 

แต่ว่าสิ่งที่สะดุดตาพวกเขาที่สุดนั้นกลับเป็นหอนาฬิกาขนาดใหญ่ตรงใจกลางเมืองที่ยังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมันถูกรายล้อมไปด้วยร้านค้าที่ดูหรูหราตั้งเรียงรายกันไปเต็มริมถนนเส้นหลักของเมือง

 

“โหวววว~ พี่นากาดูหอนาฬิกานั่นสิ~~” ”

 

และในขณะที่รถของพวกเขากำลังแล่นผ่านเขตก่อสร้างหอนาฬิกานั้นเอง พรีมูล่าที่เหมือนกับว่าจะตื่นตาตื่นใจกับเมืองที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อนก็ได้ร้องขึ้นมาอย่างตื่นเต้น จนทำให้นากาต้องรีบขยับตัวเข้าประชิดน้องสาวของเขาในทันที เพื่อที่จะได้คว้าตัวพรีมูล่าเอาไว้ได้ทันเผื่อว่าเธอจะเกิดนึกซนอยากลงไปเดินเล่นขึ้นมา

 

“ปราสาทของที่นี่ไม่ได้อยู่ที่ใจกลางเมืองแบบเมืองรีมินัสสินะเนี่ย”

 

“ค…ค่ะ…”

 

มายะตอบนากากลับไปสั้นๆ ก่อนที่เธอจะซุกหน้ากลับลงไปด้วยท่าทีหงอยๆ และพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ

 

“งือ…ทำไมไดเอน่าจังไม่มาด้วยกันเนี่ย…”

 

“หื้ม? เป็นอะไรไปหรือเปล่าน่ะมายะ?”

 

“นั่นสิมายะจัง? เมารถหรือเปล่าอ่ะ? หนูเคยได้ยินมาว่ามีพวกกระจอกๆ ที่แค่นั่งรถก็เวียนหัวอยู่ด้วยเหมือนกันนะ!!”

 

ทันทีที่พรีมูล่าได้ยินว่าเพื่อนใหม่ของเธอเหมือนจะไม่สบายนั้น เด็กสาวผมชมพูก็ได้พุ่งเข้าไปใกล้อีกฝ่ายและสอบถามด้วยความเป็นห่วงในทันที แต่ว่าคำถามที่เธอถามออกมานั้นก็ทำให้มายะต้องกะพริบตามองดูอีกฝ่ายอยู่สักพักและรีบพูดตอบกลับไป

 

“ป—เปล่าค่ะ! ค—แค่ว่าฉันไม่ชินกับการต้องนั่งรถนานๆ แบบนี้เฉยๆ น่ะ… ค่ะ…”

 

นากาที่พอจะเข้าใจว่ามายะน่าจะยังไม่คุ้นเคยกับพวกเขานั้นก็พยักหน้ากลับไปให้เธอเงียบๆ และดึงตัวน้องสาวของตนให้ออกห่างจากผู้ช่วยประธานนักเรียนตรงหน้าพร้อมดันหลังของพรีมูล่าให้ไปดูวิวทิวทัศน์รอบๆ แทน

 

และหลังจากที่รถของพวกเขาเลี้ยวเข้าสู่ถนนเส้นตะวันออกแล้ว ปราสาทของเมืองกราวิทัสก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของพวกเขากัน ซึ่งถึงแม้ว่าตัวปราสาทขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางนั้นจะมีขนาดเล็กกว่าวังหลวงของรีมินัสอยู่ส่วนหนึ่ง แต่ว่าอาณาเขตของตัวปราสาทที่ถูกล้อมรอบด้วยกำแพงนั้นกลับกว้างขวางกว่าวังหลวงของเมืองรีมินัสอยู่พอสมควรและยังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างต่างๆ มากมายอีกด้วย

 

“โหววว~ นี่ขนาดหนูคิดว่าที่รีมินัสนั่นมันใหญ่แล้วนะเนี่ย!”

 

“ท…ที่กราวิทัสนี่เขามีลำดับขั้นขุนนางเยอะกว่าที่รีมินัสน่ะค่ะ… ล..แล้วก็ยังมีจำนวนเยอะกว่ามากด้วย… พ… เพราะงั้นพวกเขาก็เลยต้องมีที่สำหรับรองรับพวกขุนนางเยอะกว่า… ค่ะ…”

 

“โห… เธอนี่ก็รอบรู้ดีเหมือนกันนะเนี่ยมายะ”

 

นากาที่เพิ่งจะดึงตัวน้องสาวของเขาให้ออกห่างจากมายะมานั้นได้หันกลับไปพูดคุยกับอีกฝ่ายเข้าซะเองจนทำให้เธอรีบก้มหน้าลงและเขยิบตัวถอยไปในทันที ซึ่งนากานั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกับท่าทีของอีกฝ่ายมากสักเท่าไหร่นักและหันกลับไปดึงคอเสื้อของพรีมูล่าที่กำลังโดดโหยงเหยงไปมาอย่างร่าเริงให้อยู่นิ่งๆ ซะบ้าง

 

และเมื่อรถของพวกเขาได้เคลื่อนตัวมาถึงกำแพงปราสาท คนขับรถที่เป็นทหารรับใช้ของขุนนางกราวิทัสก็ได้ชะโงกหัวออกมาจากห้องคนขับและหันกลับมาตะโกนบอกพวกนากาที่นั่งอยู่ด้านหลังกัน

 

“เดี๋ยวอีกไม่นานก็จะถึงตัวปราสาทแล้วนะครับ!”

 

นากาที่ได้ยินแบบนั้นได้รีบหันไปเขย่าปลุกเซซิลที่ยังคงนั่งหลับอยู่ใกล้ๆ กันให้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัว ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นรถยนต์ของพวกเขาจะจอดลงที่หน้าสวนขนาดใหญ่พร้อมๆ กับที่คนขับรถได้ชะโงกหน้ามาพูดกับพวกเขาอีกครั้ง

 

“รบกวนรออยู่แถวนี้สักครู่นะครับ แล้วเดี๋ยวทางวังน่าจะส่งคนมาต้อนรับพวกคุณเอง”

 

“เข้าใจแล้วครับ โชคดีนะครับ”

 

นากาปีนนำทุกคนลงมาจากหลังรถกระบะและพูดตอบอีกฝ่ายกลับไปพร้อมกับค้อมหัวให้เขาเล็กน้อย ซึ่งคนขับรถคนนั้นก็พยักหน้าให้กับนากากลับมาก่อนที่รถของเขาเคลื่อนตัวออกไปอีกครั้งหนึ่ง

 

และในจังหวะเดียวกันนั้น พรีมูร่าก็ได้วิ่งเข้าไปในสวนเพื่อเดินดูดอกไม้ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ในขณะที่ทางด้านนากากับเซซิลนั้นก็แหงนหน้ามองดูปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า

 

“พอมาดูใกล้ๆ แล้วมันก็ไม่ได้เล็กกว่าที่รีมินัสไปสักเท่าไหร่เลยนะเนี่ย”

 

“อื้ม…”

 

“โอ๊วโหววววว~”

 

นากาที่ได้ยินเสียงร้องอย่างตื่นเต้นของพรีมูล่านั้นรีบหันกลับไปดูน้องสาวของเขาในทันที ซึ่งเขาก็พบว่าในตอนนี้เธอกำลังเดินลึกเข้าไปในสวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาต้องรีบตะโกนเรียกเธอเอาไว้ก่อน

 

“นี่ยัยตัวแสบ อย่าเพิ่งวิ่งไปไหนไกลสิเห้ย!!”

 

 

ในขณะเดียวกันนั้นที่ใจกลางสวนเองก็มีหญิงสาวผมสีขาวในชุดเดรสสีขาวสะอาดคนหนึ่งกำลังนั่งจิบชาอยู่อย่างสบายใจ ซึ่งเธอก็ได้ชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของนากาดังขึ้นมาก่อนที่เธอจะพบว่าในเวลานี้ที่สวนที่เธอกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่อย่างเงียบสงบนั้นได้มีเด็กสาวผมสีชมพูคนหนึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่อย่างร่าเริง

 

“หื้ม โครน่า วันนี้พวกเรามีแขกมาด้วยหรอจ๊ะ?”

 

หญิงสาวผมสีขาวเอ่ยปากพูดขึ้นมาเบาๆ จนทำให้หญิงสาวหูจิ้งจอกที่มีเส้นผมสีดำเป็นลอนยาวที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันต้องรีบหันไปกระดิกหูมองแขกที่อีกฝ่ายพูดถึงในทันที

 

“เอ๋ะ… วันนี้หรอคะ? …เดี๋ยวฉันเข้าไปสอบถามให้เองค่ะ”

 

หญิงสาวหูจิ้งจอกที่ชื่อโครน่านั้นหรี่ตาของเธอที่สวมผ้าปิดตาไว้ข้างหนึ่งลงเล็กน้อยอย่างสงสัย ก่อนที่เธอจะค้อมหัวให้กับหญิงสาวผมขาวและออกเดินไปทางพรีมูล่าพร้อมกับส่งเสียงเรียกเด็กสาวผมชมพูที่กำลังวิ่งเล่นอย่างร่าเริงเอาไว้เอาไว้

 

“นี่! เธอน่ะ!”

 

“หว๊าย— พี่นากาาา! ช่วยหนูด้วยยย!”

 

“ด—เดี๋ยวก่อนสิ!”

 

พรีมูล่าที่เห็นหญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีดำกำลังเดินเข้ามาใกล้และร้องเรียกเธอเอาไว้นั้นได้รีบหันหลังกลับและวิ่งตรงไปหลบอยู่ด้านหลังพี่ชายของตนในพริบตา และเมื่อนากาเห็นว่าน้องสาวของเขาวิ่งหนีกลับมาแบบนั้นและยังมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตามมาอีกด้วย เขาก็ถึงกับต้องรีบหันขวับไปสอบถามเธอในทันที

 

“นี่เธอทำอะไรลงไปอีกเนี่ยหะยัยตัวแสบ!?”

 

“หนูเปล่าทำอะไรสักหน่อย! เมื่อกี้หนูแค่ออกไปเดินเล่นแค่นิดเดียวเองอ้ะ!!”

 

“สารภาพมาตามตรงซะไม่งั้นเย็นนี้โดนงดขนมแน่!”

 

ในระหว่างที่นากากำลังคาดคั้นน้องสาวของตัวเองอยู่นั้น หญิงสาวหูจิ้งจอกผมสีดำที่ชื่อว่าโครน่าก็ได้เดินเข้ามาถึงตัวพวกเขาและร้องเรียกขึ้นมาอีกครั้ง

 

“นี่ พวกเธอน่ะ”

 

“อ…อ่า น้องสาวของผมไปซนอะไรเข้าหรือเปล่าครับ?”

 

“ก็บอกว่าหนูไม่ได้ทำอะไรไง!”

 

“พวกเธอใจเย็นๆ ก่อนสิ ฉันแค่อยากจะขอถามอะไรหน่อยแค่นั้นแหละ…”

 

โครน่าที่เพิ่งจะเดินมาถึงนั้นรีบพูดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเมื่อเธอเห็นว่ากลุ่มคนตรงหน้ากำลังจ้องมองเด็กสาวผมชมพูที่เธอเจอเป็นคนแรกอยู่อย่างจับผิด ก่อนที่เธอจะมองดูการแต่งกายของกลุ่มคนตรงหน้าและพูดถามขึ้นมา

 

“ว่าแต่พวกเธอคงจะไม่ใช่คนที่ทำงานในวังนี้สินะ? เพราะไม่งั้นคงจะไม่รีบวิ่งหนีมาแบบนี้หรอก…”

 

“อ่ะ…เออ…”

 

“หื้ม…? อะไรหรอมายะ…?”

 

“ป—เปล่าค่ะ! ไม่มีอะไรค่ะ…”

 

มายะที่ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมานั้นได้สะดุ้งสุดตัวและรีบพูดปฏิเสธไปในทันทีที่เห็นทุกคนหันมามองเธอ ก่อนที่เซซิลที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันจะเตะขาของนากาเบาๆ ให้เขารีบหันกลับไปตอบคำถามของหญิงสาวหูจิ้งจอกโดยเร็ว

 

“โอ๊ย! — อ–อ่า ใช่ครับ พวกผมเป็นนักเรียนจากโรงเรียนรีมินัสที่ได้รับจดหมายเชิญจากองค์หญิง… เอ่อ… องค์หญิงแคร์…? ให้มาพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลการโจมตีที่เมืองรีมินัสที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้น่ะครับ”

 

“นักเรียนจากโรงเรียนรีมินัส? แล้วก็จดหมายจากองค์หญิงหรอ?”

 

หูจิ้งจอกของโครน่ากระดิกไปมาเล็กน้อยกับคำตอบของนากา ก่อนที่เธอจะเหลือบกลับไปมองเพื่อนสาวผมสีขาวของเธอที่ยังคงนั่งจิบน้ำชาอยู่ตรงกลางสวนนั้นและหันกลับมาสอบถามพวกนากาเพิ่มเติมดู

 

“ฉันขอทราบรายละเอียดมากกว่านี้หน่อยได้หรือเปล่าคะ?”

 

“เอ๋ะ? เอ่อ… เอาไงดีล่ะมายะ?”

 

นากาที่ถูกอีกฝ่ายถามมานั้นได้หันกลับไปถามมายะที่เป็นรองประธานนักเรียนดู ซึ่งมายะที่เห็นนากาหันมามองทางเธอนั้นก็สะดุ้งไปเล็กน้อยและขยับไปหลบอยู่ข้างหลังเซซิลพร้อมกับยื่นหน้าออกมาพยักหน้าหงึกๆ ให้กับนากากลับไปเป็นคำตอบโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

และเมื่อนากาได้รับอนุญาตจากมายะแล้ว เขาก็หันกลับไปหาหญิงสาวผมสีดำและพูดตอบเธอกลับไปในทันที

 

“มันก็ได้แหล่ะครับ ว่าแต่คุณคือคนที่ทำงานในปราสาทนี้หรอครับ?”

 

“จะว่าอย่างงั้นก็ได้ค่ะ ฉันชื่อว่าโครน่า เป็นคนรับใช้ของ—”

 

“โครน่า…? เธอมาทำอะไรที่นี่…?”

 

ในขณะที่โครน่ากำลังเอ่ยปากแนะนำตัวกับพวกนากาอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังแทรกขึ้นมา และเมื่อทุกคนหันไปทางต้นเสียง พวกเขาก็พบกับอัศวินหญิงในชุดเกราะเหล็กที่สวมหมวกเหล็กปิดบังใบหน้าเอาไว้

 

และที่ด้านหลังของเธอก็ยังมีผู้ชายสวมแว่นรูปร่างสูงใหญ่ผมสีน้ำเงินเข้มในชุดขุนนางสีขาวที่ประดับด้วยสีแดงบางส่วนที่ดูหรูหราและยังติดตราประจำตำแหน่งต่างๆ ไว้เต็มแผงอกกำลังเดินตามหลังเธอมาอยู่ด้วย

 

“…เฮเรน่า? วันนี้เธอไม่มีกำหนดการอะไรในวังไม่ใช่หรอ?”

 

“มีงานด่วนเข้ามา… คุณโดตั้นเขาว่ามาแบบนั้น…”

 

“งานด่วนงั้นหรอคะคุณโดตั้น? พอจะอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้หรือเปล่าคะว่ามีเรื่องด่วนอะไรถึงขนาดไม่แจ้งกันมาก่อนแบบนี้น่ะค่ะ?”

 

โครน่าที่ได้ยินเพื่อนอัศวินสาวของเธอพูดแบบนั้นได้หันไปหรี่ตามองชายผมสีน้ำเงินเข้มด้วยสายตาไม่เป็นมิตรจนทำให้เขาแอบสะดุ้งไปเล็กน้อยและรีบพูดตอบกลับไป

 

“อ—อ่าว สวัสดีครับคุณโครน่า… ถ้าคุณมาอยู่ที่นี่งั้นก็หมายความว่าวันนี้นายท่านเขามาด้วยหรอครับเนี่ย?”

 

“ใช่ค่ะ พอดีว่าวันนี้ท่านเขาอยากมาจิบน้ำชาชมบรรยากาศในสวนน่ะค่ะ ฉันก็เลยอาสามาคุ้มกันให้ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะคุณโดตั้น?”

 

“ฮ–ฮะฮะ— มันก็ต้องไม่มีอยู่แล้วน่ะสิครับ! ผมก็แค่ประหลาดใจเฉยๆ ก็เท่านั้นเอง”

 

โดตั้นที่ถูกโครน่าหรี่ตาถามกลับมานั้นรีบหัวเราะพูดตอบกลับไปอย่างลุกลี้ลุกลน ก่อนที่เขาจะสังเกตเห็นพวกนากาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันและเดินตรงเข้าไปหาพวกเขา

 

“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปทำหน้าที่ก่อนละกันนะครับ คุณโครน่าเองก็กลับไปทำหน้าที่ของคุณเถอะ”

 

“…..”

 

โครน่าที่ถูกอีกฝ่ายเปิดปากไล่แบบแทบจะหักหน้ากันโดยไม่สนใจว่าเธอกำลังคุยกับแขกจากต่างเมืองทั้งสี่คนอยู่นั้นได้หันกลับไปมองหญิงสาวผมสีขาวอีกครั้งก่อนจะหันกลับมาหรี่ตามองเพื่อนอัศวินของเธอจนทำให้อีกฝ่ายต้องรีบพูดขึ้นมาก่อนที่โครน่าจะได้เอ่ยปากถามอะไรออกมา

 

“ฉันบอกอะไรไม่ได้หรอกนะ… มันเป็นคำสั่งจากเบื้องบนน่ะ…”

 

“แล้วอย่างฉันนี่ไม่นับว่าเป็นเบื้องบนหรือไงหะ? หรือว่าจะต้องให้ฉันไปรายงานให้เขารู้ก่อนน่ะ?”

 

“ไม่ได้ก็คือไม่ได้…”

 

“ให้ตายสิ… ทำอะไรเอาแต่ใจกันอีกแล้วสินะเนี่ย…”

 

โครน่าที่เห็นว่าเพื่อนของเธอไม่ยอมตอบอะไรกลับมานั้นได้ส่ายหน้าไปมาและเดินกลับเข้าไปหาหญิงสาวผมสีขาวที่ใจกลางสวนขนาดใหญ่นั้น ในขณะที่โดตั้นนั้นก็เดินเข้าไปหาพวกนากาพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“ต้องขออถัยในความไม่สะดวกด้วยนะครับ พอดีว่าสาวใช้คนนั้นเขาค่อนข้างจะอยากรู้อยากเห็นไปเรื่อยน่ะครับ… ถ้างั้นขอผมแนะนำตัวก่อนนะครับ ผม โดตั้น แฮร์ริสัน เป็นผู้รับผิดชอบในการสอบถามข้อมูลจากพวกคุณครับ”

 

“อ—อ่า ครับ”

 

“ฟู่ว~ หนูก็นึกว่าจะโดนลงโทษซะแล้ว~”

 

“ฮะฮะ ไม่มีใครกล้าลงโทษแขกขององค์หญิงหรอกครับ”

 

โดตั้นตอบพรีมูล่ากลับไปอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากเชิญทุกคนให้เดินตามเขาเข้าไปข้างในตัวปราสาทกัน

 

“เอาล่ะ ถ้างั้นก็เชิญตามผมมาได้เลยครับ”

 

“……”

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังเดินตามโดตั้นเข้าไปในตัวปราสาทนั้น เซซิลกลับยังยืนอยู่กับที่และมองตามหญิงสาวหูจิ้งจอกที่โดตั้นพูดเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นสาวใช้ชอบสอดรู้ธรรมดาๆ ไปและพบว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังยืนคุยกับหญิงสาวผมสีขาวคนหนึ่งที่นั่งจิบชาอยู่ภายในสวนด้วยท่าทีที่ไม่เหมือนกับสาวใช้ทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

 

“พี่เซซิล! ถ้าไม่รีบตามมาเดี๋ยวจะหลงเอานะ~”

 

“อื้ม…”

 

เซซิลพยักหน้าตอบพรีมูล่ากลับไปเบาๆ ก่อนจะละสายตาจากหญิงสาวทั้งสองคนในสวนนั้นและรีบเดินตามทุกคนไปในทันที

 

หลังจากที่พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินภายในตัวปราสาทกันได้สักพักแล้วนั้น โดตั้นที่เดินนำหน้าอยู่ก็ได้เหลือบกลับมามองปืนยาวที่พรีมูล่าสะพายไว้บนหลังกับดาบคาตานะที่เซซิลห้อยไว้ข้างเอวเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นมา

 

“ว่าแต่ที่จริงพวกคุณไม่จำเป็นต้องพกอาวุธมากันด้วยแบบนี้ก็ได้นะครับ เพราะว่าในฐานะแขกผู้มาเยือนแล้วทางเมืองกราวิทัสขอรับรองว่าจะไม่มีอะไรอันตรายเกิดขึ้นในระหว่างการเดินทางอย่างแน่นอนครับ”

 

“อ… เอ่อ…”

 

มายะที่ถูกไดเอน่าฝากฝังความปลอดภัยของนักเรียนทั้งสามคนไว้นั้นได้พยายามนึกหาคำพูดแก้ตัวที่กลุ่มของพวกเธอได้พกอาวุธเข้ามาในอาณาเขตปราสาทกัน แต่ว่าเมื่อเธอเห็นสายตาของโดตั้นที่มองตรงมายังเธอแล้วมันก็ทำให้เธอแทบจะคิดอะไรไม่ออกจนทำให้นากาที่เห็นแบบนั้นต้องรีบเดินมาบังหน้าเธอเอาไว้และพูดอธิบายออกมาให้อีกฝ่ายฟังแทน

 

“พวกผมก็แค่พกมาเผื่อไว้เฉยๆ เท่านั้นแหล่ะครับ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทางจะได้ช่วยพวกคุณทหารเขารับมือได้ แต่ถ้าเป็นไปได้พวกผมก็ไม่อยากจะให้มันเกิดอะไรขึ้นจนถึงขั้นต้องใช้อาวุธสักเท่าไหร่หรอกครับ”

 

“ฮะฮะ นั่นสินะครับ ระหว่างการเดินทางเนี่ยมันอาจจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ทั้งนั้นใช่มั้ยล่ะครับ แต่ถ้ายังไงก็เอาเป็นว่าเวลาอยู่ข้างในนี้ก็อย่าชักอาวุธออกมาละกันนะครับถ้ายังไม่อยากโดนพวกทหารยามรวบตัวไปน่ะครับ”

 

แอ๊ด—

 

ในขณะที่โดตั้นกำลังตอบพวกนากากลับมาอยู่นั้น อยู่ๆ ประตูห้องที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ได้ถูกเปิดออกก่อนที่จะมีหญิงสาวร่างเล็กผมสีดำยาวในชุดสาวใช้สีดำสลับขาวประดับด้วยลูกไม้จำนวนมากที่ดูหรูหราจะถือถาดวางจานที่ว่างเปล่าเดินออกมาจากภายใน

 

ซึ่งสาวใช้คนนั้นก็เหลือบมามองทางพวกเขาเล็กน้อยจนทำให้นากาได้เห็นแววตาว่างเปล่าไร้ชีวิตชีวาของอีกฝ่าย ก่อนที่เธอจะค้อมหัวให้พวกเขาเล็กน้อยและเดินสวนพวกเขาไปอีกทางหนึ่ง

 

“นี่ๆ พี่นากา! ชุดของพวกพี่ๆ สาวใช้ที่นี่เหมือนชุดตุ๊กตาเลยอ่ะ น่ารักจังเนอะ~”

 

“น—นั่นสินะ”

 

นากาที่เหม่อมองแววตาไร้ชีวิตของสาวใช้คนนั้นอยู่ได้สติกลับมาหลังจากที่เขาถูกพรีมูล่าเขย่าแขนเรียกให้ดูชุดน่ารักๆ ของสาวใช้คนนั้นทำให้เขาต้องรีบพูดตอบกลับไป

 

ส่วนทางด้านโดตั้นนั้นกลับมองตามสาวใช้คนนั้นไปก่อนจะก้มหน้าลงราวกับว่าเขากำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่างอยู่ แต่ว่าไม่นานหลังจากนั้นเข้าก็เงยหน้ากลับขึ้นมาและรีบเดินนำทุกคนไปยังประตูห้องถัดจากประตูที่สาวใช้ผมดำคนนั้นได้เดินออกมาและเคาะมันเล็กน้อย

 

ก๊อกก๊อกก๊อก แอ๊ด—

 

ประตูบานนั้นถูกแง้มเปิดออกเล็กน้อยจากภายใน เผยให้เห็นร่างของใครบางคนที่โผล่ออกมามองผู้มาเยือนด้วยความสงสัย ซึ่งโดตั้นนั้นก็รีบชะโงกหน้าเข้าไปใกล้และพูดอะไรบางอย่างกับเขาเบาๆ ก่อนที่ประตูบานนั้นจะถูกปิดลงอีกครั้งจนทำให้นากาเอ่ยปากถามออกมาด้วยความเป็นห่วง

 

“เอ่อ… มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ?”

 

“อ่ะ— เปล่าครับ ไม่มีอะไรหรอก ถ้างั้นเอาเป็นว่าเชิญพวกเธอเข้าไปไปนั่งรอข้างในห้องนี้ได้เลย แล้วเดี๋ยวพอเตรียมการอะไรเสร็จแล้วจะได้เริ่มประชุมกัน”

 

“อ-อ่า เข้าใจแล้วครับ”

 

นากาตอบอีกฝ่ายกลับไปพร้อมกับเดินผ่านประตูที่โดตั้นเปิดให้กับพวกเขา ซึ่งนากาก็พบว่าภายในห้องนั้นมีโต๊ะประชุมยาวๆ ขนาดใหญ่ตั้งไว้ตรงกลาง โดยที่ฝั่งหนึ่งของโต๊ะประชุมได้มีชายสูงวัยสี่คนที่แต่งตัวคล้ายๆ กับโดตั้นกำลังนั่งรอพวกเขาอยู่แล้ว

 

ส่วนทางด้านมายะที่เดินตามหลังเขามานั้นได้สะดุ้งตกใจกับกลุ่มคนตรงหน้าพร้อมกับเดินไปเกาะหลังเซซิลที่เดินนำมาก่อนในทันที ในขณะที่พรีมูล่านั้นกลับทำท่าเหมือนกับว่าจะเดินไปดูแจกันที่ประดับไว้ใกล้ๆ ด้วยความสนอกสนใจจนทำให้นากาต้องเดินไปดึงตัวเธอเอาไว้โดยเร็ว

 

แกร๊ก—

 

ทันใดนั้นเองโดตั้นที่เดินตามเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายก็ได้เอื้อมมือไปล็อกประตูห้องเข้าจนทำให้เซซิลรีบสะบัดสายตาไปจ้องเขาอย่างระแวดระวังในทันที

 

แต่ว่าขุนนางหนุ่มผมสีน้ำเงินเข้มก็กลับทำเป็นเมินสายตาของเซซิล ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งรวมกลุ่มกับขุนนางทั้งสี่คนและพูดขึ้นมา

 

“ในเมื่อมากันครับแล้วแบบนี้ งั้นก็ขอให้พวกเธอเริ่มอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลยละกันนะ เล่าให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย ตั้งแต่เรื่องที่ว่าพวกเธอไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง วิธีที่เธอใช้รับมือเจ้าพวกนั้น แล้วก็เรื่องที่ว่าพวกเธอใช้วิธีไหนในการทำให้อีกฝ่ายถอยไปได้น่ะ”