“ที่นี่เองสินะ…”
 

ในช่วงเวลาก่อนที่พวกนากาจะนั่งรถเข้าตัวเมืองกราวิทัสมาได้ไม่นานนั้น ที่หน้าประตูเมืองกราวิทัสก็ได้ปรากฏร่างของสาวใช้ตัวน้อยผมสีเทา นูลิส หรือก็คือหนึ่งในสองตัวการที่บุกโจมตีปราสาทแพนเทร่าที่ได้เดินผ่านเข้าประตูเมืองที่มีทหารยามยืนเฝ้าอยู่มาได้อย่างง่ายดาย

 

ก่อนที่เธอจะเดินตรงไปตามถนนเส้นหลักของเมืองที่มีชาวบ้านเดินไปมาอย่างพลุกพล่านและหยุดอยู่ที่หน้าเขตก่อสร้างหอนาฬิกาพร้อมกับเงยหน้ามองเข็มนาฬิกาทั้งสองเข็มที่หยุดนิ่งอยู่สักพักโดยไม่สนใจเหล่าชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาเลยแม้แต่น้อย

 

ซึ่งชาวเมืองกราวิทัสในช่วงเช้ามืดที่ทำกิจกรรมของตัวเองอยู่ไม่ว่าจะเป็นการจัดหน้าร้านค้าริมข้างทางของตัวเอง ถือตะกร้าจ่ายตลาด หรือว่ากำลังเร่งรีบวิ่งไปเข้าเวรที่ท่าเรือขนาดใหญ่ทางทิศใต้นั้นต่างก็พยายามเว้นระยะห่างจากสาวใช้ร่างเล็กในชุดเมดจนเกิดเป็นช่องว่างเล็กๆ ทรงวงกลมที่หน้าหอนาฬิกานั้นอย่างแปลกประหลาด

 

“ถ้าเป็นไปได้ก็ไม่อยากจะมาที่นี่เลยนะน๊า…”

 

“ทำไมล่ะจ๊ะ? ไม่ชอบสายตาของพวกเขางั้นหรอ? หรือว่าเป็นเพราะกลัวที่จะเจอคนใกล้ตัวกันนะ?”

 

ในขณะที่นูลิสกำลังพูดบ่นกับตัวเองขึ้นมาลอยๆ นั้นคุณแม่ของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาเป็นร่างเงาจางๆ และลอยมาเกาะไหล่ของเธอเอาไว้ โดยไม่สนใจเลยว่าสาวใช้ตัวน้อยจะยืนอยู่กลางเมืองกราวิทัสที่มีคนพลุกพล่านเลยแม้แต่น้อย

 

“…ก็ทั้งสองอย่างค่ะ…”

 

ซึ่งนูลิสก็เหลือบสายตาไปหาพร้อมกับพูดตอบร่างเงานั้นกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ตามเดิม โดยไม่สนใจสายตาของชาวเมืองบางคนที่แอบหันมามองอย่างกล้าๆ กลัวๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่ารู้อยู่แล้วว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นหรือว่าได้ยินเสียงของคุณแม่ของเธอได้

 

“ถ้างั้นก็ทนหน่อยละกันนะจ๊ะ ยังไงรอบนี้หนูก็ไม่ต้องลงมือทำอะไรเองอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?”

 

“มันก็อะไรประมาณนั้นล่ะค่ะ เพราะภารกิจครั้งนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของหัวหน้า เขาก็เลยสั่งให้หนูคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกเฉยๆ น่ะค่ะ”

 

บรื้นนนนนนน

 

“โหวววว~ พี่นากาดูหอนาฬิกานั่นสิ~~”

 

“หื้ม…?”

 

แต่ในระหว่างที่นูลิสกำลังอธิบายภารกิจที่ได้รับมาให้คุณแม่ของเธอฟังอยู่นั้น อยู่ๆ ก็ได้มีเสียงของรถยนต์คันหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงของเด็กสาวคนหนึ่งที่ร้องขึ้นมาอย่างร่าเริงจนทำให้สาวใช้ตัวน้อยต้องหันไปมองอย่างสงสัย

 

และเธอก็ได้พบกับรถกระบะขนาดใหญ่ที่บรรทุกเด็กสาวในชุดนักเรียนสองคนกับชาวบ้านอีกสองคนกำลังแล่นผ่านไป ซึ่งนูลิสนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกลุ่มคนบนหลังรถนั้นเลยแม้แต่น้อย เพราะว่าเธอกำลังจ้องมองรถกระบะที่ติดตราประจำเมืองกราวิทัสอยู่อย่างสงสัย

 

“รถกระบะของทางเมือง…? ของแบบนั้นไม่มีอยู่ในรายงานยุทโธปกรณ์ของเมืองนี้นี่คะ?”

 

“น่าจะเป็นของนำเข้าไม่ก็ยืมจากเมืองอื่นล่ะมั้งจ๊ะ ว่าแต่หนูจะเอาไงดีล่ะ? จะรายงานกลับไปเก็บไว้เป็นข้อมูลก่อนมั้ย?”

 

“รับทราบค่ะ”

 

นูลิสตอบคุณแม่ของเธอกลับไปพร้อมกับก้มหน้าลงและหลับตาอยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะหันไปมองคุณแม่ของเธออีกครั้งและพูดขึ้นมา

 

“ข้อมูลถูกส่งบันทึกเรียบร้อยแล้วค่ะ”

 

“……”

 

“คุณแม่คะ?”

 

นูลิสเอ่ยปากเรียกคุณแม่ของเธออีกครั้งหนึ่งเมื่อเห็นว่าร่างเงาเบื้องหน้ายังคงนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับมา ซึ่งคุณแม่ของเธอนั้นก็ยังคงนิ่งไปสักพักหนึ่งก่อนจะรีบตอบสาวใช้ร่างเล็กกลับไป

 

“โทษทีจ้ะ พอดีฮานะเขาติดต่อกลับมาว่าพาเด็กคนนั้นกลับไปรักษาตัวเรียบร้อยแล้วน่ะ”

 

“เด็กคนนั้น…? อ๋อ หมายถึงเด็กผู้หญิงที่เขาไปช่วยเอาไว้น่ะหรอคะ…? ทำอะไรไม่เข้าเรื่องอีกแล้วสินะเนี่ย…”

 

“ฮะฮะ…จะว่าอย่างนั้นมันก็ไม่ผิดล่ะมั้งจ๊ะ แต่ว่าในเมื่อมันคือสิ่งที่ฮานะเขาเลือกเองแม่ก็ไม่คิดจะว่าอะไรหรอกนะจ๊ะ แต่สำหรับหนูน่ะตอนนี้มีภารกิจใหม่เข้ามาแล้วล่ะ”

 

ทันทีที่คุณแม่ของเธอพูดจบ ในหัวของนูลิสก็ได้มีข้อความอะไรบางอย่างถูกส่งตรงเข้ามา ซึ่งนูลิสนั้นก็ได้แค่เลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งด้วยความสับสนกับคำสั่งที่เธอเพิ่งจะได้รับ

 

“ดอกไม้กับโบสถ์งั้นหรอคะ…? นี่มันภารกิจอะไรกันแน่คะเนี่ย…?”

 

“สำหรับเรื่องดอกไม้แม่คิดว่าร้านแถวนี้น่าจะพอมีขายอยู่นะ พวกเราลองไปหากันดูมั้ย?”

 

“ค่ะ…เข้าใจแล้วค่ะ…”

 

คุณแม่ของนูลิสที่เหมือนจะรับรู้ถึงข้อความที่เธอได้รับด้วยเช่นกันนั้นได้เอ่ยปากพูดแนะนำพร้อมกับชี้นิ้วไปทางถนนเล็กๆ เส้นหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะเต็มไปด้วยร้านค้า ก่อนที่นูลิสจะพยักหน้าตอบคุณแม่ของเธอไปพร้อมกับเดินตรงเข้าไปในถนนสายที่ว่า

 

ซึ่งถึงแม้ว่าประชาชนของเมืองกราวิทัสที่เห็นเธอกำลังเดินไปทางนั้นจะรีบแหวกตัวเปิดทางให้สาวใช้ตัวน้อยอย่างรวดเร็ว แต่ว่าเหล่าเด็กๆ ในเมืองที่เหมือนจะไม่เคยเห็นคนที่แต่งเครื่องแบบสาวใช้มาก่อนนั้นกลับเดินเข้ามามองเธอใกล้ๆ อย่างสนอกสนใจ ก่อนที่ผู้ปกครองของเด็กๆ เหล่านั้นจะรีบวิ่งมาค้อมหัวขอโทษนูลิสและพาพวกเด็กๆ ให้ออกห่างไปจากเธอ

 

“ดูเหมือนว่าภาพลักษณ์ของสาวใช้ในเมืองนี้จะไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะจ๊ะเนี่ย”

 

“นั่นสินะคะ”

 

“อ่ะ ร้านนั้นไงจ๊ะนูลิส ร้านขายดอกไม้น่ะ”

 

และเมื่อคุณแม่ของเธอพูดกับนูลิสเสร็จ เธอก็ลอยตัวขึ้นโดยที่ไม่เกรงกลัวว่าชาวบ้านจะเห็นร่างเงาของตนเลยแม้แต่น้อย ก่อนที่จะชี้นิ้วไปยังร้านร้านหนึ่งที่มีดอกไม้ตั้งวางเรียงรายอยู่ด้านหน้า ซึ่งนูลิสที่ได้ยินแบบนั้นก็เดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่กำลังจัดดอกไม้อยู่หน้าร้านในทันที

 

“ส—สวัสดีค่ะ! มีอะไรให้ฉันรับใช้หรอคะ!?”

 

เจ้าของร้านดอกไม้ที่เห็นนูลิสเดินตรงเข้ามาเธอนั้นรีบผละมือออกจากดอกไม้ที่เธอกำลังจัดอยู่และหันมาต้อนรับสาวใช้ตัวน้อยด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลนในทันทีจนทำให้นูลิสนั้นต้องเหลือบตาไปมองคุณแม่เธอด้วยความสงสัยเล็กน้อย

 

“พอดีจะมาซื้อช่อดอกไม้น่ะค่ะ”

 

“อ่า ได้แน่นอนสิคะ! ถ้างั้นฉันของทราบหน่อยได้หรือเปล่าคะว่าอยากรับดอกไม้ชนิดไหนบ้างคะ?”

 

“……”

 

คำถามของเจ้าของร้านดอกไม้นั้นทำให้นูลิสได้แต่เงียบไป เพราะว่าคำสั่งที่เธอได้รับมานั้นบอกเพียงแค่ว่าให้จัดหาดอกไม้มาเพียงเท่านั้นโดยไม่มีข้อมูลอะไรอย่างอื่นอีก ซึ่งคุณแม่ของนูลิสที่เห็นแบบนั้นก็ได้ลอยเข้าไปเกาะไหล่ของเธอและพูดออกมาเบาๆ

 

“เดี๋ยวแม่จัดการส่งข้อมูลให้หนูเองจ้ะ”

 

“…ขอรับเป็นช่อใหญ่ ส่วนชนิดของดอกขอเป็นดอกเบญจมาศ ดอกคาเนชั่น ดอกแกลดิโอลัส กับดอกลิลลี่ แล้วก็ขอทุกดอกเป็นสีขาวค่ะ”

 

นูลิสพูดรายชื่อดอกไม้ที่คุณแม่ของเธอส่งมาให้ด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ โดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย แต่ว่าในทันทีที่เจ้าของร้านดอกไม้ได้ยินรายชื่อและสีของดอกไม้ที่นูลิสต้องการนั้นเธอก็เผลอเอามือป้องปากและหลุดเสียงร้องอย่างตกใจออกมา

 

“อุ๊ย…”

 

“คะ?”

 

“ม…ไม่มีอะไรหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะรีบไปจัดช่อดอกไม้ให้เดี๋ยวนี้แหล่ะค่ะ!”

 

เจ้าของร้านดอกไม้ได้รีบส่ายหน้าปฏิเสธนูลิสกลับไปก่อนที่เธอจะรีบเดินหายเข้าไปภายในตัวร้านเพื่อเตรียมดอกไม้ทั้งสี่ชนิดที่สาวใช้ตัวน้อยต้องการ ในขณะที่คุณแม่ของนูลิสก็แอบเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและลอยมาทางด้านหน้าของลูกสาวของเธอพร้อมกับเอ่ยปากถามขึ้นมา

 

“หนูสงสัยหรอจ๊ะ?”

 

“ก็ไม่เชิงค่ะ หนูแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมหัวหน้าถึงต้องให้หนูมาทำอะไรแบบนี้มากกว่า…”

 

“หน่าๆ แต่มันก็เป็นคำสั่งจากเขาโดยตรงใช่มั้ยล่ะ เพราะงั้นหนูก็ไม่ต้องคิดอะไรมากหรอก”

 

“ค่ะ…”

 

นูลิสพยักหน้าตอบคุณแม่ของเธอกลับไปก่อนที่หลังจากนั้นอีกไม่นานเจ้าของร้านดอกไม้จะนำช่อดอกไม้สีขาวช่อใหญ่ที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยงามมามอบให้กับนูลิส

 

“น…นี่ค่ะ ขอแสดงความเสียใจด้วยนะคะ…”

 

“….?”

 

นูลิสที่เหมือนจะไม่เข้าใจในสิ่งที่เจ้าของร้านพยายามจะสื่อนั้นได้เอียงคอเล็กน้อยด้วยความสงสัย ก่อนที่เธอจะยื่นมือไปรับช่อดอกไม้สีขาวนั้นมาและพูดถามกลับไป

 

“ราคาเท่าไหร่หรอคะ?”

 

“เอ๋ะ?”

 

เจ้าของร้านที่ได้ยินคำถามของนูลิสนั้นถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ราวกับว่าเธอไม่เคยนึกมาก่อนว่าจะได้ยินคำพูดนี้มาจากปากของคนที่แต่งตัวเหมือนกับสาวใช้อย่างเด็กสาวตรงหน้า ก่อนที่เธอจะรีบคำนวณราคาออกมาให้อย่างรวดเร็ว

 

“อ—อ่า รวมทั้งหมดแล้วสามสิบคริสต้าก็พอแล้วค่ะ”

 

“สามสิบสินะคะ…”

 

ถึงแม้ว่านูลิสนั้นจะรู้สึกสงสัยกับท่าทางของเจ้าของร้านอยู่บ้าง แต่ว่าเธอก็พยักหน้าให้กับอีกฝ่ายพร้อมกับล้วงธนบัตรจำนวนหนึ่งออกมาและส่งให้กับเจ้าของร้านนั้นไป

 

“ข—ขอบพระคุณมากค่ะ!”

 

“ต่อไปก็ตรงไปที่โบสถ์สินะจ๊ะ ถ้างั้นเดี๋ยวแม่จะส่งเส้นทางที่ใกล้ที่สุดไปให้ละกันเนอะ”

 

“ค่ะ…”

 

นูลิสพยักหน้าให้กับเจ้าของร้านเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนที่เธอจะหันไปตอบคุณแม่ของเธอและเดินตรงไปตามเส้นทางที่ถูกส่งเข้ามาภายในหัวของเธอโดยตรง

 

ซึ่งสาวใช้ตัวน้อยก็ได้เดินถือช่อดอกไม้สีขาวนั้นไปตามถนนท่ามกลางสายตาของประชาชนเมืองกราวิทัสด้วยสีหน้านิ่งๆ จนกระทั่งเธอเดินไปถึงโบสถ์เก่าๆ หลังหนึ่งที่ตั้งอยู่แถบชานเมืองใกล้กับกำแพงขนาดใหญ่ที่ล้อมตัวเมืองอยู่

 

“ยินดีต้อนรับค่ะ มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าคะ?”

 

ในขณะที่นูลิสกำลังยืนนิ่งอยู่ที่หน้าประตูไม้เก่าๆ ของตัวโบสถ์นั้นก็ได้มีซิสเตอร์ผมสีดำยาวในชุดแม่ชีสีน้ำเงินเข้มเดินเข้ามาทักทายเธอเข้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะชักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นช่อดอกไม้สีขาวในมือของเธอและพูดต่อขึ้นมาราวกับว่าทราบสาเหตุการมาเยือนของเธอแล้ว

 

“อ่ะ… เชิญทางนี้เลยค่ะ”

 

ทันทีที่ซิสเตอร์ผมสีดำพูดจบเธอก็ออกเดินนำไปทางสวนที่อยู่ด้านหลังในทันที จนทำให้นูลิสที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองนำช่อดอกไม้สีขาวมาที่โบสถ์นี้ทำไมก็ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายที่เหมือนจะรู้เรื่องช่อดอกไม้ช่อนี้ไปอย่างว่าง่าย

 

และหลังจากนั้นไม่นานซิสเตอร์ผมสีดำได้เดินนำสาวใช้ตัวน้อยไปหยุดอยู่ที่หน้าสุสานขนาดใหญ่ทางด้านหลังของตัวโบสถ์แล้วจึงหันกลับมาพูดกับเธอ

 

“เชิญค่ะ…ถ้าเกิดต้องการอะไรเพิ่มเติมก็ไปเรียกฉันที่ด้านในโบสถ์ได้เลยนะคะ”

 

“เดี๋ยวที่เหลือแม่นำทางให้เองจ้ะ”

 

“ค่ะ…”

 

นูลิสตอบคุณแม่ของเธอกลับไปเบาๆ และเดินลัดเลาะป้ายหินจำนวนมากเหล่านั้นไปตามทางที่คุณแม่ของเธอส่งเข้ามาในหัว ก่อนจะมาหยุดลงที่ใกล้ๆ กับป้ายหินเล็กๆ ป้ายหนึ่งที่ถึงแม้ว่าจะมีสภาพเก่าๆ แต่ก็ดูเหมือนจะได้รับการดูแลอย่างดี

 

ซึ่งที่ด้านหน้าของป้ายหินข้างๆ กันนั้นได้ก็มีเด็กหนุ่มผมสั้นสีเขียวอ่อนคนหนึ่งกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ และอีกฝ่ายก็ได้เหลือบนัยน์ตาสีเหลืองซีดของเขาขึ้นมามองนูลิสเล็กน้อยก่อนจะก้มหน้ากลับไปลงตามเดิม

 

“ที่นี่แหล่ะจ้ะ”

 

“แคทเธอรีน… ไม่มีนามสกุลงั้นหรอคะ…”

 

นูลิสอ่านชื่อที่ถูกสลักไว้บนแผ่นหินนั้นออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปถามคุณแม่ของเธอ แต่ว่านั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มผมสีเขียวที่มองไม่เห็นและไม่ได้ยินเสียงของคุณแม่ของนูลิสนั้นกัดฟันกรอดแล้วลุกขึ้นมาจ้องหน้าสาวใช้ตัวน้อยในทันที

 

“มาเยาะเย้ยอาจารย์ของผมอีกแล้วหรือไงกันครับ…? คราวนี้ใครสั่งคุณมาล่ะครับ?”

 

คำพูดของเด็กหนุ่มผมสีเขียวนั้นทำให้สาวใช้ตัวน้อยต้องหันไปมองเขาด้วยความสงสัยและเธอก็พบว่าในแววตาของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองเธออยู่นั้นเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

 

“อาจารย์ของคุณ…? หมายถึงผู้หญิงที่ชื่อแคทเธอรีนน่ะหรอคะ?”

 

“จะใครซะอีกล่ะ! ก็แคทเธอรีนที่ถูกพวกแกฆ่าไปนั่นไง!! เหอะ! ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นไอ้เจ้าโดตั้นนั่นใช่มั้ยล่ะที่ส่งแกมาที่นี่น่ะ!!”

 

“โดตั้น…?”

 

นูลิสพูดทวนชื่อของคนที่เธอไม่รู้จักขึ้นมาพร้อมกับเหลือบไปมองร่างเงาของคุณแม่ที่เกาะไหล่ของเธออยู่เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม แต่ว่าทันใดนั้นเองก็มีคำสั่งอะไรบางอย่างถูกส่งเข้าไปในหัวของสาวใช้ตัวน้อยอีกครั้งหนึ่งจนทำให้เธอชะงักไปชั่วครู่

 

“…….”

 

“ทำตามคำสั่งไปจ๊ะนูลิส…”

 

 

คุณแม่ของเธอพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นคลอนราวกับว่ากำลังพยายามอดกลั้นอะไรบางอย่างเอาไว้ ซึ่งนูลิสก็พยักหน้าให้คุณแม่ของเธอไปแล้วจึงหันกลับไปพูดกับเด็กหนุ่มผมสีเขียวคนนั้นแทน

 

“คนที่ฝากช่อดอกไม้นี้มาไม่ใช่คนของเมืองนี้หรอกค่ะ… แต่ว่าเป็นเพื่อนเก่าจากต่างแดนของคุณแคทเธอรีนที่เพิ่งได้ข่าวการจากไปของเธอน่ะค่ะ”

 

“เพื่อนเก่า…จากต่างแดนงั้นหรอ?”

 

คำพูดที่นูลิสเอ่ยออกมานั้นทำให้ชายผมสีเขียวอ่อนชะงักไปพร้อมกับก้มหน้าลงไปนึกอะไรบางอย่างอยู่สักครู่ ก่อนที่ความดุร้ายในแววตาของเขานั้นจะค่ายๆ สลายไปและถูกแทนที่ด้วยความโศกเศร้าแทน

 

“บ…แบบนั้นเองสินะครับ… เอาจริงๆ ผมก็น่าจะคิดได้นะครับว่าถ้าเป็นเจ้าพวกนั้นจริงๆ พวกมันก็คงไม่ลงทุนเสียเวลาหาช่อดอกไม้แบบนั้นมาหรอกน่ะครับ…”

 

“งั้นหรอคะ…”

 

นูลิสพูดขึ้นมาเบาๆ ก่อนจะก้าวเข้าไปใกล้ป้ายหินเก่าๆ ที่ไม่มีอะไรประดับตกแต่งอยู่แม้แต่อย่างเดียวเพื่อที่จะวางช่อดอกไม้สีขาวที่เธอซื้อมาลงไป ในขณะที่ชายผมสีเขียวอ่อนนั้นก็มองตามเธอไปและพูดถามขึ้นมา

 

“แต่ว่านำช่อดอกไม้มาด้วยแบบนี้นี่คงจะหมายความว่าคนที่ส่งคุณมาน่าจะขาดการติดต่อกับอาจารย์ของผมไปนานมากเลยสินะครับ… เพราะว่าก่อนที่อาจารย์จะจากไปท่านก็บอกอยู่ตลอดเลยว่าถ้าเกิดว่าท่านเป็นอะไรขึ้นมาก็ไม่ต้องมาไหว้หรือว่าทำพิธีอะไรทั้งนั้นน่ะครับ”

 

“ฉันแค่ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาเท่านั้นแหล่ะค่ะ…”

 

“ครับ… ถ้ายังไงผมก็ต้องขอโทษที่เสียมารยาทไปเมื่อสักครู่ด้วยนะครับ พอดีว่าผมเข้าใจผิดนึกว่าคนในวังส่งคุณมาน่ะครับ เพราะว่าถ้าเกิดไม่ใช่คนที่รวยจริงๆ ก็จะมีแต่พวกขุนนางเท่านั้นล่ะครับที่จะมีคนใช้กันน่ะ แล้วยิ่งคุณใส่เครื่องแบบเต็มยศแบบนี้ด้วยผมก็เลยยิ่งปักใจเชื่อไปใหญ่เลย…”

 

“ก็พอจะเดาได้ตั้งแต่ตอนที่ฉันเดินอยู่ในเมืองแล้วล่ะค่ะว่าสาวใช้ของที่นี่ไม่ค่อยจะเป็นที่ต้อนรับสักเท่าไหร่…”

 

“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนี่ครับ ผม ทีออส สตราม่า เป็นลูกศิษย์— ไม่สิ… ก็แค่คนที่อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ของแคทเธอรีนเขาน่ะครับ… ถ้ามีอะไรสงสัยเกี่ยวกับเมืองนี้ก็ถามมาได้เลยละกันนะครับ”

 

ในขณะที่เด็กหนุ่มผมสีเขียวอ่อนกำลังเอ่ยปากแนะนำตัวเองว่าเป็นลูกศิษย์ของแคทเธอรีนนั้นเขาก็ชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับมองไปยังป้ายหลุมศพที่เขาอยู่ยืนข้างหน้าด้วยแววตาเศร้าๆ และเปลี่ยนคำพูดของตนเองไป ซึ่งนูลิสที่ได้ยินแบบนั้นก็ได้หันไปมองหน้าเขาพร้อมกับพูดถามเขากลับไป

 

“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ… ว่าแต่… คุณทีออสพอจะเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าคะว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณแคทเธอรีนเขาน่ะ…”

 

“…!?”

 

คำถามของนูลิสนั้นทำให้ร่างเงาของคุณแม่หันขวับไปทางสาวใช้ตัวน้อยอย่างรวดเร็วด้วยสายตาแปลกใจ แต่ว่าเมื่อเธอได้เห็นแววตาของนูลิสแล้วเธอก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมาพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมาบางๆ ก่อนที่ร่างของเธอที่เป็นเงาสีดำจางๆ นั้นจะค่อยๆ สลายหายไปในอากาศ ราวกับว่าไม่อยากจะอยู่รบกวนการกระทำที่ลูกสาวของเธอเป็นคนเลือกเอง

 

“มันก็ได้อยู่แหล่ะครับ แต่ว่าผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากขนาดนั้นหรอก เพราะว่าพวกขุนนางในวังเขาพยายามปิดข่าวเรื่องนี้กันซะมิดเลยล่ะครับ”

 

“เอาแค่เท่าที่คุณรู้หรือที่คุณคิดว่ามันน่าจะเป็นก็ได้ค่ะ… เพราะฉันอยากรู้ถึงเหตุผลว่าทำไมคุณถึงมีท่าทีโกรธแค้นขนาดนั้นน่ะค่ะ”

 

“ทำไมถึงโกรธงั้นหรอครับ…ฮะฮะ…”

 

ทีออสที่ได้ยินนูลิสพูดขึ้นมาตรงๆ แบบนั้นก็ได้ตัวหัวเราะแห้งๆ ออกมา ก่อนเขาที่จะพยักหน้าตกลงให้เธอกลับมาทีหนึ่งแล้วจึงเริ่มเล่าเรื่องของแคทเธอรีนให้เธอฟัง

 

“ก็… อย่างที่คุณน่าจะทราบอยู่แล้วว่าคุณแคทเธอรีนเธอเป็นช่างนาฬิกาและนักประดิษฐ์มากประสบการณ์ที่อาศัยอยู่ในเมืองกราวิทัสนี่น่ะครับ ซึ่งชื่อเสียงของเธอนอกจากจะดังไปถึงต่างเมืองแล้วก็ยังเป็นที่สนใจในหมู่ขุนนางระดับสูงอยู่ด้วยจนทำให้เธอต้องรับงานสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ จากทางวังอยู่บ่อยๆ”

 

“ค่ะ…”

 

นูลิสพยักหน้าตอบเขากลับไปถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้เรื่องของแคทเธอรีนที่เขาเล่ามาแม้แต่น้อยเลยก็ตาม ซึ่งทีออสนั้นก็เงียบไปสักพักราวกับว่าเขากำลังเรียบเรียงอยู่ว่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สาวใช้ตรงหน้าฟังยังไงดี

 

“ถึงแม้ว่าความสามารถของเธอจะไม่เป็นที่สองรองใคร แต่ว่าด้วยอายุที่เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ทำให้เธอตัดสินใจที่จะเลิกรับงานสร้างสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ก่อนที่เธอจะย้ายไปเปิดร้านนาฬิการ้านเล็กๆ กับลูกศิษย์คนหนึ่งของเธอที่แถวชานเมืองน่ะครับ”

 

เมื่อทีออสเล่ามาถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปเล็กน้อยพร้อมกับเหลือบไปมองป้ายหลุมศพอีกอันหนึ่งที่อยู่ข้างๆ ของแคทเธอรีนอยู่ชั่วครู่

 

“แต่ว่าหลังจากที่เธอบอกกับพวกวังหลวงว่าจะเลิกรับงานจากพวกมันมาทำได้ไม่นานสักเท่าไหร่ มีอยู่คืนหนึ่งเธอได้มีปากเสียงอย่างรุนแรงกับลูกค้าที่แวะมาที่ร้านจนทำให้เธอต้องส่งลูกศิษย์ที่อาศัยอยู่ด้วยกันมาหลบที่โบสถ์แห่งนี้ก่อน ซึ่งถึงแม้ว่าลูกศิษย์ของเธอจะไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่นักแต่ว่าเธอก็ยอมหลบมาตามที่อาจารย์ของเธอสั่งแต่โดยดี”

 

ทีออสกำมือและกัดฟันแน่นเมื่อเขาเล่ามาถึงเรื่องในวันที่อาจารย์ของเขาจากไปก่อนที่เขาจะก้มหน้าลงและพูดขึ้นมาอย่างอัดอั้น

 

“…แล้วหลังจากที่ลูกศิษย์ของเธอมาถึงโบสถ์ได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีคนรีบวิ่งตามมาแจ้งข่าวว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ในร้านจนทำให้คุณแคทเธอรีนที่ยังอยู่ข้างในนั้นเสียชีวิตไปแล้วน่ะครับ”

 

“ไฟไหม้งั้นหรอคะ…?”

 

นูลิสที่ฟังมาถึงตรงนี้ได้เอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยเสียงนิ่งๆ ของเธอ โดยที่ไม่ได้รู้สึกตัวเลยแม้แต่น้อยว่าตอนนี้คิ้วของเธอกำลังขมวดเข้าหากันราวกับว่าเธอกำลังไม่สบอารมณ์อยู่อย่างไรอย่างนั้น

 

“ครับ… แล้วหลังจากนั้นไม่นานทางการก็ประกาศออกมาว่ามันเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการที่ระบบวิซภายในร้านขัดข้องขึ้นมาจนทำให้อุปกรณ์ที่ใช้วิซธาตุไฟทำงานขึ้นมาเองในระหว่างที่เธอกำลังนอนหลับอยู่และลามไปทั่วจนเกิดเป็นเหตุเพลิงไหม้น่ะครับ…”

 

“เป็นแบบนั้นเองสินะคะ…”

 

ถึงแม้ว่านูลิสจะตอบกลับไปแบบนั้น แต่ว่าเมื่อเธอดูจากท่าทางของทีออสที่กำลังกำหมัดแน่นจนแทบจะสั่นไปทั้งตัวนั้นก็พอจะทำให้เธอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้เชื่อในเรื่องอุบัติเหตุที่เขาพูดออกมาเองเลยแม้แต่น้อย

 

เอี๊ยดดดดด–

 

แต่แล้วก่อนที่ทีออสจะได้เล่าอะไรออกมาเพิ่มนั่นเอง ก็ได้มีเสียงของรถยนต์คันหนึ่งที่กำลังเบรกห้ามล้อดังขึ้นมาให้ทั้งสองคนได้ยินจากทางฝั่งด้านหน้าของโบสถ์ ซึ่งทีออสนั้นก็ได้หันไปมองทางต้นเสียงเล็กน้อยและพูดขึ้นมา

 

“อ่ะ— ดูเหมือนว่าผมจะต้องไปแล้วล่ะครับ ถ้ายังไงก็ขอขอบคุณที่มาเยี่ยมแคทเธอรีนเขาด้วยนะครับ เพราะว่าปกติเธอจะไม่ค่อยสุงสิงกับใครสักเท่าไหร่ก็เลยค่อยมีใครมาเยี่ยมเธอนอกจากผมเลยน่ะครับ… ถ้าเกิดเธอได้รู้ว่าเพื่อนของเธอส่งคนมาเยี่ยมแบบนี้เธอก็คงจะดีใจมากแน่ๆ เลยล่ะครับ…”

 

“ค่ะ…ยังไงก็ขอบคุณที่อุตส่าห์ฝืนเล่าให้ฉันฟังด้วยนะคะ…”

 

“ฮะฮะ ดูออกง่ายขนาดนั้นเลยหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อนก็ละกันนะครับ…”

 

ทีออสที่ถูกนูลิสพูดออกมาตรงๆ แบบนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ออกมานิดหน่อยก่อนที่เขานั้นจะยิ้มและพยักหน้าให้นูลิสกลับมาทีหนึ่ง แล้วจึงค่อยรีบเดินตรงกลับออกไปจากเขตสุสานของโบสถ์อย่างรวดเร็ว

 

“มีคำสั่งใหม่เข้ามาแล้วจ้ะ ตอนนี้ทางฝั่งนิโคลเขาจัดการเรื่องเสร็จแล้ว ส่วนหัวหน้าเองก็เข้าประจำที่เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวหนูเตรียมตัวเคลื่อนตัวต่อได้เลยจ้ะนูลิส”

 

“รับทราบคำสั่ง”

 

ทันใดนั้นเองคุณแม่ของเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งและเอ่ยปากพูดกับเธอ ซึ่งนูลิสนั้นก็พยักหน้าตอบอีกฝ่ายไปสั้นๆ ก่อนที่ด้านหลังของเธอจะมีละอองแสงแผ่ออกมาเป็นรูปร่างปีกผีเสื้อที่มีรอยร้าวเล็กๆ ที่กำลังค่อยๆ สมานกันอยู่ปรากฏให้เห็น

 

“เป้าหมายภารกิจที่ปราสาทกราวิทัสสินะคะ… แฟรี่ นูลิส เริ่มภารกิจ…!”