ตอนที่ 50 ครอบครัวร่ำรวยขึ้น

คนรับใช้ของโรงยาไม่พอใจขึ้นมาทันที “จริงอยู่แล้ว ทำไมข้าจะต้องหลอกพวกเจ้าด้วย?”

จี้จือฮวนจะกลับแล้ว คนรับใช้จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มขึ้นมา “แม่นางจี้ค่อย ๆ เดินนะขอรับ ข้าจะกลับเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”

“เดินทางระมัดระวังด้วย” จี้จือฮวนเอ่ยเสียงเย็น

“ขอรับ” คนรับใช้สั่งให้คนขับรถม้ากลับไป เพียงพริบตาก็หายลับไปแล้ว

เมื่อเห็นรถม้าไปแล้ว ก็มีชาวบ้านเดินตามจี้จือฮวนสองแม่ลูกมา

“สะใภ้ตระกูลเผย เจ้ารักษาคนได้จริง ๆ หรือ วันนี้ไปรักษาใครหรือ?”

“สะใภ้ตระกูลเผย เจ้าไปเรียนการรักษาคนมาตั้งแต่เมื่อใดกัน เช่นนั้นต่อไปข้าก็สามารถไปให้เจ้ารักษาให้ได้แล้วใช่หรือไม่?”

ถ้าจี้จือฮวนรู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เมื่อครู่คงให้คนขับรถม้าไปจอดที่เนินเขาแล้ว จะได้ไม่ถูกคนซักไซ้อยู่ในหมู่บ้านเช่นนี้

“ไม่ได้เก่งเช่นนั้นหรอก ข้าแค่บังเอิญรู้ว่าโรคนั้นต้องรักษาเช่นไรก็เท่านั้น” ที่จี้จือฮวนพูดล้วนเป็นความจริง

แต่พวกชาวบ้านก็ยังดีใจอยู่ดี หากว่าจี้จือฮวนรักษาได้ เช่นนั้นต่อไปยังต้องลำบากเข้าไปในตำบลอีกทำไมกัน แค่ไปหานางก็พอแล้ว

“แค่นั้นก็เก่งมากแล้ว”

“นั่นสิ!”

ด้านนอกมีเสียงดังโหวกเหวกโวยวาย จนเฉินเย่าจงเขวี้ยงหนังสือลงกับพื้น

เสียงดังน่ารำคาญยิ่งนัก

หวังกุ้ยฟางบังเอิญเข้าห้องมาพอดี ปากก็ด่าทอไม่หยุด เฉินเย่าจงจึงเอ่ยถามออกมา “ท่านแม่ ด้านนอกเกิดอะไรขึ้นอีกขอรับ?”

หวังกุ้ยฟางได้ยินลูกชายถาม สีหน้าก็พลันอ่อนโยนลงและเอ่ยตอบ “ก็ครอบครัวเผยนั่นอย่างไรเล่า ตอนนี้บอกว่าตัวเองสามารถรักษาคนได้ คนในหมู่บ้านจึงโวกเวกโวยวายจะไปให้นางรักษาให้ ไม่กลัวนางจะหลอกเอาหรืออย่างไร ข้าว่ายันต์ในวัดที่ภูเขาด้านหลังน่ะดีที่สุดแล้ว”

เฉินเย่าจงเมื่อได้ยินว่าเป็นครอบครัวเผยนั่นอีกแล้ว ในใจก็ดูแคลนขึ้นมา

“ท่านก็อย่าไปฟังเรื่องข้างนอกนักเลยขอรับ วันหน้าข้าจะรับท่านไปอยู่เมืองหลวงด้วย”

หวังกุ้ยฟางได้ยินดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก “ใช่แล้ว เจ้าพักผ่อนเถอะ แม่จะไปทำไข่ตุ๋นมาให้กิน”

เฉินเย่าจงพยักหน้ารับ สายตากลับมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านโดยไม่รู้ตัว เมื่อใด…คนของสำนักศึกษาชิงอวิ๋นจะมารับเขาเข้าเรียนกัน

ถึงเวลานั้นผู้คนในหมู่บ้านก็จะหันมาสนใจเขาอีกครั้ง

จี้จือฮวนไปครั้งนี้ กว่าจะกลับมาก็เลยมื้อเที่ยงไปแล้ว โชคดีที่ท่านป้าหยางยังเก็บอาหารเอาไว้ให้พวกเขา อาอินรอนางนั่งลงแล้วจึงเริ่มถามว่าวันนี้ไปรักษาคนในตำบลเป็นเช่นไรบ้าง

จี้จือฮวนกินข้าวไปพลางก็นำเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาให้อาอิน “จดลงบัญชีด้วย”

ตอนนี้อาอินเป็นแม่บ้านตัวน้อยของบ้านไปแล้ว แม้ว่าสุดท้ายเงินเหล่านั้นจะต้องเอาคืนให้นางก็ตาม โดยพวกเขาจะเก็บเงินเอาไว้ในช่องว่างมิติของช่องว่างพิศวง แต่ว่ามีเงินเท่าใดนางจะต้องรู้ก่อน

อาอินก้มตัวลงเพื่อหลบคนงานด้านนอกและนับอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นมา พร้อมกับกระซิบด้วยความดีใจ “เงินมากเพียงนี้เชียว รักษาโรคอะไรหรือ?”

อาอินมองออกทันทีว่าการรักษาคนนั้นหาเงินได้มากกว่าขายเจียนปิ่งกั่วจือเสียอีก

“สำหรับพวกเจ้าแล้วเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้” จี้จือฮวนครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะอธิบายออกมา

“ท่านร้ายกาจเพียงนี้เชียวหรือ ก่อนหน้านี้ข้าประเมินท่านต่ำไปจริง ๆ” อาอินตัดสินใจกับตัวเองแล้วว่าจะตั้งใจเรียนรู้กับจี้จือฮวน ภายภาคหน้าจะได้หาเงินได้มาก ๆ

กลับเป็นเผยจี้ฉือที่รู้สึกสับสนขึ้นมา คนทั้งโรงยาไม่สามารถรักษาได้ นางเข้าไปทำบางอย่างจนมือเลอะไปด้วยเลือดก็สามารถรักษาคนให้หายได้แล้ว หรือว่าเป็นวิชาของพวกปีศาจ?

เช่นนั้นการใช้คาถาช่วยคน พลังปีศาจจะอ่อนแอลงหรือไม่?

เผยจี้ฉือคิดไปคิดมา ก่อนจะขยับชามน้ำแกงตรงหน้าให้นาง น้ำเสียงแข็งกระด้างอยู่เล็กน้อย “ข้าอิ่มแล้ว น้ำแกงนี่เจ้าดื่มเถอะ”

จี้จือฮวนเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเพิ่งจะกินไปนิดเดียวก็อิ่มแล้วอย่างนั้นหรือ?”

“เมื่อครู่กินขนมไปนิดหน่อย ยังอิ่มอยู่” วายร้ายตัวน้อยอธิบายด้วยสีหน้าเย็นชา

จี้จือฮวนไม่สงสัยเขาอีก “เช่นนั้นก็ได้”

นางดื่มน้ำแกงไปหนึ่งอึก เมื่อพบว่ารสชาติไม่เลวจึงหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข มุมปากของเผยจี้ฉือโค้งขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกินข้าวคำโต เขาต้องรีบโตจะได้ดูแลครอบครัวนี้ให้ดี

“จริงสิ ตอนนี้พวกเรามีเงินแล้ว ข้าคิดว่าสร้างบ้านเสร็จแล้ว จะซื้อที่นากับรถม้าเพิ่ม ต่อไปเวลาออกไปข้างนอก หรือไปเรียนก็จะได้สะดวกขึ้น”

จี้จือฮวนเคยคิดจะซื้อบ้านในตำบลเช่นกัน แต่ว่าตำบลฉาซู่นั้นเล็กเกินไปจึงไม่เข้าตานาง อยู่ในชนบทยังจะสบายเสียกว่า

ยังมีอีกเรื่องก็คือ ในนิยายไม่ได้อธิบายวัยเด็กของตัวร้ายน้อยทั้งสามไว้อย่างละเอียด เนื้อหาส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ของนางเอกในจวน ตั้งแต่เป็นลูกสาวอนุคนหนึ่งต่อสู้จนได้เป็นฮองเฮา

นางเอกในเรื่องเป็นคนที่ฆ่าคนได้ไม่เลือกหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ ก่อนที่เผยยวนจะฟื้นขึ้นมา นางไม่อยากให้พวกเผยจี้ฉือไปเข้าตานางเอกของเรื่องเร็วเกินไปนัก

เพราะพวกเขาทั้งสามคนล้วนตายด้วยน้ำมือของนางเอก

“ข้าไม่มีความคิดเห็น แต่ว่าเรื่องสำนักศึกษาน่ะ ช่างมันเถอะ ข้าอ่านตำราอยู่ที่บ้านก็เหมือนกัน” เงินเหล่านั้นจี้จือฮวนล้วนเป็นคนหามา เผยจี้ฉือไม่ต้องการเพิ่มภาระให้นางอีก

“จะเหมือนกันได้อย่างไร มีคนคอยชี้แนะอย่างไรก็ต้องดีกว่าคิดเอาเองอยู่แล้ว ไม่เพียงเจ้าต้องเรียนหนังสือ อาอินกับอาชิงต่อไปก็ต้องเรียนด้วย เจ้าเรียนแล้วข้าค่อยเรียนกับเจ้าอีกที” ไม่ว่าจะยุคสมัยใดมีเพียงการเรียนหนังสือเท่านั้น ที่จะเป็นความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน

“ข้าก็ต้องไปหรือ?” อาอินส่ายหน้า “ข้าจะหาเงินกับท่าน”

“เจ้าไม่เรียนหนังสือ อ่านหนังสือไม่ออก ภายหน้าทำการค้าไม่กลัวถูกคนหลอกอย่างนั้นหรือ?” จี้จือฮวนถามกลับ

อาอินพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง จี้จือฮวนคิดถึงภายภาคหน้าที่นางจะกลายเป็นเทพสังหารที่มีชื่อเสียง จึงปรับน้ำเสียงให้อ่อนลงแล้วเอ่ยขึ้นมา “แม้แต่พ่อของเจ้าก็คงไม่ใช่คนที่ไม่รู้หนังสือหรอกกระมัง หากไม่รู้หนังสือจะอ่านตําราพิชัยสงครามได้อย่างไร จะวางขบวนกองทัพในการทำศึกได้อย่างไร?”

อาอินเอ่ยอย่างท้อใจ “แต่ว่าสำนักศึกษาไม่รับเด็กผู้หญิง”

“เช่นนั้นก็ให้พี่ใหญ่ของเจ้าสอนให้ก่อน เจ้ากับข้าเรียนด้วยกัน”

วิธีนี้ยังพอไหว อาอินจึงไม่กล้าพูดอะไรอีก

หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว เสี่ยวเจียนก็นำชามและตะเกียบไปล้างที่ห้องครัว

กลางวันแม้จะไม่มีงานทำนางก็ไม่ยอมกลับบ้าน นางอยากอยู่ที่นี่คอยช่วยพวกเขา จี้จือฮวนเถียงไม่ชนะนาง ก็เลยอาศัยตอนที่พวกคนงานยุ่งกันอยู่ เรียกเด็กทั้งสามคนไปนอนกลางวัน

ตอนนี้พวกเขาไม่ใช่คนที่ต้องกังวลว่าจะไม่มีข้าวมื้อต่อไปกินอีก ดังนั้นเด็ก ๆ จึงไม่ต้องไปช่วยงานนางตลอดเวลา

จี้จือฮวนวางแผนว่าจะให้พวกเขามีการพัฒนาทั้งสติปัญญาและคุณธรรม รวมทั้งสมรรถภาพทางร่างกายด้วย

อย่างแรกต้องเป็นไปตามนาฬิกาชีวิตก่อน

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เมื่อพวกเจ้ากินข้าวกลางวันเสร็จแล้ว ให้ขยับร่างกายสักพัก ก่อนเริ่มนอนกลางวัน” จี้จือฮวนล้างมือของอาชิงจนสะอาด ก่อนจะนำลูกเสือที่เขาอุ้มเอาไว้ตลอดเวลากลับไปเข้าคอก

อาชิงรู้สึกว่าตัวเองล้างมือล้างหน้าจนหอมฉุยแล้ว ก็กอดผ้าห่มและกลิ้งไปมาบนเตียง ก่อนจะเอ่ยด้วยดวงตากลมโต “เหตุใดต้องนอนกลางวันด้วยขอรับ เมื่อก่อนก็ไม่ได้นอนกลางวันนี่ขอรับ”

“เมื่อก่อนเพราะไม่ได้นอนกลางวันดังนั้นเจ้าถึงตัวไม่สูง เด็กต้องนอนให้มาก ๆ ตัวจะได้สูง ๆ” จี้จือฮวนห่มผ้าห่มให้เขา

เผยจี้ฉือเอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจ “แต่ข้าสูงมากนะ”

“แค่สูงยังไม่พอ ดูสิว่าเจ้าผอมอย่างกับอะไรดี ก่อนสิ้นเดือนนี้พวกเจ้าต้องอ้วนขึ้นกว่านี้สักสองสามชั่ง หากทำไม่สำเร็จ จะไม่ได้ฟังนิทานอีก” จี้จือฮวนเอ่ยจบเด็กทั้งสามคนก็หลับตาลงด้วยความตกใจทันที

นิทานสนุกขนาดนั้น พวกเขาไม่ฟังไม่ได้หรอก

จี้จือฮวนหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะช่วยห่มผ้าให้เผยยวนที่นอนอยู่ข้าง ๆ พลางคิดว่าพรุ่งนี้จะไปซื้ออะไรที่ตำบลดี

วัวและแกะล้วนต้องมี เพราะจะได้บีบนมแกะให้เด็ก ๆ ดื่ม เช่นนี้สารอาหารถึงจะครบถ้วน

ถึงเวลาก็แค่ขายเกลืออยู่ที่บ้าน หรือบางครั้งก็เข้าไปขายสูตรอาหารที่ตำบลบ้าง จากนั้นก็ซื้อที่นา อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนค่ำ และในบ้านก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไรอีก