ตอนที่ 57 โต๊ะรวมของผู้สูงอายุ

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 57 โต๊ะรวมของผู้สูงอายุ

เซียวฮั่นซีชำเลืองมองไป๋เยี่ยครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยชมอย่างยิ้มๆ “ดูมีพรสวรรค์ แต่ที่สำคัญคือเป็นคนไม่หยิ่งยโสโอ้อวดตนเองและรู้จักปล่อยวาง นี่แหละลักษณะของคนมีความรู้!”

พอได้รับคำชมจากผู้อำนวยการเช่นนี้แล้ว ไป๋เยี่ยก็รู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขายิ้มรับอย่างเคอะเขินและไม่พูดอะไรต่อ

เซียวฮั่นซีเดินไปข้างชายศีรษะโล้นคนนั้นพร้อมกับจับมือทักทายกัน “ไม่ได้เจอกันนานนะครับ หัวหน้าโจว”

ชายคนนั้นตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “อืม ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ ผอ.เซียว คุณดูมีชีวิตชีวาไม่เหมือนกับคนเป็นหมอเลยนะครับ อย่างผมเนี่ยผมใกล้ร่วงหมดหัวแล้วครับ! สงสัยจะเป็นโรคไตซะแล้ว”

พูดจบเขาก็ลูบเส้นผมที่มีอยู่บางเบาบนศีรษะของตนเองด้วยท่าทีดูเป็นกังวลพลางถอนหายใจออกมา

ไป๋เยี่ยพึมพำในใจ ก็ว่าทำไมถึงรู้สึกคุ้นหน้าชายคนนี้!

ให้ตายเถอะ เมื่อกี้ยังทำตัวตื่นเต้นอยู่เลย พอมาตอนนี้กลับทำเป็นเศร้าซะงั้น ถ้างั้นก่อนหน้านี้เขาก็แสร้งให้ฉันคลำชีพจรให้น่ะสิ!

ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังนึกเสียดายอยู่นั้น ชายศีรษะโล้นก็พูดขึ้น “ผอ.เซียว คุณต้องดูแลเด็กคนนี้ดีๆ นะ เขาคืออนาคตของพวกเรา! ประเทศชาติต้องการคนมากความสามารถอย่างพวกคุณนะ!”

เซียวฮั่นซีพยักหน้า “ผมมีหน้าที่ทำภารกิจที่หัวหน้ามอบหมายให้สำเร็จครับ เสี่ยวเยี่ย ว่างๆ ก็มาขึ้นวอร์ดกับผมนะ คุณมีพื้นฐานแน่น จะต้องพัฒนาทักษะภาคปฏิบัติได้ไวมากแน่ๆ อย่างไรศาสตร์การแพทย์ก็เป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยการลงมือปฏิบัติจริงในคลินิกอยู่แล้ว มีแค่ความรู้แค่ระดับปริญญาตรีน่ะไม่พอหรอก ต้องหัดเรียนรู้และนำไปใช้จริง”

ไป๋เยี่ยได้ฟังก็พยักหน้าในใจ เพียงแต่ว่า…เขาแทบจะไม่เหลือเวลาแล้ว!

อีกไม่ถึงสิบวันก็เป็นวันปีใหม่แล้ว กลับบ้านไปได้ไม่กี่วันก็ต้องไปศูนย์ทดลองของโนเบลแล้ว อีกอย่างเขายังต้องเสียเวลาสองวันไปกับงานของจางฮั่นหลิงอีกด้วย ใครจะไปรู้ว่าภารกิจลูกโซ่อะไรนั่นจะมีภารกิจตามมาอีกกี่ภารกิจและจะได้รางวัลมากน้อยแค่ไหน

เขาต้องอยู่ที่ศูนย์ทดลองโนเบลเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม หลังจากนั้นอีกหนึ่งเดือนก็จะเข้าสู่เดือนเมษายนแล้ว ซึ่งเป็นช่วงของการสอบเรียนต่อป.โทครั้งที่สอง

ส่วนผลการสอบเรียนต่อนั้นคาดว่าจะถูกประกาศออกมาในช่วงปีใหม่ ไป๋เยี่ยมั่นใจมากว่าตนจะไม่มีปัญหากับการสอบเข้า เขาต้องสอบผ่านอย่างแน่นอน ส่วนการสอบครั้งที่สองนั้น…

ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ถึงเวลาต้องเตรียมตัวทำธีสิสแล้วสินะ

ซึ่งเขาก็ต้องส่งธีสิสในเดือนเมษายน และจะเรียนจบในเดือนกรกฎาคมที่จะถึงนี้ แถมอาจารย์จางเสวียเวิ่นยังชวนเขาไปขึ้นวอร์ดผู้ป่วยนอกที่ปักกิ่งอีกด้วย เฮ้อ!

บางทีการเป็นคนเก่งก็ไม่ดีเสมอไปหรอกนะ ยุ่งจนหัวหมุน จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็คิดถึงตอนที่ยังเป็นคนไม่เอาถ่านขึ้นมา ตอนนั้นมันก็สบายดีเหมือนกันนะ!

ไม่ได้เล่นเกมมาตั้งนานแล้ว ฝีมือคงยังไม่ตกหรอกมั้ง

ชายศีรษะโล้นยกยิ้มและหันหลังเดินจากไป เขาบังเอิญเจอเข้ากับไป๋เยี่ยจึงลองหยอกดูว่าหนุ่มน้อยมากความสามารถที่หลี่หวายจงเอาแต่เอ่ยปากชมทั้งวันทั้งคืนจะเป็นอย่างไรกันแน่

กำหนดการในช่วงต่อไปถูกจัดไว้อย่างแน่นเอี๊ยด ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในการประชุมช่วงปลายปีที่จัดขึ้นที่สภาประชาชน

กำหนดการจัดงานมอบเหรียญเกียรติยศถูกเลื่อนให้ไวขึ้น แสดงให้เห็นว่าทางการให้ความสำคัญกับงานมอบเหรียญเกียรติยศครั้งนี้มากเพียงใด

ทั้งยังมีการถ่ายทอดสดงานนี้ผ่านทางช่องดาวเทียมจิ้นซีด้วย ลองจินตนาการภาพคนนับพันมารวมตัวกันในห้องโถงใหญ่แห่งนี้ดูสิ มันจะน่าทึ่งแค่ไหนเชียว

ไป๋เยี่ยถูกจัดให้ไปนั่งแถวแรก เขานั่งลงและหันหลังกลับไปมองเหล่าหัวหน้าและประธานที่นั่งกันแน่นขนัด พลันรู้สึกกระอักกระอ่วนใจขึ้นมาทันใด!

เขาถอนหายใจยาวๆ อย่างน้อยเขาก็เป็นนักศึกษาที่พอมีฐานะ เขาจะมาทำตัวขี้ขลาดต่อหน้าคนรวยกลุ่มนี้ไม่ได้!

เสียงกระแอมดังแว่วมาจากใครบางคน ไป๋เยี่ยจึงกวาดสายตามองซ้ายมองขวา ก่อนจะเหลือบไปเห็นสวี่จงเหล่ยที่กำลังนั่งขาสั่นอยู่! จางจี๋เซียนเองก็ด้วย…

อืม! อย่างน้อยก็ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวที่สั่น!

ไป๋เยี่ยคิดว่าการนั่งหน้าสุดนั้นน่าเบื่อมาก เขาจึงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ พลางปรายตามองผู้คนแต่ละคนที่กำลังใช้สมาธิจดจ่อกับสาระของการประชุม ไป๋เยี่ยรู้สึกชื่นชมคนพวกนี้จริงๆ

การประชุมดำเนินมาเป็นเวลาสามชั่วโมง ในที่สุดก็ถึงช่วงมอบเหรียญเกียรติยศแล้ว!

หยางเฉินเซิงกล่าวเริ่มพิธี “หลายปีมานี้ประเทศของเราให้ความสำคัญกับศาสตร์แพทย์แผนจีนมาโดยตลอด…พวกเราได้รับผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม…จากความมุมานะของพวกเรา ในการประเมินผลประจำสิ้นปีนี้ มณฑลของเราได้เข้ารอบเป็นผู้ท้าชิงสิบอันดับแรก และคว้าผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมนี้กลับมาได้…ทางเราจึงขอมอบรางวัลให้แก่พวกเขา!”

“ขอเชิญบุคลาการการแพทย์แผนจีนทั้งสิบท่านขึ้นมารับรางวัลบนเวทีครับ!”

ทั้งสิบคนยืนต่อแถวเดินขึ้นเวทีอย่างเป็นระเบียบโดยมีไป๋เยี่ยยืนอยู่ตรงกลาง หยางเฉินเซิงมอบใบประกาศนียบัตรและเหรียญเกียรติยศให้กับผู้เข้าแข่งขันทีละคน

แม้ว่าจะไม่มีรางวัลเป็นเงินสด ทว่าเกียรติยศครั้งนี้ก็ถือเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่อาจซื้อได้ด้วยเงิน หยางเฉินเซิงเดินมาข้างๆ ไป๋เยี่ย ไป๋เยี่ยจึงโค้งตัวลง หยางเฉินเซิงคล้องเหรียญเกียรติยศลงบนคอของเขาพลางส่งยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “สู้ๆ นะหนุ่มน้อย เป็นหมอแล้วก็มารักษาฉันด้วยล่ะ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้าพร้อมกับเบิกตากว้างแล้วตอบกลับไป “ไตคุณลุงแข็งแรงดีมาก ผมพูดจริงนะ!”

หยางเฉินเซิงได้ฟังก็ยิ้มให้อย่างงงๆ แล้วเดินไปมอบรางวัลให้กับคนต่อๆ ไป

จนกระทั่งหกโมงเย็น พิธีมอบรางวัลถึงจบลง ซึ่งหลี่หวายจงก็เพิ่งมาแจ้งว่าทุกคนต้องไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำด้วย

งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ผู้มาร่วมงานล้วนเป็นบุคลากรที่เข้าร่วมการประชุมวันนี้ ซึ่งก็มีแต่หัวหน้าหน่วย หัวหน้าสาขา และประธานกรรมการ อืม แน่นอนว่าพวกเขาเป็นผู้สูงอายุกันทั้งนั้น!

พวกไป๋เยี่ยถูกจัดให้นั่งโต๊ะเดียวกัน เพราะถ้าจัดให้ไปนั่งกับคนอื่นๆ ก็คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่

ระหว่างที่กำลังกินข้าวอยู่นั้น ไป๋เยี่ยสังเกตว่าหูเฟิงอวิ๋นก็มาที่นี่เช่นกัน เธอสวมชุดทางการเดินมาหาทุกคนก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้พวกคุณทำงานหนักมาก ท่านให้อร่อยกันนะคะ เสี่ยวเยี่ย มากับฉันสักครู่สิ แล้วก็ เสี่ยวสวี่ คุณไม่ต้องไปส่งเสี่ยวเยี่ยแล้วนะคะ เรียกรถกลับไปเองนะ พอดีว่าฉันจะใช้รถ”

สวี่จงเหล่ยนั่งนิ่ง เรียกรถกลับไปเอง…เรียกรถกลับไปเอง… “ครับผอ. ไม่เป็นไรครับ”

ไม่เป็นไร…ถึงตอบว่าเป็นก็ไม่ช่วยอะไรหรอก! สวี่จงเหล่ยคิดพลางคีบหมูผัดซอสขึ้นมาอย่างน้อยใจ เขาถอนหายใจ คนเราเปลี่ยนไปตามกาลเวลาจริงๆ…

ไป๋เยี่ยเดินตามหูเฟิงอวิ๋นมาที่ห้องส่วนตัว ทันทีที่เขาเดินเข้าไปก็ต้องชะงักเมื่อพบว่าหยางเฉินเซิงและหลี่หวายจงก็อยู่ที่นี่

ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปทักทายทุกคน ในขณะที่หูเฟิงอวิ๋นลากเก้าอี้ออกมาให้ “มานั่งนี่มาเสี่ยวเยี่ย มานั่งข้างๆ ป้า”

ทุกคนตกใจกับคำว่า ‘ป้า’ พวกเขาไม่คิดเลยว่าจะได้ยินมันจากปากของผอ.หู!

หูเฟิงอวิ๋นดำรงตำแหน่งเป็นทั้งรองผู้อำนวยการสภาประชาชนแห่งมณฑลจิ้นซีและผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซี กว่าผู้หญิงคนนี้จะเดินมาถึงจุดนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย!

ทุกคนในนี้ก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว พวกเขาเข้าใจเจตนาของหูเฟิงอวิ๋นเป็นอย่างดี จึงเข้ามาร่วมพูดคุยทำความรู้จักกับไป๋เยี่ยกัน พร้อมทั้งพูดแนะนำประสบการณ์ตามประสารุ่นพี่เล่าสู่รุ่นน้อง

ซึ่งไป๋เยี่ยเองก็เข้าใจเจตนาของหูเฟิงอวิ๋นเช่นกัน นอกจากความรู้สึกขอบคุณ เขาก็ไม่อยากพูดอะไรไปมากกว่านี้อีกต่อไปแล้ว

ทั้งโต๊ะผลัดกันพูดคุยและหัวเราะ ไป๋เยี่ยไม่ได้กินอะไรมากนัก แต่เขากลับได้รับสิ่งดีๆ มากมายแทน