ตอนที่ 58 พิชิตด่าน

สูตรโกงฉบับเด็กเรียน

ตอนที่ 58 พิชิตด่าน

ตกค่ำ หูเฟิงอวิ๋นก็ขับรถพาไป๋เยี่ยมาส่งที่หอพัก ทีแรกเธอกะจะพาไป๋เยี่ยกลับบ้านไปด้วยซ้ำ ทว่าไป๋เยี่ยกลับปฏิเสธ

หูเฟิงอวิ๋นที่นั่งอยู่บนรถเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย จริงๆ แล้ว แวดวงการศึกษาก็ไม่ได้ใสสะอาดเหมือนกับที่จินตนาการไว้หรอก หนูคงเข้าใจเจตนาของป้าดีว่าทำไมเมื่อเย็นป้าถึงให้หนูเข้าไปทำความรู้จักคนพวกนั้นไว้ ป้าไม่มีลูกชาย เลยมองหนูเป็นหลานชายคนหนึ่ง ต้องสู้ๆ นะ หนูไปได้ไกลแค่ไหน ป้าก็จะตามไปปกป้องหนูถึงตรงนั้นเอง”

ไป๋เยี่ยยืนฟังเงียบๆ เขาไม่รู้ว่าทำไม วันนี้ผู้อำนวยการหูถึงพูดเยอะกว่าปกติ ทว่าไป๋เยี่ยก็รู้ว่าเธอพูดเพราะหวังดี

การสอบครั้งที่แล้วทำให้ไป๋เยี่ยได้พบเจอกับเหตุการณ์ต่างๆ ในแวดวงการศึกษา วันที่สองหลังจากกลับมาจากเมืองหลวง ไป๋เยี่ยได้รับสายจากสำนักสันติบาลว่าพวกเขาจับคนร้ายไม่ได้ เบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายมาจากโปรแกรมปลอมแปลงเบอร์โทรศัพท์ ทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปสอบถามผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ถึงประวัติการโทรเข้าออกของเจ้าของเครื่อง แต่ก็ไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เลย

ไป๋เยี่ยถึงกับหัวเราะให้กับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป บางทีเจ้าหน้าทีก็อาจจะไม่ได้เพิกเฉยต่อคดี แต่เพราะว่ามีหลักฐานจำกัด หรือไม่ก็เป็นเพราะคนร้ายเก่งเรื่องการทำลายหลักฐาน

ไป๋เยี่ยไม่คิดจะเล่าเรื่องนี้ให้พ่อและแม่ฟัง เล่าไปก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำให้พ่อแม่กังวลเปล่าๆ อีกอย่างไป๋เยี่ยเป็นพวกเล่าแค่ข่าวดีแต่ไม่เล่าข่าวร้าย

ไป๋เยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจที่หูเฟิงอวิ๋นคอยปกป้องและแนะนำเขาให้คนอื่นรู้จัก แม้ว่าเขาจะไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป แต่เขาก็รู้สึกประทับใจในตัวคุณป้าคนนี้สุดก้นบึ้งหัวใจเลยทีเดียว

ไป๋เยี่ยนึกถึงคำสอนที่เถ้าแก่ไป๋มักจะพูดให้เขาฟังตลอด ‘เมื่อออกจากบ้านไปจะพบว่า คนดีนั้นหายากแต่คนไม่ดีนั้นยากที่จะเข้าไปพัวพันด้วย’

บางที หูเฟิงอวิ๋นอาจจะเป็นคนดีสำหรับเขาก็ได้

ไป๋เยี่ยส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปแล้วเตรียมลงจากรถ ทว่าหูเฟิงอวิ๋นกับเอ่ยขึ้น “เสี่ยวเยี่ย ช่วยป้ายกของที่ท้ายรถหน่อยสิ”

ไป๋เยี่ยพยักหน้าและเดินไปเปิดฝาท้ายรถออก ในขณะเดียวกันหูเฟิงอวิ๋นเดินเข้ามาหยิบโทรศัพท์เครื่องหนึ่งที่ถูกห่อไว้อย่างประณีต มันคือโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของแอปเปิล แถมยังมีกล่องแม็คบุ๊กที่ยังไม่ได้แกะอีกกล่องหนึ่งด้วย

ไป๋เยี่ยอึ้งก่อนจะรีบปฏิเสธอย่างร้อนรน “ผอ.ครับ! ผมรับไว้ไม่ได้หรอก มันแพงเกินไป! จริงๆ นะครับ!”

หูเฟิงอวิ๋นทำหน้านิ่ง “เรียกว่าไงนะ”

ไป๋เยี่ยชะงักพลางฝืนยิ้ม “คุณป้า ไม่ใช่ นี่มันแพงเกินไปนะครับ!”

หูเฟิงอวิ๋นยังคงถามคำถามเดิม “เรียกว่าไงนะ”

ไป๋เยี่ยถึงกับปวดหัว ให้ตายเถอะ จะให้เรียกว่าแม่หรือไง! “คุณป้า…”

คราวนี้หูเฟิงอวิ๋นถึงหัวเราะออกมา “อืม ต่อไปก็จำไว้ว่าต้องเรียก ‘คุณป้า’ แล้วไหนๆ ก็เรียกป้าแล้ว ก็รับของพวกนี้ไว้เถอะ เป็นสวัสดิการช่วงสิ้นปีจากบริษัทของลุงหนูน่ะ คนในครอบครัวมีโทรศัพท์ใช้กันหมดแล้ว ป้าก็เลยซื้อให้หนูไง ส่วนโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ ป้าตั้งใจเลือกให้หนูทั้งเช้าเลย ยังจะกล้าปฏิเสธอีกเหรอ”

ความรู้สึกมากมายผสมปนเปอยู่ในใจของไป๋เยี่ย เขาจึงได้แต่สูดหายใจเข้าและรับของพวกนั้นไว้ เงินสองหมื่นกว่าหยวนน่ะเขามีอยู่แล้ว…แต่น้ำใจจากหูเฟิงอวิ๋นนั้นไม่อาจประเมินค่าได้เลย

หูเฟิงอวิ๋นพูดต่อ “ในนั้นยังมีของอื่นๆ อีก ไม่ได้ให้หนูนะ แต่ให้พ่อแม่ของหนู มีทั้งเหล้า บุหรี่ อาหารเสริม ฯลฯ มีคนส่งมาให้แต่ป้าไม่กินน่ะ แถมลุงก็ไม่ใช่คนชอบดื่มเหล้าสูบบุหรี่ด้วย เก็บไว้เองก็เสียของ หนูเอากลับบ้านไปให้พ่อแม่เถอะ”

พูดจบเธอก็เปิดกระโปรงท้ายรถออดี้ออกและยกของข้างในนั้นออกมาหมด ทิ้งให้ไป๋เยี่ยยืนช็อกอยู่กับที่

เหล้ามีวันหมดอายุด้วยเหรอ

ไป๋เยี่ยมองเหล้าอู่เหลียงเย่และเหล้าเหมาไถจำนวนสองลัง บุหรี่จงหวาสองสามกล่อง และอาหารเสริมกองใหญ่ด้วยสีหน้าตะลึง

ดูเหมือนน้ำใจนี่จะหนักไปหน่อยนะ

ของพวกนี้มัน…เยอะเกินไป…

หลังจากร่ำลาหูเฟิงอวิ๋นแล้ว ไป๋เยี่ยก็โทรให้พวกพ่างจื่อลงมาช่วยยกของพวกนี้ขึ้นไปบนหอพัก

ทั้งสี่คนเดินขึ้นลงสองรอบก็ยกของขึ้นไปข้างบนจนหมด ถึงแม้ว่าเจ้าพวกนี้จะมองเหล้าเหมาไถด้วยสายตาละโมบ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากชวนกันมาลองดื่มดูสักขวด

ระเบียงหอพักมีข้าวของกองมากมายจนไป๋เยี่ยแอบกังวลว่าเขาจะแบกของพวกนี้กลับบ้านอย่างไรดี

ช่างเถอะ ไป๋เยี่ยถอนหายใจ จัดการเรื่องตอนนี้ก่อนดีกว่า

ไป๋เยี่ยเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับคอมพิวเตอร์ของตนเอง ก่อนจะเปิดโปรแกรม SPSS ขึ้นมาเริ่มทำงาน

เนื่องจากการทดลองนี้มีค่าสถิติที่เกี่ยวข้องเยอะจนเกินไป แถมปัจจัยที่ส่งอิทธิพลก็ซับซ้อนมาก จึงทำให้คนทั่วไปไม่รู้ว่าควรจะเริ่มแก้จากตรงไหนก่อนดี

ไป๋เยี่ยหยิบสมุดขึ้นมาจดค่าสถิติต่างๆ ลงไป จากนั้นจึงเริ่มแบ่งกลุ่มใหม่

กว่าไป๋เยี่ยจะแบ่งกลุ่มค่าสถิติเหล่านั้นใหม่จนเสร็จก็เป็นเวลาตีสองกว่าแล้ว

นี่เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น ยังมีข้อมูลที่ต้องบันทึกลงคอมพิวเตอร์ แล้วนำมาแบ่งประเภท วิเคราะห์ และสร้างแผนภาพอีกกองใหญ่…

ไป๋เยี่ยมึนงงไปหมด ทว่าเขาเองก็อยากรู้ว่าภารกิจต่อไปจะให้เขาทำอะไรอีก ถ้าภารกิจลูกโซ่เป็นเหมือนในเกมล่ะก็ เขาคงจะได้รับอุปกรณ์ขั้นสูงหลายชิ้นแน่!

อีกอย่าง ถ้าหากธีสิสฉบับนี้ได้ตีพิมพ์เร็วๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้รับจดหมายรับเข้าเรียนระหว่างที่ต้องสอบรอบที่สองก็ได้ และอาจจะใช้มันเป็นไม้ตายสำหรับการสอบรอบที่สองได้ด้วย

ไป๋เยี่ยยืดเอวและหมุนคอแก้เมื่อยแล้วจึงลงมือทำงานต่อ!

เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก ไป๋เยี่ยไม่ได้ออกจากหอพักตลอดสองวันที่ผ่านมา มีพ่างจื่อเป็นคนคอยซื้อข้าวกลับมาให้ ถ้าเกิดง่วงก็ขึ้นไปงีบบนเตียงสักพักแล้วก็ตื่นมาทำงานต่อ

การวิเคราะห์สถิติเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดมาก อีกทั้งไป๋เยี่ยยังต้องค้นหาข้อผิดพลาดในงานชิ้นนี้อีกด้วย!

ซึ่งข้อผิดพลาดก็ไม่ได้เล็กเลย!

สรุปข้อผิดพลาดมันอยู่ตรงไหนกันแน่

ไป๋เยี่ยลองกลับข้อมูลดูแล้วเริ่มวิเคราะห์ใหม่ ครั้งแล้วครั้งเล่า…

ถ้าเขาหาข้อผิดพลาดไม่เจอ เขาก็หาข้อสรุปของงานวิจัยชิ้นนี้ไม่ได้ อีกอย่าง ต่อให้หาข้อสรุปได้ แต่ข้อสรุปนั้นก็มีแนวโน้มว่านั่นอาจจะเป็นข้อสรุปที่ผิด

เขาพลิกข้อมูลไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทดลองใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุดการทดลองก็ได้ผล!

เขาได้ข้อสรุปของการทดลองนี้แล้ว!

แต่ข้อผิดพลาดนั้นเกิดขึ้นจากหนูทดลอง มีความแตกต่างระหว่างชนิดของหนูทดลองที่นำมาใช้

ความคลาดเคลื่อนที่เกิดขึ้นในแต่ละรายการไม่สอดคล้องกับกระบวนการสร้างแบบจำลอง และส่งผลให้การทดลองเกิดความผิดพลาดขึ้น ซึ่งข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ นี้เองที่สร้างปัญหาให้กับนักวิจัยมานับไม่ถ้วน

หลังจากที่พบปัญหาแล้ว ทุกอย่างก็สะดวกและรวดเร็วไปหมด

คราวนี้ไป๋เยี่ยวิเคราะห์มันได้ไวมากๆ จนกระทั่งในเช้าวันที่สาม ในที่สุดเขาก็จัดทำวิเคราะห์สถิติชุดนี้ออกมาได้อย่างละเอียด

เมื่อเขาบันทึกการวิเคราะห์เวอร์ชั่นอิเล็กทรอนิกส์เรียบร้อยแล้ว เขาก็จัดการพิมพ์มันออกมาหนึ่งชุด และนำมันไปส่งที่สถาบันวิจัยโรคประสาทและสมอง

ไป๋เยี่ยตื่นเต้นจนไม่กล้าเคาะประตู แต่ถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องเอง เขาพบว่าจางฮั่นหลิงกำลังยืนคุยบางอย่างกับชายชาวต่างชาติหน้าตาหล่อเหลาด้วยภาษาอังกฤษ

ไป๋เยี่ยยิ้มแห้งและกล่าวขอโทษไป

ทว่าจางฮั่นหลิงก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่กลับมองใบหน้ามัวหมอง และผมเผ้ายุ่งเหยิงของไป๋เยี่ยที่แค่ดูก็รู้ว่าเขานั่งทำงานทั้งคืน

จางฮั่นหลิงหันมาทางไป๋เยี่ย “ลำบากนายแล้วไป๋เยี่ย นั่งลงก่อนสิ”

พูดจบจางฮั่นหลิงก็หันไปคุยกับชายผมบลอนด์ต่อ “คริส ผมคิดว่าพวกเราก็ร่วมงานกันมาหลายปีแล้วนะ ผมคงต้องพิจารณาวิธีการร่วมมือระหว่างเราอย่างรอบคอบอีกครั้งหนึ่ง การที่คุณเพิ่มราคาขึ้นมาแบบนี้มันไม่ถูกต้อง!”

ชายชาวต่างชาติยักไหล่พร้อมกับยิ้มให้ “จาง ผมเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่ามันขึ้นอยู่กับทางบริษัท อีกอย่าง ประเด็นนี้ไม่พุ่งเป้ามาที่พวกคุณด้วยซ้ำ รวมถึงเรื่องขึ้นราคานั่นด้วย! ขอโทษแล้วกัน!”

พูดจบชายคนนั้นก็หันหลังเตรียมเดินออกไป เขาหยุดลงที่หน้าบันไดและหันกลับมาพร้อมรอยยิ้ม “ถ้าเปลี่ยนใจก็โทรหาผมแล้วกัน! คุณจางที่รัก การร่วมมือระหว่างเราต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน”

หลังจากที่ชายคนนั้นเดินลงบันไดไป จางฮั่นหลิงก็เดินกลับเข้ามาในห้องด้วยสีหน้านิ่งเรียบราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนจะพึมพำกับตนเอง “ไอ้พวกหน้าเลือด คิดจะขึ้นราคาลูกเดียวเลย!”