บทที่ 38 การตัดสินใจร่วมกัน

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 38 การตัดสินใจร่วมกัน

บทที่ 38 การตัดสินใจร่วมกัน

เมื่อกลับมาถึงหนองน้ำเล็ก กู้หนิงอันก็ถูมือเข้าหากันอย่างตื่นเต้น “พี่สาว ดูเหมือนว่าภูเขาลึกแห่งนี้จะไม่น่ากลัวอย่างที่ชาวบ้านคนอื่นพูดไว้นะขอรับ”

กู้เสี่ยวหวานไม่รู้จะทำอย่างไร เรื่องนี้ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ ครั้งนี้อาจจะเป็นโชคดีของพวกเรา

แต่ครั้งหน้าอาจประสบเรื่องเลวร้ายอย่างที่ชาวบ้านประสบพบเจอก็เป็นได้

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกว่าระมัดระวังไว้คงเป็นการดีกว่า อย่างที่กล่าวเอาไว้การรู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดีจะทำให้มีอายุยืนยาว

ระหว่างทางกลับบ้านยังมีฟืนอยู่เล็กน้อย ทั้งสองจึงเก็บฟืนมาประมาณสิบชั่ง มัดด้วยเชือกป่าน แล้วเก็บกลับบ้านมาเต็มกำลัง

ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูหนาว เทศกาลปีใหม่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ทุ่งนาจึงโล่งเปล่าร้างผู้คน ต่อให้มีคนทำงานนอกบ้าน แต่ก็ล้วนกลับบ้านในตอนกลางวัน กินข้าว พักผ่อน ล้อมวงพูดคุยและไม่ได้ออกมาอีก ดังนั้นระหว่างทางกลับกู้เสี่ยวหวานจึงไม่ได้พบเจอผู้ใด และมุ่งหน้ากลับบ้านอย่างรวดเร็ว

ครอบครัวของกู้เสี่ยวหวานอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ไม่นานกู้เสี่ยวหวานก็เห็นร่างเล็ก ๆ สองร่างยืนอยู่ใต้ชายคาประตูลานบ้านชะเง้อคอมองมา

เป็นกู้หนิงผิงและกู้เสี่ยวอี้ยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน พวกเขามองเส้นทางเดินกลับบ้านด้วยสายตาวิตกกังวล กระทั่งเห็นร่างของพี่ชายและพี่สาวปรากฏตัวขึ้นที่อีกฟากหนึ่งของถนน ความดีใจจึงล้นออกมาจนเก็บไว้ไม่อยู่ พวกเขารีบเปิดประตูลานบ้านอย่างว่องไว ก่อนจะวิ่งตรงไปหากู้เสี่ยวหวานทันที

กู้หนิงผิงวิ่งด้วยความเร็วที่มากกว่า ไม่นานก็ทิ้งกู้เสี่ยวอี้ไว้ด้านหลัง ครั้นเด็กหญิงตัวน้อยเห็นพี่ชายวิ่งด้วยความรวดเร็ว จนตัวเองถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง ก็อดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนอย่างร้อนรน “พี่ชาย วิ่งช้าหน่อย รอเสี่ยวอี้ด้วย!”

ครั้นกู้หนิงผิงได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของผู้เป็นน้องสาว จึงได้เพียงหันกลับมาและวิ่งมาหยุดลงหน้าน้องสาวอีกครั้ง หลังจากนั้นก็จูงมือเสี่ยวอี้เดินไปด้วยกัน

เมื่อหยุดลงหน้าพี่ทั้งสอง เสียงอ่อนหวานก็เปล่งออกมา “พี่สาว พี่ชาย!”

กู้หนิงผิงยื่นมือออกไปช่วยรับตะกร้ามาจากกู้เสี่ยวหวาน หากนางเบี่ยงตัวหลบ พลางเอ่ยขึ้น “ช่วยหนิงอันแบกเถอะ”

กู้หนิงอันส่ายหน้า “ช่วยพี่สาวแบกเถอะ ข้าไม่เหนื่อย”

กู้เสี่ยวหวานทำได้เพียงยอมแพ้ นางยกกระบุงลงด้วยความช่วยเหลือของกู้หนิงอัน รู้สึกว่าไหล่ของตนถูกกดทับลงมาจึงสะบัดแขนด้วยความปวดเมื่อยเหนื่อยล้า จากนั้นจึงอุ้มกู้เสี่ยวอี้ขึ้น หอมแก้มนางหนึ่งที “เสี่ยวอี้กินข้าวหรือยังเอ่ย?”

“กินแล้วเจ้าค่ะ” กู้เสี่ยวอี้ตอบเสียงออดอ้อน

“พวกเรากินข้าวแล้ว” กู้หนิงผิงกลัวว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่วางใจ เขาจึงตอบอย่างรวดเร็ว “เรากินบะหมี่เกอต่าที่เหลือจากตอนเช้า ข้ากับเสี่ยวอี้กินอิ่มแล้ว” กล่าวจบก็มองกู้เสี่ยวอี้ปราดหนึ่ง “พวกเรากินอิ่มแล้วใช่หรือไม่?”

กู้เสี่ยวอี้พยักหน้าหงึกหงัก พลางพูดกับกู้หนิงผิง “อื้อ ข้ากับพี่ชายกินแล้ว ส่วนพี่สาวกับพี่ชายก็คงหิวแล้ว”

หลังจากพูดจบ นางก็หันไปหากู้หนิงอันและพูดด้วยความลำบากใจ

หัวใจของกู้เสี่ยวหวานอุ่นวาบ เอ่ยปลอบใจ “พี่ยังไม่หิว พี่กำลังจะไปหาอะไรกิน วันนี้พี่จับอะไรดี ๆ บางอย่างได้”

ท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ทำให้กู้หนิงผิงนึกสงสัย “พี่สาว พี่จับอะไรมาได้หรือ?”

กู้เสี่ยวหวานคลี่ยิ้มหากแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด กู้หนิงผิงทำได้เพียงหันไปทางกู้หนิงอัน พี่ชายคนโตก็ทำได้เพียงยิ้ม ไม่ย่อมปริปากพูด กู้หนิงผิงจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกท้อแท้ แต่ว่าตอนนี้ใกล้จะถึงบ้านแล้ว เพียงนิดเดียวเขาก็จะได้รับรู้ จึงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข และเร่งฝีเท้าให้เร็วยิ่งขึ้น

เมื่อกลับมาถึงบ้าน กู้หนิงผิงก็โยนฟืนไว้ใต้ชายคา ทั้งสี่เดินเข้าไปในห้องโถง ปิดประตูลงกลอนแน่นหนา เมื่อมองไปยังกระบุงที่แน่นขนัด ทั้งกู้เสี่ยวอี้และกู้หนิงผิงเบิกตากว้างจ้องมองไม่ละสายตา

กู้เสี่ยวหวานจัดการหยิบวัชพืชด้านบนออก เผยให้หัวเล็ก ๆ ที่โผล่ออกมาพร้อมเสียงร้องแหลม

“ไก่…” กู้เสี่ยวอี้เอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

“ไก่ป่านี่!” กู้หนิงผิงร้องขึ้นอย่างตื่นเต้น

กู้เสี่ยวหวานพยักหน้าให้เด็กทั้งสอง หยิบไก่ป่าออกมาจากตะกร้า “เดี๋ยวพี่จะเชือดไก่ ตุ๋นน้ำแกงให้พวกเจ้าดื่ม ไก่ป่าตัวนี้ใหญ่มาก กินได้หลายมื้อเลยทีเดียว”

กู้หนิงผิงทำปากขมุบขมิบ กลืนน้ำลายอย่างตื่นเต้น กู้หนิงอันเองก็เช่นกัน ครั้นได้ยินว่าจะได้ดื่มน้ำแกงไก่ จึงเอ่ยถามได้อย่างแปลกใจ “พี่เสี่ยวหวาน น้ำแกงไก่อร่อยหรือไม่? เสี่ยวอี้ก็อยากดื่ม”

เบ้าตาของกู้เสี่ยวหวานร้อนผ่าว “น้ำแกงไก่หอมกรุ่น กลิ่นหอมมาก เย็นนี้ก็จะได้กินน้ำแกงไก่แล้ว วางใจได้!”

“ว้าว ไก่ตัวนี้ตัวใหญ่มาก หนักหลายชั่งเลยทีเดียว” กู้หนิงผิงลูบขนเป็นมันเงาของไก่ป่านั้นอย่างไม่อาจปิดบังความตื่นเต้นเอาไว้ได้

“อื้อ พี่เสี่ยวหวานจับมันได้ น่าจะหนักประมาณสามชั่ง” กู้หนิงอันมองกู้เสี่ยวหวานด้วยแววตาเปี่ยมศรัทธา ตอนนี้พี่สาวของเขานับวันยิ่งเก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ เริ่มแรกจับกระต่ายได้ ต่อมาก็ยังจับไก่ป่าได้ อีกทั้งยังเก็บโสมได้ด้วย ภายในบ้านยังมีหัวไชเท้าป่าอีกมากมาย พวกเราจะไม่อดตายอีกต่อไปแล้ว

“ไก่ป่าตัวใหญ่ขนาดนี้ เมื่อหน้าร้อนปีนี้ข้าเคยเห็นมันพร้อมกับพี่สือโถว” กู้หนิงผิงกล่าว

กู้เสี่ยวหวานรู้ว่าชื่อพี่สือโถวที่ออกจากปากเขาคือใคร เขาคือจางเสี่ยวจวินลูกชายคนโตของท่านป้าจาง มีชื่อเล่นว่าสือโถว คนชนบทมักชอบตั้งชื่อเล่นธรรมดา ๆ ให้กับลูกของตน เพราะว่าจดจำได้ง่าย

“ครั้งนั้นพี่สือโถวก็จับไก่ป่าตัวใหญ่แบบนี้ได้เหมือนกัน แต่พวกเขาไม่ได้เอาไปกิน ท่านป้าจางบอกว่าไก่นี้สามารถเอาไปขายในเมืองได้ถึงหนึ่งร้อยเหรียญ หากเอานำไปกินก็กินหมดไปเปล่า ๆ หากเอาไปขายยังสามารถซื้อข้าว ซื้อบะหมี่กลับมากินได้อีกนาน” กู้หนิงผิงเล่า

กู้หนิงผิงยังคงจำได้ คราวนั้นพี่สือโถวจับไก่ป่านำกลับบ้าน ท่านป้าจางตัดใจกินมันไม่ลง วันรุ่งขึ้นจึงนำไปขายในเมืองแลกเป็นเงินกลับมามากมาย และซื้อบะหมี่กลับมาบ้าน

กู้หนิงผิงพูดไปพูดมา จู่ ๆ ก็โพล่งออกมาว่า “พี่สาว ถ้าอย่างนั้น…พวกเราอย่ากินไก่เลย เอาไปขายในเมืองเถิด”

กู้หนิงผิงรู้ว่าอาหารป่าในภูเขาหาได้ยากลำบาก ครั้งนี้พี่สาวจับกระต่าย และยังจับไก่ป่าได้ นับได้ว่าโชคดีเหมือนกับพี่สือโถวที่ขึ้นเขาอยู่บ่อยครั้ง แต่จับไก่ป่าได้เพียงแค่ครั้งเดียว

หากไก่ถูกฆ่า เพียงเท่านี้ก็จะสามารถกินได้เพียงไม่กี่มื้อ หากทำเช่นท่านป้าจางอย่างการนำไก่ป่าไปขายก็จะซื้อบะหมี่เกอต่ากลับมาได้ และกินไปได้อีกนาน

กู้เสี่ยวหวานหยิบมีดและชามหนึ่งใบมาจากห้องครัวพอดี ตั้งใจเชือดคอไก่ ครั้นได้ยินคำพูดของกู้หนิงอัน จึงหันไปมองกู้หนิงอันแวบหนึ่ง ก็เห็นเขาก้มหน้างุด ท่าทางลังเล ราวกับกำลังขบคิดเกี่ยวกับความเห็นของกู้หนิงผิง หลังจากนั้นเอ่ยว่า “ใช่แล้ว พี่สาว พวกเราเอาไก่ป่าไปขายเถิด”

………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

เอาไปขายก็เข้าท่านะคะ เป็นการลงทุนให้เงินงอกเงยอย่างหนึ่ง ได้เงินมาแล้วอยากซื้ออะไรกินก็ซื้อได้

ไหหม่า(海馬)