บทที่ 112 ช่วงเวลาแห่งความสงบ PART 2

บรรยากาศภายในหอคอยค่อนข้าวสว่างไสว ช่างผิดกับบรรยากาศที่อึมครึมและมืดมนอย่างพ่อมดลีโออย่างลิบลับ

เมอร์ลินเดาว่าที่เป็นแบบมันเป็นผลมาจากวงแหวนเวทย์ที่พวกเขาเลือกในขณะที่สร้างหอคอย

เบื้องหน้าของเขามีพื้นที่กว้างขวางและมีโต๊ะยาวจัดเรียงไว้มากมาย มีหญิงสาวผู้สง่างามอายุประมาณ 30ปี เธอสวมชุดคลุมสีขาว เธอรวบผมเป็นหางม้าและนั่งอยู่หลังโต๊ะไม้ที่อยู่หน้าสุดของโต๊ะยาว เขาเดาว่าเธอน่าจะเป็นแม่มดนาชา

รูปร่างหน้าตาของเธอค่อนข้างธรรมดา ชุดคลุมสีขาวของเธอค่อนข้างเรียบ ๆ มีเข็มขัดสีฟ้าอ่อนคาดที่รอบเอวของเธอ

เมื่อทุกคนเข้าไปนั่งประจําที่ เธอก็ได้กล่าวออกมาว่า

“หัวข้อหลักในชั้นเรียนของฉันในวันนี้ก็คือคาถาธาตุลมระดับศูนย์ ลมพายุและวิธีสร้างโครงสร้างเวทมนต์ขั้นต้น” แม่มดนาชากล่าวด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เสียงที่สงบและนุ่มนวลของเธอ ทําให้ผู้ฟังรู้สึกผ่อนคลายและพากันเงียบตั้งใจฟังอย่างรวดเร็ว

เมอร์ลินรู้สึกที่งเบา ๆ เขาไม่แปลกใจเลยที่แม่มดนาชาจะสามารถดึงดูดคนจํานวนมากให้มาฟังการสอนได้แบบนี้ ไม่เพียงแค่ฟรีเท่านั้นแต่ด้วยบุคลิกของเธอที่ทําให้ผู้ฟังรู้สึกสบายใจซึ่งอะไรแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่าย ๆ ในดินแดนมนต์ดํา

มันช่างแตกต่างกับพ่อมดลีโออย่างมาก เขาดูรําคาญทุกคนที่เข้าหาเขาและยังมีอารมณ์ไม่ค่อยจะดีด้วย ทําให้เหล่าลูกศิษย์ในหอคอยไม่ค่อยอยากจะไปพบเขา

แม่มดนาชาเริ่มอธิบายเกี่ยวกับคาถาลมพายุ แม้ว่าเขาจะมีเดอะเมทริกซ์คอยช่วยในการวิเคราะห์แต่เขาก็ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องพื้นฐาน

นอกจากนี้ เขายังต้องการคาถาธาตุลมเป็นคาถาต่อไปอีกด้วย

เมอร์ลินได้เปิดใช้งานเดอะเมทริกซ์และเริ่มบันทึกเนหาการสอนของแม่มดนาชา ควา มรู้ในวันนี้มันจะเป็นประโยชน์ในการสร้างโครงสร้างเวทมนต์ของเขาในอนาคต

แล้วอีกการสอนของแม่มดนาชาก็น่าสนใจเช่นเดียวกัน เธอสามารถนําคนฟังให้เข้าสู่เนื้อหาเชิงลึกโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว แม้แต่เมอร์ลินเองก็ลืมเรื่องอื่นไปและจดจ่อกับบทเรียนของแม่มดนาชาอย่างสมบูรณ์

เรื่องการสร้างโครงสร้างเวทมนต์เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนอย่างแท้จริง มันต้องใช้ความรู้พื้นฐานจํานวนมาก นอกจากนี้นักเวทย์แต่ละคนที่ลักษณะที่แตกต่างกันไปตามปัจเจกบุคคล ดังนั้นจึงต้องโครงสร้างเวทมนต์ของตัวเองด้วยตัวเอง

ไม่แปลกใจเลยที่เลอแรนก้าจะไม่ประสบความสําเร็จซักที แม้ว่าเธอจะเกิดในตระกูลนักเวทย์ที่มีความรู้เรื่องเวทมนต์มากมายแต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างโครงสร้างเวทมนต์คาถาระดับหนึ่ง

ถ้าหากคนอย่างเลอแรนก้ายังเป็นขนาดนี้ ไม่ต้องพูดถึงว่าพวกพ่อมดพเนจรจะลําบากขนาดไหน

“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”

ผ่านไป 3ชั่วโมง ในที่สุดชั้นเรียนของแม่มดนาชาก็สิ้นสุดลง เหล่านักเวทย์ได้โค้งคํานับให้เล็กน้อย จากนั้นก็ออกจากหอคอยไป

ส่วนเมอร์ลินได้กลับมาที่ห้องพักของเขาในหอคอยพ่อมดลีโอ เขาได้เปิดเนื้อหาที่เขาบันทึกไว้ออกมา เขาเปิดดูอย่างซ้ําแล้วซ้ําเล่า ในที่สุดเขาก็ยอมแพ้

เนื้อหาของมันซับซ้อนเกินกว่าที่เขาจะรับไหว หากเขาไม่ได้เดอะเมทริกซ์เขาคงจะไม่สามารถสร้างโครงสร้างเวทมนต์ได้อย่างแน่นอน

หลังจากเมอร์ลินก็ได้ใช้เวลาศึกษาตัวอักษรรูน เขาสังเกตเห็นพวกมันทั่วทั้งดินแดนมนต์ดํา ตัวอักษรแต่ละตัวมีความพิเศษเฉพาะตัว หากเขาเข้าใจความหมายของพวกมัน มันจะช่วยเพิ่มพลังให้เขาอย่างมาก

จากนั้นไม่นานเมอร์ลินก็ได้ยอมแพ้ พวกมันซับซ้อนเกินไป ตัวเขาไม่ได้เป็นคนหัวดีอะไร หากไม่ได้เดอะเมทริกซ์ เขาก็คงไม่ได้เป็นพ่อมดด้วยซ้ํา

ด้วยความยากของศาสตร์พ่อมด เขาจึงอุทิศเวลาทั้งหมดไปการทําสมาธิแทน

โดยทั่วไปแล้วพวกนักเวทย์จะมีเวลามากกว่าพวกสามัญชนแต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ไม่เหมือนนักเวทย์คนอื่น ๆ เขาจําเป็นต้องเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งภายใน 3ปี ถ้าเขาเอาเวลาไปใช้กับตรงอื่นมากเกินไป เขาอาจจะเป็นนักเวทย์ระดับหนึ่งไม่ทัน แม้เขาจะมีเดอะเมทริกซ์ก็ตาม

นอกจากนั้นเมอร์ลินไม่คิดจะหยุดอยู่ที่การเป็นนักเวทย์สามธาตุ เขาต้องเป็นนักเวทย์สี่ ห้า หกหรือเจ็ดธาตุ ดังนั้นเขาจึงต้องการพลังจิตมากกว่านักเวทย์สามธาตุทั่วไป

ครึ่งปีต่อมา ในที่สุดเมอร์ลินก็ก้าวออกมาหอคอยอีกครั้ง ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมานี้ เขาเอาเวลาส่วนใหญ่ในการทําสมาธิ

ผลลัพธ์ของมันทําให้เขามีพลังจิตเพิ่มขึ้นมามหาศาล ด้วยพลังจิตขนาดนนี้ทําให้เขาสามารถเสกคาถาลูกไฟได้ 10ครั้ง ทันที

“ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ตอนนี้พลังจิตของฉันสามารถรองรับคาถาระดับหนึ่งได้แล้ว แต่ฉันไม่คิดว่าสร้างโครงสร้างคาถาระดับหนึ่งตอนนี้ เป้าหมายของฉันต้องการเป็นมากกว่าพูดมดสามธาตุทั่วไป”

เมอร์ลินกล่าวออกมาด้วยสีหน้าที่มุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม เขาก้าวออกจากหอคอยพ่อมดลีโอและมุ่งหน้าไปยังหอสมุด