ติดตามผู้แปลได้ที่ Lazy Meow นิยายแปล
ตอนที่ฉินเทียนตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าโลกได้เปลี่ยนไปแล้ว
อย่างน้อยที่สุด เตียงนอนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมากว่า 7 ปีก็เปลี่ยนไป เตียงก่อนหน้านี้ของเขาเป็นเตียงซิมมอน แม้ว่ามันจะเก่าไปบ้าง แต่มันก็ยังคงนุ่มสบาย ในบางครั้งเมื่อเขาออกกำลังกายกับน้องสาว มันก็ยังส่งเสียง ‘เอี๊ยด อ๊าด’ ออกมา ทว่าตอนนี้เขาเพียงรู้สึกถึงความแข็งและเย็นเยียบที่แผ่นหลัง เมื่อนอนอยู่บนเตียงแบบนี้มันทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก
สิ่งที่น่าพิศวงที่สุดก็คืออากาศโดยรอบที่แทบจะทำให้ผู้คนไม่อาจทนทานรับได้ กลิ่นมันเหม็นราวกับเขากำลังนอนในเล้าหมูที่เต็มไปด้วยโคลนตม กระทั่งบ้านของหมาเขายังมีกลิ่นที่ดีว่านี้เลย!
เมื่อเขาเตรียมที่จะลุกขึ้นเพื่อดูว่าตนเองนอนอยู่ที่ไหนกันแน่ เขาก็พลันรู้สึกเจ็บปวดทั่วสารพางค์กาย มันเจ็บปวดเสียจนเขาอดสบถออกมาไม่ได้ “น้องสาวมันเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับบิดาผู้นี้?”
ทันใดนั้นเขาก็พบสิ่งผิดปกติ นั่นก็คือเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่อยู่ ปกติเขามักจะแก้ผ้านอนอยู่เสมอ มองดูสีสันและคุณภาพของชุดที่เขาสวมอยู่แล้ว เขารู้สึกแปลกๆ “ทำไมชุดมันเหมือนชุดคนโบราณจังฟะ?”
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
ขณะที่เขากำลังนอนขบคิดอยู่บนเตียงอยู่นั้น มันก็มีเสียงดังเข้ามาจากทางหน้าต่าง
อู๊ดดด อู๊ดดด อู๊ดดด
“เสียงอะไรฟะ?”
“นั่นมันเสียงหมูไม่ใช่หรอ?”
“อย่าบอกนะว่าเพื่อนบ้านกลายเป็นหมูไปแล้วน่ะ?”
“อะไรวะเนี่ย? อยู่ที่นี่มาก็ตั้งหลายปี ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเพื่อนบ้านเราจะเป็นหมู…..”
“เอ๊ะ หมูหรอ? ไม่ใช่ว่าขายอยู่ที่ตลาดเนื้อตอนเช้ารึไง?”
ฉินเทียนราวกับถูกฟ้าผ่า เขานอนนิ่งบนเตียงไม่ไหวติงขณะเหม่อมองดูขื่อบ้านที่เหนือศีรษะ แสงแดดสาดส่องลงบนใบหน้าของเขา จากรูแตกบนหลังคา ตอนนี้เขาตกตะลึงแล้ว
ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่เชื่อว่าเรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องจริง
เขาเป็นนักศึกษามหาลัย เป็นโอตาคุที่ทุกวันจะง่วนอยู่กับเกม นิยาย อนิเมะและมังงะ เกี่ยวกับเรื่องราวการข้ามภพ ข้ามโลกในนิยายแบบนี้ แม้จะทุบตีเขาให้ตาย เขาก็ไม่เชื่อ เขารู้ว่ามันเป็นเพียงเรื่องราวที่แต่งขึ้น หากว่ามันย้ายไปต่างโลกได้จริง เขาจะเป็นคนแรกที่กระโดดเข้าไปเลย นั่นเพราะว่าเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเอง
เขาเกลียดชีวิตที่เป็นอยู่นี้ กระนั้นเขาก็ไม่อยากออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง ทุกๆวันเขาจะใช้ชีวิตอยู่กับการอัพเลเวลภายในเกม เมื่อวานเขากระทั่งวิ่งเข้าหาบอสที่ป่าเถื่อนดุร้าย แต่เมื่อตอนที่เขาเลเวลอัพนั้นเอง เขากลับรู้สึกแปลกประหลาด ตัวเขานั้นคุ้นคยกับเกมนี้มาอย่างยาวนาน พื้นที่รอบเมืองโดยปกติแล้วจะไม่มีบอสปรากฏออกมา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้คิดอะไรมากและพุ่งทะยานเข้าสู้รบปรบมือกับบอส
มีเรื่องที่น่าขนลุกเกิดขึ้น บอสตัวนั้นเริ่มพูดคุยกับเขา มันกล่าวออกมาว่า “หยุด! อย่าเพิ่งโจมตีข้า ข้ามีบางอย่างจะกล่าว…..”
“แกมีอะไรจะพูดงั้นหรอ? น้องสาวแกสิ ฉันจะหยุดโจมตีก็ต่อเมื่อฉันพอใจ หรือว่าแกจะมอบอุปกรณ์ให้ฉัน?”
ในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นเขาจึงไม่ทันไตร่ตรองให้ดีในเรื่องคอขาดบาดตาย
บอสตัวนั้นไม่มีพลังพอที่จะต่อต้าน ไม่นานโลหิตอขงมันก็สาดกระจายไปทั่วพื้น
“ไปลงนรกซะเถอะ!”
“แล้วเจ้าจะต้องเสียใจ” บอสตัวนั้นจ้องมองฉินเทียนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความขุ่นเคือง การแสดงออกที่เปลี่ยนไปอย่างกระทันหันนั้นทำให้เขารู้สึกกลัวจับใจ
บอสตัวนั้นไม่ได้ดรอปไอเท็มหรือให้ค่าประสบการณ์แต่อย่างใด ฉินเทียนรู้สึกผิดหวังอย่างมาก แต่ในขณะที่เขาเตรียมตัวจะจากไปนั้นเอง ตำแหน่งที่ศพของบอสหายไป ที่นั่นมีคัมภีร์ลวดลายโบราณที่ดูลึกลับคล้ายตราประทับตกอยู่
ฉินเทียนไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเปิดมันออกมาทันที หน้าจอคอมพิวเตอร์ของเขาพลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา หลังจากนั้นเขาก็หมดสติไป……..
ฉินเทียนตะเกียดตะกายลุกขึ้นนั่ง กวาดตามองดูห้องที่ตกแต่งหยาบๆ นอกจากโต๊ะผุพังตัวหนึ่งที่อยู่ตรงมุมห้องแล้ว มันยังมีของเหลวสีเขียวเข้ม มีกลิ่นโชยออกมาจากมัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเป็นการผสมผสานรวมกันระหว่างขี้หมูและฉี่หมู แหวะ เขาก่นด่าสาปแช่งออกมาทันที “เวรเอ๊ย! นี่เป็นที่อยู่ของคนจริงเรอะ?”
มีเสียงดังขึ้น ก๊อง แก๊ง “นายน้อย ท่านฟื้นแล้ว?”
เสียงที่ดังและชัดเจนนั้นบ่งบอกถึงความตื่นเต้นที่มีอย่างปิดไม่มิด
“ใช่”
ฉินเทียนเอ่ยตอบโดยไม่ตั้งใจขณะที่เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดกับอาการปวดหัวตุบตุบ จากนั้นก็พลันสะดุ้งโหยง “นายน้อย? นายน้อยแบบไหนเนี่ย? นายน้อยที่ไหนเขาใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้กันฟะ?”
ย้ายร่างโดยไม่มีเหตุผล กลายเป็นนายน้อยที่ใช้การไม่ได้โดยไม่มีเหตุผล อารมณ์ของฉินเทียนนับว่าไม่ดีอย่างมาก ไม่ดียังไงน่ะหรอ?
ประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเขามันแย่มาก สุขภาพของเขาก็ไม่ดี บ่าวรับใช้ก็ไม่ดี สิ่งที่เขาคิดว่าไม่ดีที่สุด ก็สมองของเขานี่ล่ะ 15 ปีที่ผ่านมา เขามีเพียงความล้มเหลว ไม่มีแฟนสักคน ถ้าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา แล้วแบบไหนถึงจะเรียกว่าปัญหาเล่า? ปัดโธ่!
ตุบ ตุบ ตุบ
เสียงฝีเท้าหนักหน่วงเดินเข้ามาใกล้ประตู
“เจ้าอ้วนมา” ความหงุดหงิดของเขาค่อยๆลดลง เขารู้ว่านี่เป็นเสียงฝีเท้าของใคร นี่เป็นบ่าวที่รับใช้เขามานับสิบปี เจ้าอ้วนที่หนักกว่า 250 จิน เมิ่งเล่ย
หลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่ทราบว่าใครเป็นนายใครเป็นบ่าวกันแน่ ตัวเขายิ่งมายิ่งผอม แต่ไอ้อ้วนนี่ยิ่งมายิ่งอ้วนยิ่งอ้วนยิ่งอ้วน
ถึงกระนั้นเจ้าอ้วนนี่ก็ยังนับได้ว่ามีจิตสำนึก เมื่อเขาถูกตระกูลทอดทิ้ง เจ้าอ้วนนี่ เลือกที่จะไม่ติดตามเขาอีกก็ได้ แต่เจ้าอ้วนก็ยังเป็นฝ่ายขอติดตามรับใช้เขา นี่ทำให้ฉินเทียนรู้สึกตื้นตันใจ
“นายน้อยท่านฟื้นแล้ว ท่านทำข้ากลัวแทบตาย”
แม้ว่าทั่วร่างของเขาจะเต็มไปด้วยชั้นไขมัน กระนั้นเจ้าอ้วนนี่ก็ยังมีร่างกายที่แข็งแรง กระทั่งเขาเองยังตกตะลึง เขาได้แต่แอบสงสัยว่าเจ้าอ้วนไปกินอะไรมาถึงได้แข็งแรงเช่นนี้ ด้วยความสูงที่มากกว่าสองเมตร ท่อนแขนที่ทั้งหนาและกำยำ ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนี้ทำให้เขาราวกับชายผู้แข็งแกร่ง
ทั้งสูงทั้งกำยำ ทว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกฝนขั้นที่สามเท่านั้น นอกเหนือกจากความแข็งแกร่งข้างต้นแล้ว มันก็ไม่อาจหาจุดดีจากเขาได้อีก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นที่สามภายในโลกลมปราณแห่งนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ไร้ความสามารถ กระนั้นเขาก็ยังดีกว่าหากเทียบกับฉินเทียน
ด้วยสภาพสังขารของฉินเทียนในตอนนี้ เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกฝนขั้นแรก นี่กระทั่งยังย่ำแย่กว่าเด็กเจ็ดขวบอีก
ในเมื่อเขาไม่ได้แข็งแกร่ง เช่นนั้นก็ไม่ต้องแปลกใจแล้วว่าเหตุใดเขาถึงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาถูกข่มเหงรังแกอย่างหนัก คนที่อ่อนแอย่อมถูกรังแกได้ง่าย โตมากับการถูกรังแก ก็ใครใช้ให้เขาอ่อนแอเองเล่า?
“โอสวรรค์ ใยท่านจึงมอบร่างที่อ่อนแอปวกเปียกแบบนี้มาให้ ร่างโอตาคุของข้ายังดีกว่าอีก” ฉินเทียนบ่นพึมพำอยู่ในใจ
ไม่มีบิดา ไม่มีมารดา ไม่มีอาจารย์ ไม่มีผู้เลี้ยงดู ตระกูลฉินเลี้ยงดูเขามา 15 ปีก็นับว่าเมตตามากแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเพียงมดตัวน้อยที่ต้องยอมรับในชะตากรรม เป็นเพียงเสี่ยวเอ้อในร้านอาหารฟุหลง
แม้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาก็ยังถูกรังแกอยู่ทุกวี่ทุกวัน เจ็บระบมไปทั้งร่าง แต่เมื่อวานนี้ ‘อันธพาลน้อย’ ของตระกูลฉิน ฉินคุน เพียงเพราะโต๊ะที่เขานั่งยังไม่ได้ทำความสะอาด เจ้านั่นก็ลงมือทุบตีเขาเสียแล้ว หลังจากทุบตีเขาจนหมดสติ เจ้านั่นก็รามือ และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้ฉินเทียนย้ายวิญญาณเข้ามา
เมิ่งเล่ยยืนมองฉินเทียนบ่นพึมพำคนเดียวราวกับคนบ้าอยู่ข้างเตียง เขางึมงำ “หรือเขาจะโง่ขึ้นอีกแล้ว”
“เจ้าสิโง่!” ฉินเทียนอารมณ์ไม่ดีมากอยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะโทษฟ้าโทษดิน เขาต้องหาทางจัดการปัญหานี้ด้วยตนเอง ร่างกายที่อ่อนแอร่างนี้จะเอาตัวรอดอยู่ในโลกที่แข็งแกร่งใบนี้ได้หรือ?
นี่แน่นอนว่ายากเย็นยิ่ง หากแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก นอกจากเผชิญหน้ากับมัน
ความทรงจำของร่างนี้ค่อยๆหลั่งไหลออกมา เจ้าของร่างนี้ชื่อว่า ฉินเทียน เขาเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลฉินซึ่งเป็นตระกูลลำดับสามของเมืองชิงเหอ เนื่องเพราะบิดามารดาเสียชีวิต ผู้คนภายในตระกูลจึงไม่เห็นหัวเขา ตอนที่เขามีอายุได้สิบปี เขาต้องทนทุกข์ทรมาณกับโรคประหลาดที่ทำให้จุดตันเถียนของเขาเสียหายจนไม่อาจกักเก็บพลังปราณได้ เขาถูกตระกูลลืมเลือนก่อนที่จะถูกขับไล่ออกจากตระกูลเมื่อเดือนที่ผ่านมา
ด้วยสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นรอบตัว มันทำให้เขากลายเป็นคนขี้ขลาดและมีปมด้อย นั่นทำให้เขาไม่กล้าตอบโต้เมื่อถูกรังแก ถูกต่อยตีจนระบมไปทั้งตัว
แต่ก็อดชื่นชมความมานะอุตสาหะของฉินเทียนไม่ได้ แม้ว่าจุดตันเถียนจะเสียหาย การฝึกบ่มเพาะก็เท่ากับแส่หาความตาย ชั่วชีวิตนี้เขาไม่อาจฝึกฝนลมปราณ กระนั้นตลอดห้าปีที่ผ่านมา เขาก็ไม่เคยละทิ้งการบ่มเพาะ ในทุกค่ำคืน เขาจะมุ่งหน้าไปฝึกฝนอยู่บนภูเขาโดยลำพัง แต่ไม่ว่าจะบ่มเพาะอย่างไรหรือมากมายเพียงใด เขาก็ยังคงไม่อาจทะลวงผ่านไปขั้นที่สองได้
โดยสรุปแล้วชีวิตของเขานั้นน่าเศร้าอย่างมาก แต่ฉินเทียนเพิ่งเริ่มต้น แล้วแบบนี้เขาจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งหรือมั่งคั่งได้อย่างไร?
เขาจะบ่มเพาะก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ฉินเทียนไม่ทราบว่าจุดตันเทียนเสียหายนั้นหมายความว่าอย่างไร แต่จากความทรงจำของร่างนี้แล้ว แม้ว่าฉินเทียนคนเก่าจะฝึกบ่มเพาะทั้งวันทั้งคืนตลอดห้าปีเขาก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ เขารู้ว่าเริ่มบ่มเพาะตอนนี้มันก็ให้ผลลัพธ์ที่ไม่ต่างไปจากเดิม
“สวรรค์ ส่งเรามาต่างโลกทั้งที อย่างน้อยก็ให้อะไรติดตัวมาบ้างสิ ปัดโธ่”
หลังจากขบคิดอยู่พักหนึ่ง ฉินเทียนก็ยังไม่อาจหาวิธีรวยทางลัดได้ เขาเป็นเพียงโอตาคุคนหนึ่ง แล้วแบบนี้เขาจะสร้างกิจการ หาเงินหาทองได้อย่างไร เขาก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง
หากว่าที่นี่มีเกมออนไลน์ เขาเชื่อว่าเขาจะต้องก่อร่างสร้างตัวขึ้นได้แน่ๆ
ฉินเทียนนั้นช่ำชองเกี่ยวกับเกมอย่างมาก ฆ่ามอนสเตอร์ เพิ่มเลเวล ทำภารกิจ เขาเกิดมาเพื่อเป็นอัจฉริยะในด้านนี้! กระทั่งผู้เล่นอาชีพบางคนก็ยังเทียบเขาไม่ติด
น่าเสียดายที่โลกใบนี้ไม่มีคอมพิวเตอร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเกมออนไลน์
“เอ๊ะ เจ้าฟื้นแล้ว?”
ผู้จัดการเหลาอาหารฟุหลง จางต้าฟู่เดินผ่านประตูเข้ามาเห็นฉินเทียนนั่งอยู่บนเตียง เขาตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะคิดขึ้นในใจ “ถูกทุบตีเช่นนั้นแล้วยังไม่ตายหรือ? เจ้าสารเลวน้อยนี่นับได้ว่ามีพลังชีวิตที่เข้มแข็งจริงๆ”
“อืม!” ฉินเทียนเงยหน้าขึ้นตอบจางต้าฟู่ห้วนๆ
“ฟื้นแล้วจะมานั่งนิ่งทำอะไร? ฟื้นแล้วยังไม่รีบลุกไปทำงานอีก? ยังมีหน้ามาองมาอืม”
จางต้าฟู่คำรามจนน้ำลายกระเซ็นกระซ่านใส่หน้าฉินเทียน
จางต้าฟู่เป็นศิษย์สายนอกของตระกูลฉิน เนื่องจากเขาไม่อาจยกระดับการบ่มเพาะได้อีก ตระกูลฉินจึงส่งเขามาดูแลกิจการเหลาอาหารฟุหลง
ฉินเทียนจ้องมองจางต้าฟู่อย่างอย่างประหลาดใจ ตะโกนเสียงดังแบบนี้คอไม่แตกเอาหรือ?
“เถ้าแก่ นายน้อยของข้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายของเขายังย่ำแย่ ถ้ายังมีงานเหลืออยู่เดี๋ยวข้าไปจัดการให้เอง” เมิ่งเล่ยกล่าวออกมาอย่างสัตย์ซื่อและเถรตรง เขาจ้องตาจางต้าฟู่โดยปราศจากความเกรงกลัว
จางต้าฟู่มองฉินเทียนด้วยความดูถูก เขากล่าวออกมาอย่างเย็นชา “นี่ยังเรียกว่านายน้อยได้อีกหรือ? ตระกูลฉินจะมีนายน้อยที่ใช้การไม่ได้เช่นนี้ได้อย่างไร? ข้าขอแนะนำให้ไปดิ่งเหวที่เขาคุนหลุนเป็นอาหารเลี้ยงพวกสัตว์อสูรเพื่อรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลเสีย”
เทือกเขาคุนหลุนเป็นหนึ่งในสิบสถานที่ที่อันตรายที่สุดในทวีปเทียนหยวน ภายในเทือกเขานั้นเต็มไปด้วยอันตราย เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจ ผู้คนทั่วไปย่อมหลีกเลี่ยงไม่เฉียดกายเข้าใกล้
กระทั่งเหล่าผู้มีฝีมือก็ยังไม่กล้าเข้าไปที่ส่วนลึก ว่ากันว่าลึกเข้าไปในเทือกเขาคุนหลุน ที่นั่นมีสัตว์ปีศาจที่แปลงกายเป็นมนุษย์อาศัยอยู่ ความแข็งแกร่งของมันนั้นไม่อาจประมาณได้
เทือกเขานั้นกินพื้นที่ราว 80 มู่(40 กม.) ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองชิงเหอ บรรพบุรุษของตระกูลฉินได้บุกเบิกเส้นทางสู่เทือกเขา เส้นทางนั้นเป็นถนนเพียงสายเดียวที่นักผจญภัยนับไม่ถ้วนใช้ ด้วยการบุกเบิกนี้เองทำให้ตระกูลฉินพัฒนาจนก้าวขึ้นมาอยู่ลำดับที่สามของเมืองชิงเหอ
เทือกเขาคุนหลุนนั้นเป็นเขตที่อันตราย ทว่ามันก็เต็มไปด้วยขุมสมบัติ หญ้าจิตวิญญาณที่หายาก แก่นของสัตว์ปีศาจ สมบัติที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ใฝ่ฝันครอบครอง ดังนั้นมันจึงดึงดูดนักผจญภัยนับไม่ถ้วนมา แม้จะเข้าไปมากมายแต่ผู้ที่กลับออกมาได้นั้นแทบจะไม่มี
ฉินเทียนเป็นผู้ฝึกตนขั้นแรก หากเขาเดินทางเข้าเขาคุนหลุนก็ไม่ต้องแปลกใจที่เขาจะตายในไม่นาน
“เถ้าแก่ ท่าน….” การแสดงออกของเมิ่งเล่ยเปลี่ยนไป เขาโกรธมาก มีเขาที่เข้าใจฉินเทียนดียิ่งกว่าใคร เขาอุทิศตัวติดตามรับใช้ แม้ว่าจะยากลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกเสียใจ
“ข้ากล่าวอะไรผิดไปงั้นหรือ? ข้าทั้งให้ที่พักเจ้า เสื้อผ้า อาหาร เมื่อฟื้นแล้วก็รีบกลับไปทำงาน หรือไม่งั้นก็ไสหัวออกไปจากร้านข้า ตระกูลฉินจะไม่เลี้ยงพวกไร้ประโยชน์”
‘ไร้ประโยชน์’ จางต้าฟู่กล่าวย้ำ เขาเกลียดฉินเทียนยิ่ง ตั้งแต่วันที่เขาก้าวขึ้นเป็นเถ้าแก่ของร้าน เขาก็ต้องเผชิญปัญหาไม่หยุดหย่อน
เป็นเพราะเดือนนี้ผลประกอบการของเขาขาดทุนย่อยยับ และเมื่อพบเห็นการแสดงออกที่ขี้ขลาดของฉินเทียน เขาจึงใช้ฉินเทียนเป็นที่ระบายอารมณ์
“ตกลง ข้าจะไปทำงาน”
ฉินเทียนข่มความเจ็บปวดลุกขึ้นก้าวออกจากห้อง
“ดูเจ้าขยะนี่สิ ช่างน่าอับอายจริงๆ ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ให้เปลืองข้าวสุกไปทำไม”
จางต้าฟูกล่าวออกมาก่อนจะถ่มน้ำลาย จากนั้นจึงเดินออกไป
เมิ่งเล่ยยืนกำหมัดแน่นอยู่ด้านข้าง เขาขบฟันแน่นจนส่งเสียง ‘กึด’ ออกมา เขาโกรธมาก……
← ตอนก่อน