บทที่ 37 ไล่พี่บุษบาออก

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

มีเสียงตึงดังขึ้น จากนั้นลิฟต์ก็สั่นอย่างรวดเร็ว

วารุณีล้มลงที่ลิฟต์ นัทธีก็ล้มทับตัวเธอ

ทั้งสองคนสบตากัน พลางอึ้งไป

วารุณีมองผู้ชายอย่างเหม่อลอย สมองก็คิดอะไรไม่ออก

นัทธีเองก็ทำอะไรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ไม่ทัน

เขาเห็นใบหน้าของเธอแดงก่ำ และริมฝีปากที่แดงเช่นเดียวกัน แววตาก็อดไม่ได้ที่จะมืดมนลงเล็กน้อย

แต่เพียงไม่นาน นัทธีก็มีสติกลับมา ก่อนจะลุกขึ้นจากตัวของวารุณีอย่างรวดเร็ว แล้วก็จัดแจงเสื้อผ้า พลางพูดเสียงต่ำ “ขอโทษด้วย ที่เสียมารยาทกับคุณ”

“ไม่……ไม่เป็นไร” วารุณีเองก็ยันแขนขึ้นมา ก่อนจะตอบเบาๆ โดยที่ไม่กล้ามองเขา

เธอรู้สึกได้ ว่าตอนนี้ใจของเธอเต้นแรงมาก ใบหน้าเองก็ร้อนขึ้น จนสงบใจลงไม่ได้เลย

นอกจากคืนนั้นเมื่อห้าปีที่แล้ว นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าใกล้ผู้ชายมากขนาดนี้ ครั้งก่อนเขากอดเธอยังไม่ได้ใกล้ขนาดนี้ แต่การเข้าใกล้ขนาดนั้นของเธอเมื่อครู่ เพียงแค่เงยหน้าก็สามารถจูบกับเขาได้แล้ว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ วารุณีก็หันไปเล็กน้อย แล้วมองไปที่ริมฝีปากของนัทธี

ริมฝีปากบางของเขา มันสวยมาก ส่วนสีสันเองก็เบาบาง มองแล้วอยากจะจูบเป็นอย่างมาก

เดี๋ยว เธอกำลังคิดอะไร?

วารุณีอดไม่ได้ที่จะปิดหน้าตัวเอง เพราะเธอทำอะไรไม่ถูกแล้ว

เธอกำลังคิดอะไรกับนัทธีอยู่!

นัทธีเห็นท่าทีที่คุมตัวเองไม่อยู่ของวารุณี ก็ขมวดคิ้ว “คุณเป็นอะไรเหรอ?เจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“เปล่า!” วารุณีรีบตอบ

เธอแค่รู้สึกเขินอาย กับความคิดของตัวเอง

นัทธีไม่ได้ถามต่อ ก่อนจะชายตาลงมามองวารุณี

วารุณีกลัวว่าเขาจะมองออกว่าตัวเองคิดอะไร เลยรีบหันหัวไป พลางกระแอมเบาๆ “คือ……ประธานนัทธี คุณเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”

“เปล่า” นัทธีผลุบตาลง พลางตอบสั้นๆ

“ก็ดีแล้ว” วารุณีโล่งใจ

เธอรู้ ว่าเขาล้มมาด้วย เพราะพยายามจะดึงเธอเอาไว้

ถ้าเกิดเขาเจ็บ เธอคงจะรู้สึกแย่มากเลย

ติ๊ง ลิฟต์หยุดลง

นัทธีเดินนำออกจากลิฟต์ไปก่อน วารุณีตั้งสติ ก่อนจะเดินตามออกไป

เมื่อถึงแผนกออกแบบ นัทธีก็เปิดประตูของห้องทำงานพิชญา

เมื่อพิชญาเห็นเขา ก็ดีใจมาก เลยรีบลุกเดินไปหาเขา “นัทธี ทำไมคุณ……”

ยังไม่ทันพูดจบ พิชญาก็เห็นข้างหลังนัทธีก็คือวารุณี ความดีใจในตอนแรกก็นิ่งไปในทันที

เกิดอะไรขึ้น?

พวกเขาสองคนมาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร?

วารุณีทำเหมือนไม่เห็นความโกรธในแววตาของพิชญา ก่อนจะหันไปหานัทธีพลางพูดขึ้น “ประธานนัทธี ฉันไปเรียกเธอมานะ”

นัทธีพยักหน้า พลางตอบรับเล็กน้อย

วารุณีออกจากห้องทำงานของพิชญา ก่อนจะไปที่ห้องทำงานใหญ่ข้างๆ

“นัทธี ทำไมคุณมาที่นี่ได้ แถมยังมาพร้อมกับเธอด้วย?” พิชญามองวารุณีเดินจากไปด้วยความเย็นชา พลางลองถามนัทธี

นัทธีเดินไปที่หลังโต๊ะทำงานของเธอก่อนจะนั่งลง “วารุณีหาคนที่ขโมยแบบร่างของเธอได้แล้ว ฉันมาที่นี่เพื่อทวงความยุติธรรมให้เธอ”

“อะไรนะ?เธอหาเจอแล้วเหรอ?” เมื่อเป็นแบบนั้น ในใจของพิชญาก็ตึงขึ้นมา สีหน้าก็ตึงเครียดขึ้นมา

จะเป็นไปได้อย่างไร!

เธอจัดการรอบคอบขนาดนั้น วารุณีจะหาได้อย่างไร?

คงไม่ได้โกหกใช่ไหม?

ในตอนนี้เอง ในห้องทำงาน

วารุณีมาหาข้างกายพี่บุษบา พลางเคาะโต๊ะของพี่บุษบา “พี่บุษบา ดีขึ้นหรือยัง?”

พี่บุษบาเงยหน้าขึ้น หลังจากที่เห็นเธอ แววตาก็ไม่ปกติ “วารุณีเองเหรอ ดีขึ้นมาหน่อยแล้ว”

“ก็ดีแล้ว รบกวนพี่บุษบามากับฉันหน่อย ประธานนัทธีหาคุณน่ะ” วารุณียิ้มพลางพูด

พี่บุษบาแววตานิ่งไป “ประธานหาฉันทำไมเหรอ?”

“คุณไปก็รู้เอง” วารุณีพูดไปก็หุบยิ้ม ก่อนจะก้าวเดินจากไป

พี่บุษบามองเงาของเธอ ใจก็เต้นอย่างรุนแรง

แต่จะร้อนรนมากขนาดไหน ก็ทำได้เพียงวางปากกาลง ก่อนจะตามไปด้วยความไม่สบายใจ

เมื่อไปถึงห้องทำงานของพิชญา พอเธอเห็นพี่บุษบา สีหน้าก็เปลี่ยนไป

การเปลี่ยนไปของเธอถูกวารุณีจับได้ วารุณีเบะปาก แต่จากนั้น ก็ทำเหมือนไม่เห็นอะไร เลยถามพิชญา “ผู้จัดการพิชญา ฉันขอยืมคอมพิวเตอร์คุณหน่อยได้ไหม?”

“ให้เธอยืม” พิชญายังไม่ทันตอบ นัทธีก็ตอบตกลงแทนเธอแล้ว

พิชญาไม่ยินยอมแค่ไหน ก็ต้องฝืนยิ้มอยู่ดี ก่อนจะดันคอมพิวเตอร์ไปให้วารุณี

วารุณีขอบคุณ ก่อนจะหยิบไดรฟ์ไปเสียบในคอมพิวเตอร์ จากนั้นก็กวักมือให้พี่บุษบา “พี่บุษบา คุณมาดูกล้องวงจรปิดสองคลิปนี้หน่อย”

เมื่อได้ยินคำว่ากล้องวงจรปิด พี่บุษบาจะยังไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองถูกจับได้แล้ว ขาเลยสั่น ส่วนใบหน้าก็ซีดเซียวขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นแบบนี้ พิชญากลัวว่าเธอจะพูดอะไรออกไป เลยรีบส่งสายตาให้เธอ

ท่าทีของทั้งสองคนนั้นอยู่ในสายตาของวารุณี แต่วารุณีกลับไม่ได้เปิดโปงอะไร ก่อนจะหันหน้าจอคอมพิวเตอร์ไปทางพี่บุษบา แล้วก็เปิดคลิปกล้องวงจรปิดทั้งสองพร้อมๆ กัน

คลิปกล้องวงจรปิดอันแรก เป็นตอนหลังจากที่เธอไปเอายาที่ห้องพยาบาลให้พี่บุษบา พี่บุษบาใช้เวลาที่เธอออกไป แตะต้องคอมพิวเตอร์ของเธอและรูปแบบโครงร่าง เพื่อดูว่ารูปแบบโครงร่างอยู่ตรงไหน และแบบสแกนอยู่ในไฟล์ไหน

ส่วนอันที่สองนั้นเป็นเมื่อวานซืนตอนแรกประมาณสามทุ่ม พี่บุษบามาที่ห้องทำงานคนเดียว แล้วก็เอาผ้าขนหนูเช็ดรอยนิ้วมือที่เหลือเมื่อตอนเช้า จากนั้นก็ใส่ถุงมือเพื่อลบแบบสแกนของเธอ และขโมยรูปแบบโครงร่างของเธอไป

จากนั้นก็หยุดลง ทุกอย่างนั้นมันชัดเจนแล้ว

นัทธีใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ แต่กลับมองไปที่วารุณี “คุณอยากจะจัดการอย่างไร?”

วารุณีหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าเย็นชา “ไล่ออก แล้วก็ประกาศ สิ่งที่เธอทำผิดต่อบริษัทให้ชัดเจน ฉันอยากให้เธอออกไปจากวงการการออกแบบเลย”

เมื่อพูดออกไป พี่บุษบาก็ตกใจเป็นอย่างมาก ก่อนจะนั่งลงกับพื้น ขนาดพิชญายังคิดไม่ถึงเลยว่าวารุณีจะร้ายได้ขนาดนี้

การประกาศความผิดออกไป แถมยังให้ออกจากวงการการออกแบบ มันต่างกับการตัดหนทางทางอาชีพการงานตรงไหนล่ะ?

“คุณวารุณี คุณไม่คิดว่าคุณทำเกินไปเหรอ?พี่บุษบาทำผิดไปจริงๆ แต่แค่ลงโทษก็พอแล้ว ทำไมต้องทำขนาดนี้……”

“ทำขนาดนี้” วารุณีตัดบทของพิชญาอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็มองพี่บุษบาที่เหม่อด้วยความเย็นชา “ฉันว่า ฉันไม่ได้ทำอะไรมากเกินไปหรอก ในฐานะนักออกแบบเสื้อผ้า คงรู้ดีว่าการขโมยกับการลอกเลียนแบบ มันเป็นข้อห้ามที่สำคัญที่สุดของวงการการออกแบบมาก ดังนั้นพี่บุษบา คุณต้องรับผิดชอบกับการกระทำ”

ลอกงั้นเหรอ?

เมื่อได้ยินคำนี้ สีหน้าของพิชญาก็เปลี่ยนไป พลางโกรธในใจเป็นอย่างมาก

อย่าคิดว่าเธอฟังไม่ออก ว่านังแพสยาวารุณีกำลังแอบต่อว่าเธออยู่

“นัทธี คุณดูคุณวารุณีสิ แค่ขโมยงานออกแบบของเธอไปเท่านั้นไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมเธอถึงกับต้องบังคับให้คนอื่นไม่มีทางไปด้วยล่ะ?” พิชญาชี้ไปทางวารุณี พลางพูดด้วยความไม่พอใจ

“ฉันคิดว่าเธอทำถูกแล้วนะ” นัทธีเอามือท้าวหัวเอาไว้ พลางมองวารุณี ด้วยความชื่นชม

เธอจัดการเรื่องต่างๆ ได้อย่างดี ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ ยังไม่มีท่าทีโกรธเคืองจนทนไม่ได้เลย

นอกจากนี้สมองของเธอเองก็ฉลาดมาก สามารถหาคลิปเดิมของกล้องวงจรปิดภายในเวลาอันสั้นได้ แล้วก็สามารถจับได้อย่างถูกต้อง นี่สิถึงเป็นสิ่งที่เขาชื่นชมมากที่สุด

“อะไรนะ? นัทธีคุณบอกว่าเธอทำถูกแล้วงั้นเหรอ?” พิชญาคิดว่าตัวเองฟังผิด เลยมองนัทธีด้วยความไม่อยากจะเชื่อ

นัทธีตอบรับ “ไม่จริงเหรอ?ถ้าเป็นฉัน ฉันเองก็คงทำแบบนี้”

เมื่อเป็นแบบนั้น วารุณีก็ยิ้ม “ขอบคุณคำชมและการสนับสนุนของประธานนัทธีนะ”

อันที่จริง เธอนั้นไม่ได้ถึงกับอยากให้เขาไล่พี่บุษบาออก เพราะถึงอย่างไรพี่บุษบาก็เป็นพนักงานของเขา แต่เธอเป็นเพียงคนนอก

คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะกังวลมากไป เขานั้นเป็นเจ้านายที่แบ่งแยกความผิดชอบชั่วดีได้อย่างชัดเจน

“โอเค งั้นก็เอาแบบนี้แล้วกัน” เมื่อนัทธีพูดจบก็ลุกแล้วเดินจากไป

เขาเดินจากไปไม่นาน ยามทั้งสองคนก็เดินเข้ามาพาตัวพี่บุษบาไป

แต่เมื่อไหล่ชนกัน พี่บุษบาก็พูดเบาๆ กับวารุณี “วารุณี ฉันขอโทษ……”

วารุณีไม่มีท่าทีอะไร อารมณ์ก็นิ่งเป็นอย่างมาก

เธอไม่มีทางให้อภัยพี่บุษบา เพราะความเจ็บปวดนั้นมันเกิดขึ้นมาแล้ว ไม่ใช่ว่าขอโทษก็จะสามารถหายได้

ในห้องทำงานเหลือเพียงวารุณีกับพิชญาสองคน

วารุณีไม่มีท่าทีจะจากไป เธอมองพิชญาเบาๆ “อันที่จริงคือคุณใช่ไหม?”