ตอนที่ 65 โรคทางจิต

ท่าทางของเด็กหนุ่มคนนี้ดูยะโสโอหังอย่างมาก ราวกับว่าตนเองเป็นเจ้าของร้านขายยาแห่งนี้เสียเอง
แต่ในระหว่างนั้น ก็ได้มีหญิงกลางคนผมหยิกเป็นรอนถือกระเป๋าหรูไว้ในมือคนหนึ่งเดินเข้ามา
“ป้าฉี.. มาแล้วเหรอครับ?”
เด็กหนุ่มเปลี่ยนสีหน้าท่าทางในทันที พร้อมกับหันไปยิ้มกว้าง และทักทายด้วยด้วยท่าทางประจบประแจง
“เสี่ยวซู วันนี้ท่านหมอกู่จะเข้ามั๊ยจ๊ะ?” หญิงวัยกลางคนถามขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เข้าครับป้าฉี อีกสิบนาทีก็น่าจะมาถึงแล้ว!” เด็กหนุ่มรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“เหรอจ๊ะ.. แล้วได้เตรียมบัตรนัดไว้ให้ฉันรึเปล่าล่ะ?”
“เตรียมสิครับป้าฉี! ผมเตรียมไว้ให้ตั้งนานแล้ว คิวที่สามนะครับ..” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างกระตือรือร้น
“เธอนี่เป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาด ฉันชอบเธอจริงๆ!”
หญิงวัยกลางคนเอ่ยชมเด็กหนุ่ม พร้อมกับเดินมาจับไม้จับมือ แต่หลินหนานก็ตาไวไม่น้อยทีเดียว เขาสังเกตเห็นว่า ในมือของหญิงวัยกลางคนได้ซ่อนซองสีแดงที่ดูหนามากไว้ซองหนึ่ง
เด็กหนุ่มรีบกำซองสีแดงไว้ทันที พร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ผมยินดีรับใช้ครับ ขอเพียงแค่ป้าฉีพอใจ ผมก็มีความสุขแล้วล่ะครับ!”
คนหนึ่งให้ ส่วนอีกคนก็รับไว้..
ทั้งคู่ต่างก็ไม่มีท่าทีเก้อเขิน ทุกอย่างเป็นธรรมชาติมาก และนั่นบ่งบอกว่าทั้งสองคนทำเช่นนี้มาหลายครั้งหลายคราแล้ว
หลินหนานได้แต่นึกหยันอยู่ในใจ และเวลานี้เขาก็รู้แล้วว่า เหตุใดตนเองจึงได้ถูกขับไล่ออกจากร้านเช่นนี้..
นั่นเพราะเขาไม่ใช่คนมีเงินนั่นเอง!!
และเมื่อหญิงวัยกลางคนเดินเข้าไปในร้าน หลินหนานจึงได้จงใจถามออกไปว่า “ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้าเหมือนกัน ทำไมเธอถึงเข้าไปได้ล่ะ?”
“แล้วมันเรื่องอะไรของนาย? หลีกไปๆ อย่ามายืนเกะกะหน้าร้านแบบนี้!” เด็กหนุ่มร้องตะโกนไล่หลินหนานอย่างหมดความอดทน
“ถ้าผมขอทำนัดตอนนี้ จะได้คิวอีกทีเมื่อไหร่?” หลินหนานยังคงเอ่ยถามด้วยความสุภาพ
“ปีหน้ามั๊ง.. นายมาอีกทีปีหน้าก็แล้วกัน!” เด็กหนุ่มโบกมือไล่พร้อมตอบกลับด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
หลินหนานคร้านที่จะคุยด้วย เขาจึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะพูดจากับเด็กหนุ่มนั่นอีก และเดินไปยืนสังเกตการอยู่ด้านข้างแทน
หลังจากยืนสังเกตการอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็พบเห็นปรากฏการณ์บางอย่าง..
เวลานี้มีผู้คนมากมายที่ยืนต่อรอคิวนั้น แถวยาวออกมาถึงด้านนอก แต่หลายคนกลับไม่มีบัตรนัดล่วงหน้า และใครที่มีซองให้กับเด็กหนุ่มคนนั้น แม้จะไม่มีบัตรคิว เด็กหนุ่มก็จะทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับจัดให้ไปยืนด้านหน้า
แม้ว่าคนอื่นๆที่ยืนต่อแถวก่อนจะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก ราวกับว่านี่คือสิ่งที่ลูกค้าของหอฟู่ซิงแห่งนี้ต้องยอมรับ
แต่สิ่งที่ทำให้หลินหนานสงสัยใคร่รู้อย่างมากก็คือ.. ที่นี่เป็นตลาดค้าสมุนไพร หากมีคนต่อแถวรอมากมายขนาดนี้ เหตุใดผู้คนจึงไม่เดินออกไปหาซื้อสมุนไพรร้านอื่นแทน? แต่กลับยินยอมที่จะรออยู่อย่างนั้น..
“ดูท่าร้านขายยาแห่งนี้จะไม่ธรรมดาแล้ว..”
หลินหนานเริ่มสนอกสนใจมากขึ้น เขายังคงยืนสังเกตการอยู่ห่างๆเช่นเคย จนกระทั่งผ่านไปราวสิบนาที ก็มีชายชราร่างเตี้ยเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับเอามือไขว้หลัง..
ชายชราผู้นี้มีผมสีดอกเลาทั้งศรีษะ ท่าทางกระปรี้กระเปร่า บ่งบอกว่าเป็นคนที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และหากสังเกตจากท่าทางการเดินของเขาแล้ว พอจะคาดเดาได้ว่าเขาคือผู้ที่ผ่านการฝึกฝนกำลังภายในมาบ้าง
เมื่อเห็นชายชราก้าวเดินเข้ามาในร้าน ลูกค้าที่ยืนต่อแถวรออยู่นั้น ก็พากันส่งเสียงร้องทักทายในทันที
“ท่านหมอกู่..”
“สวัสดีครับท่านหมอกู่..”
ชายชราแซ่กู่เพียงแค่ผงกหัวรับรู้ แต่ไม่ได้ตอบกลับไป จากนั้นเด็กหนุ่มคนเดิมก็รีบวิ่งเข้าไปหาชายชรา พร้อมกับทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านหมอกู่มาแล้วเหรอครับ..”
“อืมม.. ซูเล่ย วันนี้มีลูกค้ามารอกี่คนแล้ว?” ท่านหมอกู่เอ่ยถาม
“ตอนนี้มีรออยู่ห้าสิบกว่าคนแล้วครับ” ซูเล่ยตอบกลับทันที
“คงต้องทำตามกฏเดิม ฉันจะรับลูกค้าเพียงแค่ยี่สิบคนแรก ที่เหลือเธอก็ให้พวกเขากลับไปได้..” ท่านหมอกู่บอก
“ครับท่านหมอกู่..”
หลังจากที่ชายชราแซ่กู่เดินจากไปแล้ว ซูเล่ยก็กระแอมเบาๆ ก่อนจะประกาศเสียงดังว่า “วันนี้ท่านหมอกู่จะรับตรวจคนไข้แค่ยี่สิบคนแรกเท่านั้น คนที่เหลือกลับไปก่อน แล้วค่อยมาใหม่ในวันพรุ่งนี้!”
เมื่อได้ยินซูเล่ยประกาศออกมาแบบนั้น ลูกค้าคนอื่นๆนอกเหนือจากยี่สิบคนแรก ต่างก็โวยวายขึ้นทันที
“ผมมารอตั้งหลายวันแล้ว คุณไปบอกท่านหมอกู่ให้ผมหน่อย?”
“นั่นน่ะสิ! ฉันเองก็มาจากเมืองอื่น แล้วก็มารอท่านหมอกู่ตั้งหลายวันแล้ว..”
“แม่ของฉันป่วยหนักมาก ได้โปรดรักษาให้แม่ของฉันด้วย!”
“……”
เมื่อได้ยินลูกค้าโวยวายแบบนั้น ซูเล่ยก็ชักสีหน้าทันที พร้อมกับตะโกนตอบกลับไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“นี่เป็นกฏของหอฟู่ซิง ใครก็ไม่สามารถอยู่เหนือกฏนี้ได้ ถ้าพวกคุณไม่พอใจ ก็เชิญไปร้านอื่นได้..”
จากนั้น เด็กหนุ่มก็เดินกลับเข้าไปในร้านโดยไม่สนใจอะไรอีก หลังจากนั้นก็มีผู้ช่วยในร้านอีกหลายคนมาช่วยกันลูกค้านอกเหนือจากยี่สิบคนแรกออกไปด้านนอก พร้อมกับยืนขวางหน้าประตูร้านไว้ เพื่อไม่ให้สามารถกลับเข้าไปได้อีก
“เฮ้อ.. พวกที่อยู่ด้านหน้ายี่สิบคน ก็ล้วนแล้วแต่ซื้อคิวจากเด็กแซ่ซูนั่น!”
“ผมจะทำยังไงดี.. จะได้รักษามั๊ย? ผมรอท่านหมอกู่มาหลายวันแล้ว!”
“หมอกู่เก่งขนาดนี้ ก็ต้องมีคนไข้เยอะเป็นธรรมดา แม้แต่โรงพยาบาลเอกชน ยังดึงตัวเขาไปเป็นที่ปรึกษา..”
“นี่ฉันคงทนรอไปถึงปีหน้าไม่ได้แน่ เพราะฉันรอมานานมากแล้ว!” หลินหนานบ่นพึมพำกับตัวเอง
หลังจากที่ได้ยินคนไข้คนอื่นพร่ำบ่น ในที่สุด หลินหนานก็ได้รู้แล้วว่าเพราะเหตุใดร้านยาแห่งนี้จึงมีลูกค้ามากมายกว่าร้านอื่นๆ
แท้ที่จริง.. ร้านขายยาแห่งนี้ก็มีแพทย์แผนจีนอยู่ด้วยนี่เอง และดูเหมือนว่าจะเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงและมีฝีมือเก่งกาจเสียด้วย ผู้คนถึงได้มาเข้าคิวรอกันมากมายขนาดนี้ และยังเต็มใจที่จะรออีกด้วย
…..
หลินหนานเดินจากไปอย่างเงียบๆ และกลับมาอีกครั้งพร้อมกับสมุนไพร และของอีกสองสามอย่างในมือ ซึ่งมีทั้งเสื่อ กระดาษขาว หมึก และพู่กัน
หลินหนานจัดการกางกระดาษขาวออก จากนั้นจึงใช้พู่กันที่ซื้อมาจุ่มหมึก พร้อมกับเริ่มตวัดปลายพู่กันเขียนตัวอักษรทีละตัว
หลังจากเขียนจนเสร็จแล้ว เขาก็จัดการนำกระดาษแผ่นนั้นขึ้นไปปิดไว้บนกำแพง จากนั้นจึงนั่งลงบนเสื่้อพร้อมกับสูบบุหรี่เงียบๆ
ในครั้งแรก ไม่มีใครสนใจหลินหนานเลยแม้แต่น้อย เพราะหลินหนานเอาแต่นั่งเงียบ ไม่ร้องตะโกนเรียก แต่กลับนั่งสูบบุหรี่เงียบๆ จึงไม่มีใครให้ความสนใจ
แต่หลายคนที่อยู่หน้าหอฟู่ซิงกลับให้ความสนอกสนใจ บางคนตั้งใจอ่านข้อความบนกระดาษสีขาว ที่ติดไว้บนกำแพงด้านหลังของหลินหนานอย่างตั้งอกตั้งใจใจ
“หัตถ์เทวะซิ่งหลิน – ปรากกฏกายช่วยผู้คนในโลก รักษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!”
หลังจากได้อ่านข้อความบนกระดาษแล้ว บางคนถึงกับหัวเราะออกมาทันที นั่นเพราะเวลานี้หลินหนานไม่เพียงแต่งกายเหมือนคนธรรมดาทั่วไป สีหน้าท่าทางของเขาก็แตกต่างจากปรมาจารย์ซิ่งหลินอย่างมาก ลักษณะท่าทางของเขาดูไม่เหมือนหมอรักษาคนเลยแม้แต่น้อย เขาดูเหมือนกับหมอดูข้างถนนเสียมากกว่า
“หมอนี่เป็นอะไรกัน? ทำไมถึงกล้ามาทำอะไรแบบนี้ที่หน้าหอฟู่ซิง?”
“ดูเหมือนจะเป็นเด็กหนุ่มใจกล้า ถึงได้กล้าเปิดศึกอยู่หน้าร้านของท่านหมอกู่แบบนี้!”
“รักษาฟรีด้วย? แต่จะเชื่อถือได้แค่ไหนน่ะสิ?”
“อย่าไปสนใจเขาดีกว่า!”
หลายคนต่างก็พากันพูดถึงหลินหนาน แต่ก็ไมีมีใครสนใจที่จะเข้าไปรักษากับเขาเลยแม้แต่คนเดียว หลินหนานไม่ตอบโต้ และไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น เขาเอาแต่นั่งสูบบุหรี่นิ่งเงียบ
แต่แล้วในที่สุด ก็มีชายร่างอ้วนในวัยกลางคนผู้หนึ่ง เดินเข้าไปหาหลินหนานอย่างเงียบๆ ชายผู้นั้นยืนอ่านตัวอักษรบนกำแพงซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“หัตถ์เทวะซิ่งหลิน – ปรากกฏกายช่วยผู้คนในโลก รักษาฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย!”
จากนั้นชายร่างอ้วนก็นั่งลง พร้อมกับเอ่ยถามหลินหนานด้วยน้ำเสียงติดตลก “หัตถ์เทวะซิ่งหลินงั้นเหรอ? พ่อหนุ่ม นี่เธอเป็นหมอจริงๆน่ะเหรอ?”
หลินหนานตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “ถ้าคุณเชื่อว่าผมเป็น ผมก็เป็น แต่ถ้าคุณเชื่อว่าผมไม่ได้เป็น ผมก็ไม่เป็น..”
“เธอจะโอ้อวดยังไงก็ได้ แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นหมอจริงๆรึเปล่า?” ชายร่างอ้วนกรอกตาไปมา
“ผมบอกไปแล้วว่า.. อยู่ที่ความเชื่อของคุณ แต่ผมเขียนไว้ชัดเจนว่าไม่คิดค่าใช้จ่าย ถ้าคุณอยากจะลองดู ผมก็จะรักษาให้” หลินหนานตอบกลับด้วยสีหน้านิ่งเรียบเช่นเคย
และคำพูดของเขาก็ดึงดูดความสนใจของชายร่างอ้วนอย่างมาก เขารีบเอ่ยถามหลินหนานด้วยสีหน้ายิ้มๆ ซึ่งบ่งบอกว่าไม่เชื่อหลินหนานเสียมากกว่า เพียงแค่ต้องการที่จะลองของเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น พ่อหนุ่มลองบอกฉันหน่อยว่าฉันกำลังป่วยเป็นโรคอะไร?”
หลินหนานจ้องมองชายวัยกลางคนอย่างพินิจพิจารณา จากนั้นก็ได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าไปมา
“นี่.. เธอรู้เหรอว่าฉันป่วยเป็นโรคอะไร? ถ้ารู้.. ก็รีบพูดออกมา” ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“คุณแค่มีอาการป่วยทางจิต..” หลินหนานตอบกลับไปทันที