ตอนที่ 2-2 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (1)
จีหมิงซิวมุ่งหน้าไปที่หอตำราของจวนอ๋อง เขาใช้เวลาเกือบทั้งคืนค้นหาตำราเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ไม่ผิดจากที่คาดเขาไม่ได้สิ่งใดกลับมาสักอย่างเดียว
ยามฟ้าสางจีหมิงซิวไปหา ‘บิดา’ คนที่สองของตนเองต่อ
หลายวันนี้จีหมิงซิวไม่แวะเข้ามาที่วังเลย ราชาเยี่ยหลัวจึงร้อนใจแทบเป็นบ้า จู่ๆ ได้เห็นหน้าเขา จึงปิดบังรอยยิ้มในดวงตาเอาไว้ไม่อยู่
ทว่าเมื่อจีหมิงซิวถามถึงเรื่องฮองเฮากับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ รอยยิ้มในดวงตาของราชาเยี่ยหลัวก็พลันสลายหายไป
ไม่ใช่เพราะฮองเฮา ฮองเฮา ‘กลับบ้านเดิมไปรับองค์ชายสาม’ เหตุผลนี้สมบูรณ์แบบไม่มีช่องโหว่ให้จับพิรุธ ดังนั้นตอนนี้ราชาเยี่ยหลัวจึงยังไม่สงสัยอันใด
สิ่งที่เขาไม่พอใจคือลัทธิศักดิ์สิทธิ์…
จีหมิงซิวเห็นสีหน้าของเขาก็ทราบแล้วว่าเขารู้มากกว่ามู่อ๋อง
ไม่ผิดจากที่คาด พอจีหมิงซิวตะล่อมถามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ราชาเยี่ยหลัวก็เล่าประวัติศาสตร์อันยากลำบากสมัยหนึ่งออกมาให้ฟังอย่างกระตือรือร้น กล่าวไปแล้วประวัติศาสตร์ช่วงนี้ก็คล้ายคลึงกับเหตุการณ์หลังจากที่ชนเผ่าลึกลับหนีไปอาศัยบนเกาะนิรนามอยู่สองสามส่วน ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนกับตำหนักธิดาเทพในสมัยก่อน มันเป็นเพียงลัทธิขนาดเล็กไร้ชื่อเสียงเรียงนามแห่งหนึ่ง ไม่มีสาวก ทำสิ่งใดก็ต้องเจียมตัว ทว่าเมื่อเผ่าเยี่ยหลัวถูกกลุ่มคนที่ลุกฮือขึ้นก่อกบฏไล่ล่าจนต้องหนีเข้ามาในทะเลทราย ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็หนีตามมาด้วย
หลังจากหลบหนีมา ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดัง
เหตุที่พวกเขามีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเป็นเพราะว่าพวกเขาใช้วิธีการอันใดไม่ทราบควบคุมอาจารย์ไสยเวททั้งหมดให้ทำงานรับใช้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ลัทธิ์ศักดิ์สิทธิ์จึงผงาดขึ้นมาสร้างชื่อ ในช่วงเวลาอันไม่ค่อยจะงดงามนั้น ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เกือบจะควบคุมราชวงศ์เอาไว้ได้
ราชวงศ์ย่อมไม่ยินดีถูกลัทธิศักดิ์สิทธิ์ควบคุม พวกเขาจึงยกกองทัพไปสังหารเอาเลือดชโลมลัทธิศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์ไสยเวททั้งหลายกลับมาอยู่ฝ่ายราชสำนักอีกหน ราชสำนักจึงก่อตั้งตำหนักราชครูให้แก่พวกอาจารย์ไสยเวท
ช่วงเวลาที่ต่อสู้กับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ยาวนาน มันเป็นเวลาเพียงไม่กี่สิบปีเท่านั้น แต่มันเป็นความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดหนหนึ่งบนหน้าประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เยี่ยหลัว ราชวงศ์จึงเผาทำลายตำราทั้งหมดเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้อมูลเล็กน้อยอันไม่สลักสำคัญที่เหลือตกทอดมามีเพียงคำบอกเล่าที่ราชาเยี่ยหลัวรุ่นก่อนบอกกล่าวกับราชาเยี่ยหลัวแต่ละรุ่นก่อนรับตำแหน่งเท่านั้น
ราชาเยี่ยหลัวเข้าใจว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์หายไปหลายร้อยปีแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ขุดคุ้ยต่อไปก็คงไม่มีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อันใดแล้ว
จีหมิงซิวลุกขึ้นขอตัวลา
ก่อนจากไป จู่ๆ ราชาเยี่ยหลัวก็นึกอะไรออกจึงบอกจีหมิงซิวว่าบนตัวของศิษย์ลัทธิศักดิ์สิทธิ์ทุกคนจะมีดอกบัวแดงอยู่หนึ่งดอก
“ดอกบัวแดง…” จีหมิงซิวพึมพำ สุดท้ายการมาหนนี้ก็ไม่เสียเปล่า
หลังกลับจวน จีหมิงซิวมาหาเฉียวเวยที่กำลังอยู่เป็นเพื่อนลูกๆ คัดอักษร
จีหมิงซิวมองเฉียวเวยจากด้านนอกประตู เฉียวเวยเข้าใจความนัยจึงบอกจิ่งอวิ๋นกับวั่งซูว่า “พวกเจ้าเขียนกันไปก่อน แม่ออกไปเดี๋ยวเดียวก็กลับมา”
วั่งซูยิ้มตาหยีบอกว่า “เดี๋ยวพบกันเจ้าค่ะท่านแม่!”
เฉียวเวยยิ้มพลางลูบศีรษะของนาง แล้วก้าวเท้าออกไปจากห้องหนังสือ
วั่งซูมองแผ่นหลังของมารดา จากนั้นแอบๆ ดันกระดาษคัดตัวอักษรของตัวเองไปไว้ข้างมือของพี่ชาย คิดไม่ถึงว่านางยังไม่ทันวางเข้าที่ เสียงเหี้ยมของเฉียวเวยก็ลอยเข้ามา “ห้ามให้พี่ชายเจ้าเขียนให้นะ!”
วั่งซูเบ้ปาก ดึงกระดาษคัดตัวอักษรกลับมาด้วยท่าทางน่าสงสาร ท่านแม่ต้องมีดวงตาอยู่ด้านหลังแน่ๆ เลยเชียว เศร้าใจนัก เศร้าใจเหลือเกิน
สามีภรรยาเดินกลับไปที่เรือนหลัก
จีหมิงซิวเล่าข้อมูลที่ได้มาจากวังหลวงให้เฉียวเวยฟังจบ ก็เอ่ยเสริมว่า “เจ้าไปดูซิว่าบนตัวฟู่เสวี่ยเยียนมีดอกบัวแดงหรือไม่”
เฉียวเวยอึ้งไปเล็กน้อย “ท่านสงสัยว่านางเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ด้วยหรือ”
จีหมิงซิวพยักหน้า “นางเคยทำงานให้ฮองเฮา ฮองเฮาเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ มีโอกาสแปดส่วนที่นางจะเป็นเหมือนกัน”
เฉียวเวยไปตามหาฟู่เสวี่ยเยียนอยางฉับไว ฟู่เสวี่ยนเยียนจับต้นชนปลายไม่ถูก “ข้าไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์อะไรนี่มาก่อน แล้วข้าก็ไม่เคยไปเยือนเมืองอวิ๋นจงที่พวกเจ้าพูดถึงด้วย ส่วนดอกบัวแดงที่เจ้าพูด บนตัวข้าก็ไม่มีจริงๆ ”
เฉียวเวยรู้ดีว่านางไม่ได้โกหก แต่เพื่อความแน่ใจ เฉียวเวยจึงต้องยอมเล่นบทคนร้ายสักครั้ง “ข้ารู้ว่ามีการสักลายด้วยโลหิตนกพิราบชนิดหนึ่งจะทำให้ยามปกติมองไม่เห็นลาย แต่ยามดื่มเหล้าจะทำให้ลายปรากฏชัด คงจะต้อง…ลำบากหลานสาวสักวันแล้ว”
ฟู่เสวี่ยเยียนมองบุตรสาวที่นอนหลับสนิทอยู่แล้วพยักหน้า “ได้”
เฉียวเวยคิดในใจ หลานสาวตัวน้อย เจ้าอภัยให้ป้าเถิดนะ ป้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าอดอาหารจริงๆ รับประกันว่าหลังจากวันนี้ผ่านไป จะคืนอาหารให้เจ้าแน่
ฟู่เสวี่ยเยียนดื่มเหล้าขาวหนึ่งจอกเล็กๆ หลังจากนั้นราวครึ่งเค่อ บนแผ่นหลังของนางก็ปรากฏลวดลายสีแดงหม่นเลือนรางขึ้นมาจริงๆ หนึ่งเค่อหลังจากนั้นสีของลวดลายก็เห็นชัดเจนอย่างสมบูรณ์ กลายเป็นดอกบัวแดงอันงดงามเย้ายวนดอกหนึ่ง
ฟู่เสวี่ยเยียนตกตะลึง
เฉียวเวยจ้องนาง “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่รู้หรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนส่ายศีรษะ “ข้าไม่เคยดื่มเหล้า…เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ข้าเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แต่เหตุใดตัวข้าเองจึงไม่รู้ ข้ามีของสิ่งนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
เฉียวเวยชะงัก แล้วพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น “บางที…เจ้าอาจมีตั้งแต่เกิดมาได้ไม่นาน”
“เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้” ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองเฉียวเวย
เฉียวเวยช่วยจัดเสื้อผ้าให้นางจนเรียบร้อย “ตั้งแต่เกิดมาเจ้าก็เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว”
“ตั้งแต่เกิดเช่นนั้นหรือ” ฟู่เสวี่ยเยียนไม่ใช่คนโง่ นางครุ่นคิดเพียงครู่เดียวก็เข้าใจความหมายที่เฉียวเวยตั้งใจจะบอก “เจ้าหมายความว่า…ตระกูลกู่เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์หรือ”
เฉียวเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่ตระกูลกู่ มารดาของเจ้าต่างหาก”
ฟู่เสวี่ยเยียนนิ่งอึ้ง
เรื่องนี้ไม่ว่าเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็คงยากจะยอมรับ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นมารดาแท้ๆ ของนาง
เฉียวเวยไม่บีบคั้นนาง รอจนกระทั่งนางผ่อนคลายลงแล้ว จึงค่อยๆ กล่าวต่อว่า “เจ้ายังจำเรื่องที่ตระกูลกู่ถูกฆ่าล้างตระกูลได้หรือไม่”
นัยน์ตาของฟู่เสวี่ยเยียนพลันปรากฏแววตาเย็นชาพาดผ่าน “ข้าย่อมจำได้”
เฉียวเวยพูดต่อว่า “หลายปีที่ผ่านมา เจ้า จวนมู่อ๋อง ราชาเยี่ยหลัวล้วนตามหาคนร้ายในสมัยนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาไม่พบสินะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนกำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นแล้วบอกว่า “ข้าจะหาต่อไป”
เฉียวเวยว่าต่อ “เจ้าหาผิดทางจึงกลายเป็นอยากมุ่งทักษิณแต่เดินทางสู่อุดร เจ้าไม่รู้สึกว่ามีเรื่องหนึ่งประหลาดมากหรือ คืนนั้นตระกูลกู่ถูกฆ่าล้างตระกูล มีเพียงมารดาของเจ้าที่หนีรอดออกมาได้สำเร็จ แล้วก็มีเพียงเจ้าที่โชคดีหลบพ้นภัยมาได้ เหตุใดมือสังหารที่ไม่ละเว้นแม้แต่ไก่กับสุนัขกลับปล่อยพวกเจ้าสองแม่ลูกให้หลุดรอดมาได้”
ฟู่เสวี่ยเยียนฉุกคิดได้ทันที นิ้วมือกำแน่นขึ้นทีละนิดๆ “เพราะว่าคนร้ายคือลัทธิศักดิ์สิทธิ์ และมารดาของข้าก็คือคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ตั้งแต่เกิดข้าก็ถูกประทับตราของลัทธิศักดิ์สิทธิ์แล้ว…ถ้าเช่นนั้นพ่อเลี้ยงของข้า…”
เฉียวเวยพยักหน้า “พ่อเลี้ยงของเจ้าก็ไม่ใช่บ่าวไพร่ต่ำต้อยอันใด แต่เขาเป็นศิษย์ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์”
ฟู่เสวี่ยเยียนรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่แล่นวาบจากใต้ฝ่าเท้าขึ้นไปจนถึงกระหม่อม!
เฉียวเวยถอนหายใจเฮือกหนึ่งแล้วบอกว่า “หากมารดาของเจ้าเป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ พ่อเลี้ยงของเจ้าก็เป็นคนของลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเช่นนั้นขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง น้องสาวของเจ้า…ก็มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่จะเป็นเช่นกัน”
…
เที่ยงคืนหิมะลอยละล่องกลางเวหาดั่งขนห่าน พร่างพรมผืนผสุธาตลอดทั้งค่ำคืน จนกระทั่งเช้าตรู่ปิงเอ๋อร์ก้าวออกมาจากห้องของตนเอง เรือนฟางชุ่ยหยวนก็รายล้อมไปด้วยหิมะสีขาวกองหนา นางเรียกหญิงรับใช้กับสาวใช้ที่ทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูมากวาดหิมะที่กองถมในลานเรือนทันที
หลังจากจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว นางจึงมุ่งหน้าไปห้องครัว กำชับรายการอาหารมื้อเช้ากับพ่อครัว หลังจากนั้นจึงหิ้วตะกร้าก้าวออกไปนอกจวนอ๋อง
วันนี้เป็นวันที่ต้องออกไปซื้อหาเข็มด้ายและเครื่องประทินโฉม นางนั่งรถม้าของจวนอ๋องมุ่งหน้าไปยังร้านเครื่องประทินโฉมที่ค่อนข้างคุ้นเคยเพื่อซื้อยาเกล็ดหิมะให้สาวใช้ของทั้งเรือนฟางชุ่ยหยวน หลังจากนั้นนางจึงมุ่งหน้าไปที่ร้านเสื้อผ้า แต่เดิมคิดจะซื้อผ้าคลุมกันลมขนกระต่ายสักตัว แต่ปรากฏว่าสายตากระหวัดไปเห็นรองเท้าหัวพยัคฆ์คู่หนึ่งวางอยู่บนชั้น
ตัวรองเท้าเป็นสีแดงสด ลวดลายประณีตละเอียด นางหยิบจับเล่นครู่หนึ่งก็ใช้เงินส่วนตัวของตัวเองซื้อมา
นางใส่รองเท้าหัวพยัคฆ์ลงไปในตะกร้า จากนั้นใช้ผ้าสีแดงสดผืนหนึ่งคลุมเอาไว้ แล้วหมุนตัวเดินออกจากร้านเสื้อผ้าไป ทว่านางเพิ่งจะก้าวลงบันไดก็ถูกบุรุษหน้าตาฉลาดเฉลียวรูปร่างผอมแกร็นคนหนึ่งขวางทางไว้
ปิงเอ๋อร์ไม่เงยหน้ามองเขา แววตาไหววูบหนึ่งก็ขยับหนึ่งก้าวหลบไปทางซ้าย แต่แล้วคนผู้นั้นก็ขยับตามหนึ่งก้าว พอนางขยับหลบไปทางขวาหนึ่งก้าว คนผู้นั้นก็ขยับตามหนึ่งก้าวอีก
ปิงเอ๋อร์กำหูตะกร้าเอาไว้แน่น
บุรุษผู้นั้นหัวเราะอย่างชั่วร้าย “เพิ่งจะผ่านมาไม่นานเท่าไรก็ลืมบิดาเสียแล้วหรือ”