เล่ม 2 ตอนที่ 3-1 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (2)

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 3-1 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (2)

ร่างกายของปิงเอ๋อร์แข็งทื่อ

บุรุษผู้นั้นยกฝ่ามือใหญ่ที่หยาบกระด้างเพราะฝึกยุทธ์เป็นประจำข้างหนึ่งขึ้นมาจับข้อมือของปิงเอ๋อร์ไว้เบาๆ

ปิงเอ๋อร์กระตุกมือออก

เขายิ้มเย็นชามองนาง

นางเหมือนเพิ่งจะตระหนักได้ถึงความไม่เหมาะสมบางประการ พวงแก้มจึงแดงก่ำ เหลียวซ้ายแลขวาแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่นี่คนมาก ข้าสวมเสื้อผ้าของจวนอ๋องอยู่ เดี๋ยวใครจะจำได้เข้า”

เขาหัวเราะบอกว่า “ข้าก็นึกว่าเจ้ารังเกียจบิดาคนนี้เสียแล้ว”

ปิงเอ๋อร์หลุบสายตาลง มือกำตะกร้าแน่น “เปลี่ยนที่คุยเถิด”

เขาบอกสีหน้าระรื่น “วันนี้ข้าตั้งใจมาหาเจ้าโดยเฉพาะ ข้าจองอาหารอร่อยๆ โต๊ะหนึ่งไว้ที่เหลาสุรา ให้เกียรติไปทานอาหารสักมื้อกับพ่อคนนี้ได้หรือไม่”

เขาเอ่ยวาจาราวกับบิดาผู้อารี ทว่าบนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ไม่ทำให้ใครรู้สึกถึงความอบอุ่นสักนิด ตรงกันข้ามกลับทำให้รู้สึกหนาวยะเยือกจนทิ่มแทงกระดูก

ปิงเอ๋อร์เดินตามเขาไป

ที่นี่เป็นเหลาสุราชั้นสูงแห่งหนึ่ง หากจัดอันดับก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งอันดับสองในเมืองเยี่ยเหลียง อาหารรสชาติอร่อยอย่างไม่ต้องพูดถึง ส่วนราคาก็ชวนให้สะพรึงอย่างยิ่งเช่นกัน

เขาพาปิงเอ๋อร์เข้ามาในห้องส่วนตัวแล้วเดินไปนั่งบนเก้าอี้ข้างโต๊ะกลมอย่างสบายอารมณ์ ปิงเอ๋อร์นั่งตรงข้ามกับเขาด้วยท่าทีนิ่งสงบ

มือขวาของเขาวางลงบนเก้าอี้ด้านข้างพลางมองปิงเอ๋อร์อย่างเกียจคร้าน ก่อนจะคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ไม่ได้พบหน้ากันไม่กี่วันก็โตขึ้นมางดงามขนาดนี้แล้ว เจ้ารูปโฉมคล้ายมารดาของเจ้า หน้าตางดงามจริงๆ”

ปิงเอ๋อร์ไม่พูดจา

เวลานี้เองเสี่ยวเอ้อร์ก็ยกอาหารที่สั่งไว้ล่วงหน้าเข้ามาทีละจานๆ

ปิงเอ๋อร์มองดูอาหารที่แพงที่สุดในเหลาสุรา แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างเงียบๆ

บุรุษผู้นั้นเคาะนิ้วกับโต๊ะ “ไม่คีบอาหารให้บิดาสักหน่อยหรือ”

ปิงเอ๋อร์คีบน่องเป็ดให้เขาข้างหนึ่ง เนื้อแพะหนึ่งชิ้น จากนั้นก็หยิบถ้วยใบน้อยขึ้นมาตักน้ำแกงเครื่องในแพะให้เขาหนึ่งถ้วย เมื่อเห็นเขาไม่ขยับตะเกียบจึงหยิบแผ่นแป้งขึ้นมาม้วนเนื้อแพะหลายชิ้น วางไว้ในจานของเขาเบาๆ

ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มชื่นชมจางๆ “ไม่เสียทีเป็นคนที่จวนอ๋องสั่งสอนมา ความสามารถในการปรนนิบัติผู้อื่นดีกว่ามารดาของเจ้านัก”

ดวงตาของปิงเอ๋อร์ฉายความรู้สึกต่อต้านออกมาจางๆ ทว่ากลับไม่กล้าโต้แย้ง

บุรุษผู้นั้นพึงพอใจปฏิกิริยาของนางอย่างยิ่ง เขาคีบน่องเป็ดในชามของตนไปไว้ในชามของนาง “ข้าอายุมากแล้ว กินของมันเยิ้มเช่นนี้แล้วย่อยไม่ค่อยได้ เจ้ายังเด็ก ร่างกายยังต้องเติบโต กินให้มากหน่อย”

ปิงเอ๋อร์ไม่พูดอันใด นางทานอาหารไปเงียบๆ

บุรุษผู้นั้นเห็นตะกร้าที่นางวางไว้บนเก้าอี้ก็เอื้อมมือมาหยิบตะกร้าไป

ปิงเอ๋อร์ขยับตัวไปคว้า แต่คว้าไว้ไม่ทัน

บุรุษผู้นั้นเปิดผ้าแดงออก เห็นบรรดากระปุกทั้งหลายที่อยู่ด้านในกับรองเท้าหัวพยัคฆ์อันเล็กกระจิ๋วหลิวคู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผู้ใดคลอดลูกหรือ เจ้าหรือพี่สาวของเจ้า”

“เอามาให้ข้า” ปิงเอ๋อร์ฉวยตะกร้าคืนไป

บุรุษผู้นั้นคลี่ยิ้มจ้องนาง “พูดถึงพี่สาวของเจ้า…นางช่างงามประหนึ่งเทพธิดา…หากว่าเอานางมา…”

ปิงเอ๋อร์กระแทกตะกร้าเสียงดัง

บุรุษผู้นั้นชะงัก แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “ข้าเพียงล้อเล่น เจ้าร้อนใจอันใดเล่า”

“ข้ากินอิ่มแล้ว หากไม่มีธุระข้าขอตัวกลับจวนก่อน”

“โธ่ รีบร้อนอันใดเล่า” บุรุษผู้นั้นคว้ามือของปิงเอ๋อร์เอาไว้ หนนี้ออกแรงเล็กน้อย ถึงปิงเอ๋อร์จะยื้อยุดก็ดิ้นไม่หลุด เขาคลี่ยิ้ม “เจ้ากับพี่สาวของเจ้าออกมาจากครรภ์ของมารดาคนเดียวกัน เหตุไฉนนางเกิดมาจึงมีชะตาเป็นนางหงส์ แต่เจ้าเกิดมากลับเป็นเพียงคนต่ำต้อย”

ปิงเอ๋อร์สวนว่า “ข้าต่ำต้อย ไม่ใช่เพราะท่านเป็น ‘บ่าว’ หรอกหรือ”

บุรุษผู้นั้นเงื้อฝ่ามือขึ้นทันควัน!

ปิงเอ๋อร์ยกมือขึ้นบังใบหน้าอย่างหวาดกลัว นางถอยหลังไปหลายก้าวจนสะดุดล้มไปนั่งบนเก้าอี้

บุรุษผู้นั้นสูดลมหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอามือลง เขาคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้าบอกว่า “ไม่พบหน้ากันไม่กี่เดือน รู้จักต่อปากต่อคำเสียแล้ว รับไว้”

เขาล้วงขวดกระเบื้องใบน้อยใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อของตนเอง

ปิงเอ๋อร์รับขวดไปแล้วสีหน้าซีดเผือด “นี่คือสิ่งใด”

เขาตอบว่า “ของดี ช่วยปรับเลือดลม พี่สาวของเจ้าไม่ใช่ว่าเพิ่งคลอดลูกหรอกหรือ ช่วงระหว่างอยู่เดือนให้กินยาชนิดนี้เข้าไปจะกลับมาแข็งแรงได้ง่าย”

ปิงเอ๋อร์ตอบว่า “นางไม่ต้องใช้ นางแข็งแรงดี”

รอยยิ้มชองบุรุษผู้นั้นเย็นชาลงทันควัน เขาจ้องปิงเอ๋อร์ เอ่ยเน้นย้ำทีละคำ “ข้าบอกว่า ให้นางกินลงไป”

ตอนที่ปิงเอ๋อร์กลับมาถึงจวนอ๋อง หิมะที่หยุดตกมาครึ่งวันก็ทยอยโปรยปรายลงมาอีกหน หิมะปีนี้มาเร็วกว่าปีก่อนอยู่เล็กน้อย อีกทั้งยังรุนแรงอย่างยิ่ง นางกางร่ม บนร่มมีหิมะเกาะอยู่กองหนา จังหวะที่เข้ามาในเรือนก็มีสาวใช้ท่าทางร่าเริงคนหนึ่งเดินเข้ามาหา แล้วแย้มยิ้มประจบ “พี่ปิงเอ๋อร์กลับมาแล้ว ข้าช่วยเองๆ!”

กล่าวจบก็ถลันมาจะถือร่มแทนนางพร้อมกับจะรับตะกร้าของนางไปด้วย

นางปล่อยร่มให้ แต่กำตะกร้าไว้ในมือแน่น “ไม่ต้องหรอก ข้าถือเอง เจ้าช่วยข้ากางร่มก็แล้วกัน”

“ได้เลย!” สาวใช้ยิ้มแย้มแจ่มใสไปส่งนางที่ใต้หลังคาทางเดิน

นางก้าวขึ้นบันได ส่วนสาวใช้หุบร่มสะบัดเกล็ดหิมะที่พร่างพรมลงมาบนร่มออก จากนั้นจึงมาส่งนางอย่างนอบน้อม

ปิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่เป็นหัวหน้าสาวใช้ของจวนอ๋องทั้งหมด แต่ยังได้รับความเอ็นดูจากผู้ดูแลปี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งนางยังเป็นน้องสาวของฟู่เสวี่ยเยียน มีความสัมพันธ์ที่ดีกับฟู่เสวี่ยเยียนอย่างยิ่ง ภูมิหลังเช่นนี้ ไม่มีทางที่ปี้เอ๋อรจะไม่กลายเป็นเป้าหมายการประจบของพวกบ่าวรับใช้

บ่าวรับใช้…

ฝีเท้าของปิงเอ๋อร์หยุดชะงักบนพื้นเย็นเฉียบ

เสียงทารกร้องไห้อุแว้ๆ ดังออกมาจากภายในห้อง

ปิงเอ๋อร์ลังเลครู่หนึ่งก็เลี้ยวไปเปิดประตูห้อง

ฟู่เสวี่ยเยียนกำลังเปลี่ยนผ้าอ้อมของบุตรสาว การเคลื่อนไหวของนางเงอะงะเล็กน้อย ทำอยู่นานแล้วก็ยังสวมกางเกงไม่เสร็จเสียที

ปิงเอ๋อร์ก้าวเข้ามาในห้องแล้ววางตะกร้าลง บอกกับนางว่า “ข้าทำเองเจ้าค่ะ”

ฟู่เสวี่ยเยียนปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วส่งทารกให้นาง

ปิงเอ๋อร์สวมเสื้อผ้าให้คนงามตัวน้อยเสร็จอย่างว่องไว คนงามตัวน้อยสบายตัวก็ไม่ร้องไห้แล้ว ปากน้อยๆ สีแดงระเรื่ออ้าปากหาวแล้วนอนหลับไป

ปิงเอ๋อร์วางคนงามตัวน้อยกลับไปในห่อผ้า จากนั้นดึงผ้าห่มมาคลุมให้

ฟู่เสวี่ยเยียนมองตะกร้าที่มีหิมะเกาะอยู่ของปิงเอ๋อร์ แล้วถามขึ้นมาว่า “เจ้าออกไปข้างนอกมาหรือ”

“เจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์เดินมาที่โต๊ะ นางหันหลังให้ฟู่เสวี่ยเยียนแล้วรินชาร้อนถ้วยหนึ่งโดยอาศัยร่างกายบังไว้ จากนั้นหยิบขวดยาขวดนั้นออกมาจากตะกร้า ดึงจุดขวดออก เทยาหนึ่งหยดลงไปในถ้วยอย่างช้าๆ หนดน้ำไร้สีไร้กลิ่น นางคอยดูจนไม่เหลือร่องรอยใดทั้งสิ้น จากนั้นจึงเก็บขวด ยกตะกร้าเดินเข้ามาหา “ตอนนี้ใกล้จะสิ้นปีแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ ข้าจึงไปซื้อเครื่องประทินโฉมจำนวนหนึ่งมาให้พวกนาง แล้วข้าก็ซื้อรองเท้าคู่หนึ่งมาให้เจ้าตัวน้อยด้วยเจ้าค่ะ”

“ข้าดูหน่อยซิ” ฟู่เสวี่ยเยียนเปิดผ้าออก แล้วหยิบรองเท้าหัวพยัคฆ์สีแดงสดใสคู่นั้นออกมา “น่ารักจริง เจ้าช่างใส่ใจนัก”

ปิงเอ๋อร์หลุบตาลง “ข้าเป็นน้าของนาง ซื้อรองเท้าให้คู่เดียวนับเป็นอะไรได้เล่าเจ้าคะ” นางชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะ ยกชาที่เย็นลงพอประมาณแล้วถ้วยนั้นมา “จิบน้ำสักคำนะเจ้าคะ”

ฟู่เสวี่ยเยียนรับถ้วยไป