ตอนที่ 3-2 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (2)
ปิงเอ๋อร์มองนางอย่างกังวล นางยกถ้วยชาขึ้นจรดริมฝีปาก ขณะที่กำลังจะดื่ม จู่ๆ ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “จริงสิ ปิงเอ๋อร์ ข้ามีเรื่องหนึ่งจะถามเจ้า”
ฝ่ามือของปิงเอ๋อร์ชื้นเหงื่อ นางพยายามทำให้ตัวเองสุขุมเข้าไว้ แล้วถามว่า “เรื่องอันใดหรือเจ้าคะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนถามว่า “บิดาของเจ้า…ตายแล้วจริงหรือ”
ปิงเอ๋อร์เลิกคิ้ว ก้มหน้าตอบว่า “ตายแล้วสิเจ้าคะ…เหตุใดจึงถามขึ้นมาเล่า”
ฟู่เสวี่ยนเยียนทำท่าครุ่นคิดแล้วบอกว่า “ยามนั้นความจริงท่านแม่ไม่ได้บอกว่าเขาตายแล้ว เพียงแต่บอกข้าว่าให้ทำเหมือนว่าเขาตายแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยมาตามหาเจ้าที่จวนอ๋อง ข้าจึงคิดว่าเขาตายแล้วจริงๆ”
ปิงเอ๋อร์ตอบเรียบๆ “ถ้าเช่นนั้นท่านก็ถือว่าเขาตายแล้วเถิดเจ้าค่ะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนเหลือบมองนาง “เขาเคยแอบมาหาเจ้าเป็นการส่วนตัวหรือไม่”
ปิงเอ๋อร์กำนิ้วมือแน่นแล้วส่ายหน้า “ไม่เคยเจ้าค่ะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนหันไปมองนางแล้วบอกว่า “ข้ารู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาข้าปฏิบัติต่อเจ้าไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรข้าก็เป็นพี่สาวของเจ้า ก่อนตายมารดาฝากฝังเจ้าไว้กับข้า หากเจ้ามีปัญหาอะไร ข้าก็หวังว่าเจ้าจะบอกข้า”
ปิงเอ๋อร์พึมพำ “ท่านพี่ดีต่อข้ายิ่งนัก”
ฟู่เสวี่ยเยียนเม้มริมฝีปากแล้วถอนหายใจ “เจ้ายังเล็ก มีเรื่องราวมากมายที่แม้แต่ตนเองก็ยังไม่เข้าใจ รอเจ้าเติบใหญ่ขึ้นมาแล้วก็จะเข้าใจเอง”
“เจ้าค่ะ” ปิงเอ๋อร์กำหมัดแน่น เหงื่อเย็นไหลรินจากหน้าผาก
ฟู่เสวี่ยเยียนยกถ้วยชาที่กำลังจะจรดริมฝีปากลงมาอีกหน “เจ้าเป็นอะไรไป มีตรงไหนไม่สบายหรือไม่”
ปิงเอ๋อร์ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าผาก “ไม่มีเจ้าค่ะ เมื่อครู่เดินมากเกินไปจึงร้อนอยู่บ้างเท่านั้น”
ฟู่เสวี่ยเยียนจึงบอกว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถิด”
ปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน นางกำหมัดมองอีกฝ่าย
ถ้วยของฟู่เสวี่ยเยียนจรดลงบนริมฝีปากอย่างเชื่องช้า นางดันมือขึ้นกำลังจะดื่มน้ำชาเข้าไปในปาก ทันใดนั้นปิงเอ๋อร์ก็ปัดถ้วยของนางจนร่วง!
ถ้วยน้ำชาคว่ำลงบนพรมขนแกะ ของเหลวที่เป็นพิษร้ายกัดกร่อนพรมขนแกะจนเป็นรูขนาดใหญ่ในพริบตา
ฟู่เสวี่ยเยียนจ้องมองยาพิษบนพรมด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้วจึงหันไปมองปิงเอ๋อร์
ปิงเอ๋อร์วิ่งออกไปโดยไม่เหลียวหลังกลับมาสักนิด
เฉียวเวยยื่นศีรษะน้อยกลมดิกออกมาจากด้านหลังฉากกันลม “อึ้งอะไรอยู่เล่า ตามไปสิ!”
ฟู่เสวี่ยเยียนไล่ตามไป
ปิงเอ๋อร์กลับไปที่ห้องของตนเองแล้วปิดประตู นางขัดกลอนประตูแล้วฟุบหน้ากับโต๊ะกลม ร้องไห้อย่างเศร้าเสียใจ
ฟู่เสวี่ยเยียนเคาะประตูห้อง “ปิงเอ๋อร์ เปิดประตู”
ปิงเอ๋อร์ไม่เปิด
ฟู่เสวี่ยเยียนซัดฝ่ามือสะบั้นกลอนประตู แล้วผลักประตูเปิดเข้ามาในห้อง
ปิงเอ๋อร์ปาดน้ำตา เบี่ยงตัวหันหลังให้นาง
ฟู่เสวี่ยเยียนพูดอย่างอ่อนโยน “ปิงเอ๋อร์ พวกเรามาคุยกันเถิด”
ปิงเอ๋อร์สูดจมูก ตอบเสียงเย็นชาว่า “ข้ากับท่านไม่มีอะไรให้พูดกัน…ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน…ท่านออกไปเสีย!”
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินมาถึงด้านหลังของนาง “เหตุใดไม่วางยาพิษฆ่าข้าเล่า”
“เหตุใดไม่วางยาพิษฆ่าท่านน่ะหรือ…” ปิงเอ๋อร์แค่นหัวเราะ “ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพราะเหตุใด…ข้าเกลียดชังท่านถึงเพียงนั้น ริษยาท่านถึงเพียงนั้นแท้ๆ…คนพูดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกัน…แต่ท่านเป็นเจ้านายผู้สูงส่ง ส่วนข้าเป็นเพียงสาวใช้ที่ถูกคนอื่นจิกหัวใช้! ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือรองเท้าให้ท่าน! ข้าต้องการสิ่งใดล้วนต้องดิ้นรนคว้ามาด้วยตนเอง! แต่ท่านต้องการสิ่งใดล้วนมีคนมาประเคนให้ทันที! แล้วก็สิ่งของดีๆ มากมายพวกนั้น…ข้าต้องทุ่มเทสมองหาวิธีให้ได้มา แต่ท่านไม่แม้แต่จะชายตาแล!…
…ท่านรู้หรือไม่ยามข้าตรากตรำปักกระเป๋าเงินสามวันสามคืนให้ซื่อจื่อ แต่กลับทำให้ซื่อจื่อชอบใจสู้หนึ่งรอยยิ้มของท่านไม่ได้ ข้าอยากให้ท่านตายมากเพียงใด!…
…เหตุใดทั้งที่เป็นบุตรสาวของท่านแม่เหมือนกัน แต่มีเพียงข้าที่ต้อยต่ำเช่นนี้…
…ข้าฉลาดสู้ท่านไม่ได้หรือ ข้างามสู้ท่านไม่ได้หรือ ท่านมีตรงไหนดีกว่าข้ากันแน่ ตั้งแต่เล็กข้ามีแต่ถูกผู้อื่นรังแก…ส่วนท่านตั้งแต่เล็กมีแต่รังแกผู้อื่น…เพราะอะไรกัน!…
…เป็นเด็กกำพร้าบ้านแตกสาแหรกขาดเหมือนกันแท้ๆ เหตุใดท่านจึงเป็นเจ้านาย ส่วนข้าต้องเป็นบ่าวรับใช้ผู้อื่นตั้งแต่อายุน้อยขนาดนั้น…ท่านพูดกับท่านอ๋องสักประโยคว่าให้ข้าเป็นคุณหนูคนหนึ่งด้วยมันยากนักหรือไร เขาไม่รับปากท่านก็ขอร้องเขาสิ! เขาไม่รับปากอีกท่านก็โมโหสิ! ท่านใช้เล่ห์เหลี่ยมหน่อยยากนักหรือ ข้าเป็นน้องสาวของท่านนะ!…
…ท่านก็แค่ไม่คิดจะทำ! ท่านทนเห็นข้าได้ดีกว่าท่านไม่ได้! ท่านเกลียดพ่อของข้าที่แย่งท่านแม่ของท่านไป! ท่านต้องได้เห็นข้าถูกผู้อื่นรังแกไปรังแกมาเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ท่านถึงจะสาแก่ใจที่ได้แก้แค้นใช่หรือไม่…
…ข้าเกลียดท่าน! กู่ชิงเยียนข้าเกลียดท่าน! ชีวิตนี้คนที่ข้าชิงชังมากที่สุดก็คือท่าน!”
พูดจนถึงท่อนท้ายๆ ปิงเอ๋อร์ก็เริ่มตะเบ็งออกมาสุดเสียง ดวงหน้างามละไมแดงก่ำ น้ำตาทะลักเป็นสายน้ำพุ หน้าอกพองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง ขมับกับตรงลำคอมีเส้นเลือดสีเขียวปูดนูนขึ้นมา
ฟู่เสวี่ยเยียนมองนางอย่างทำอันใดไม่ถูก
นางปิดหน้าร้องไห้ตัวสั่นเทา
แพขนตาของฟู่เสวี่ยเยียนกระพือไหว นางก้าวเข้าไปย่อตัวลงแล้วดึงมือที่นางปิดหน้าอยู่ออก “ข้า…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าทุกข์ทรมานถึงเพียงนี้…”
นางไม่รู้จริงๆ ความสัมพันธ์ระหว่างนางกับปิงเอ๋อร์ก็เป็นเช่นที่ปิงเอ๋อร์ว่า พวกนางจริงๆ แล้วไม่ได้สนิทสนมและรักใคร่กันถึงขนาดนั้น ยามนางหวนนึกว่ามารดาทอดทิ้งนางให้เดียวดายในจวนอ๋อง แต่กลับฟูมฟักเลี้ยงดูน้องสาวด้วยมือตนเองจนเติบใหญ่ นางก็ริษยาปิงเอ๋อร์
นางมีทุกสิ่ง ทว่านางไม่มีมารดาที่เป็นห่วงนางจนวิ่งพล่านไปทั่วทุกสารทิศคิดหาวิธีให้นางมีชีวิตอยู่
ท่านแม่ทอดทิ้งนาง แต่ทิ้งปิงเอ๋อร์ไม่ลง จวบจนกระทั่งยามตายก็ยังบังคับให้นางดีต่อปิงเอ๋อร์
ยามนั้นนางเป็นกาฝากในรังของผู้อื่น มีเพียงฐานะคุณหนูอันกลวงเปล่า แต่ความจริงชีวิตมิได้สวยหรูดังฉากหน้า สมัยที่นางยังไม่เติบใหญ่ ซื่อจื่อยังไม่คิดเหลวไหลกับนาง นางก็มักจะถูกบ่าวรับใช้ยักยอกเงินไปบ่อยๆ
ต่อมาแม้จะมีซื่อจื่อคอยปกป้อง แต่การปกป้องนั้นก็ต้องแลกกับบางสิ่ง ดังนั้นนางจึงไม่เคยคิดจะยอมสละบางสิ่งที่ตัวนางยากจะยอมรับเพื่อน้องสาวที่แย่งชิงมารดาของตนไป
แต่ยามนี้เมื่อนางลองคิดทบทวน หากนางยอมคุกเข่าขอร้องท่านอ๋องหรืออดอาหารข่มขู่ท่านอ๋องจริงๆ ท่านอ๋องจะยอมรับปิงเอ๋อร์เป็นธิดาบุญธรรมหรือไม่
คำตอบคือไม่ ท่านอ๋องไม่มีวันรับบุตรสาวของบ่าวรับใช้คนหนึ่งเป็นลูก เขาไม่มีทางยอมขายหน้าเช่นนั้น
ทว่าฟู่เสวี่ยเยียนไม่แก้ตัวอะไรให้ตัวเอง เพราะแท้จริงแล้วนาง…ทำได้ดีกว่านี้
ฟู่เสวี่ยเยียนยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้นาง “ในเมื่อเกลียดชังข้าถึงเพียงนั้น เหตุใดไม่สังหารข้าเสียเล่า”
ปิงเอ๋อร์ร้องไห้โฮ “ก็ท่านเป็นพี่สาวของข้า…เป็นพี่สาวที่เลี้ยงข้ามาจนโตนี่นา…”