ตอนที่ 4 ความจริงเกี่ยวกับลัทธิศักดิ์สิทธิ์ (3)
ครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น ฟู่เสวี่ยเยียนก็กลับมาที่ห้อง
เฉียวเวยเพิ่งจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้คนงามตัวน้อยเสร็จ พอหันมาเห็นนางเดินเข้ามาก็ถามว่า “เรียบร้อยแล้วหรือ”
ฟู่เสวี่ยเยียนปิดประตูห้องเบาๆ “อืม เพิ่งจะนอนหลับไป”
เฉียวเวยจับคนงามตัวน้อยเข้าไปในห่อผ้า แล้วยัดเสี่ยวไป๋เข้าไปด้วย มีเสี่ยวไป๋คอยให้ความอบอุ่น ร่างกายของนางก็ดีขึ้นมาไม่น้อยแล้ว “ยังดีที่น้องสาวคนนี้ของเจ้าไม่ชั่วร้ายไปถึงกระดูก”
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินเข้ามานั่ง แล้วลูบหน้าผากของบุตรสาว “นางไม่ชั่วร้าย เพียงแต่โกรธแค้นอยู่นิดหน่อย รู้สึกอยุติธรรมอยู่เล็กน้อยก็เท่านั้น”
เฉียวเวยเข้าใจอย่างลึกซึ้ง “ก็ใช่ เด็กที่เติบโตมาเช่นนั้น จะไม่รู้สึกอยุติธรรมสักนิดเลยได้อย่างไรเล่า”
ไม่มีผู้ใดเข้าใจความรู้สึกเช่นนี้ดีกว่าตัวนางอีกแล้ว สมัยที่นางอายุเท่าปิงเอ๋อร์ นางเป็นหนักกว่าปิงเอ๋อร์มาก ปิงเอ๋อร์เพียงนึกเคืองแค้นพี่สาวนิดๆ หน่อยๆ ส่วนนางในตอนนั้นแค้นแม้กระทั่งโลกใบนี้ แน่นอนว่าคนที่แค้นที่สุดก็คือพ่อแม่ของตนเอง
นางไม่เข้าใจว่าในเมื่อหนึ่งตนเองไม่พิการ สองตนเองไม่ปัญญาอ่อน เหตุใดพวกเขาจึงไม่ต้องการนาง เหตุใดจึงทิ้งนางไว้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอันเย็นยะเยือกแห่งนั้น เหตุใดจึงให้นางเติบโตมาอย่างยากลำบากถึงเพียงนั้น
สมัยเข้าโรงเรียนสิ่งที่นางหวาดกลัวที่สุดก็คือการเชิญผู้ปกครอง นางไม่มีผู้ปกครอง แน่นอนว่านางมีคุณแม่อธิการ แต่ท่านไม่ใช่คุณแม่ของนางเพียงคนเดียว ท่านเป็นคุณแม่ของคนอีกมากมาย
นางไม่อยากให้คนอื่นรู้ นางเพียรรักษาเกียรติยศและศักดิ์ศรีจอมปลอมอันน่าสงสารของตนเองอย่างระมัดระวัง นางศึกษาเล่าเรียนอย่างไม่คิดชีวิต นางไม่เคยกล้าทำผิด นางขยันหมั่นเพียรจนสอบเข้าโรงเรียนที่พวกเขาทุกคนสอบไม่ได้ นางพาตนเองออกมาห่างจากโลกใบนั้น
หลังจากเติบใหญ่ เมื่อจิตใจกลายเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางจึงค่อยๆ ปล่อยวาง แต่ปล่อยวางได้ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจ เรื่องบางอย่างไม่หวนคิดถึงมันชั่วชีวิตได้ แต่ไม่มีทางอภัยได้
สมัยเด็กนางก็น่าจะเป็นเด็กน้อยที่ฉลาด น่ารักและรูปงามไม่แพ้จิ่งอวิ๋นกับวั่งซู พ่อแม่แบบไหนกันที่ไม่ต้องการแม้แต่เด็กน้อยที่แสนดีเช่นนี้
“เจ้าเป็นอะไรไป” ฟู่เสวี่ยเยียนถามขัดความคิดของเฉียวเวย
สติของเฉียวเวยหวนคืนเข้าร่าง “คิดอะไรเพลินไปหน่อยน่ะ เมื่อครู่เจ้าพูดว่าอะไรนะ”
ฟู่เสวี่ยเยียนกวาดสายตาขึ้นลงสำรวจนางอยู่รอบหนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างไม่วางใจ “ข้ายังไม่ทันพูดอะไร กำลังรอเจ้าพูดอยู่ เจ้าสบายดีใช่หรือไม่ ข้าเห็นเมื่อครู่เจ้าดูผิดจากปกติเล็กน้อย เจ้ามีเรื่องอะไรในใจหรือไม่”
“ข้าไม่เป็นอะไร” เฉียวเวยกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางตอบด้วยน้ำเสียงปกติอย่างยิ่ง “คนผู้นั้นคงจะมาหาปิงเอ๋อร์อีกแน่ เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร”
ฟู่เสวี่ยเยียนตอบว่า “นิ่งรอดูสถานการณ์ก่อนก็แล้วกัน”
คนงามตัวน้อยในห่อผ้าหิวแล้ว นางตื่นขึ้นมาร้องไห้ อุแว้ๆ!
ฟู่เสวี่ยเยียนเดินไปป้อนนาง เฉียวเวยลุกขึ้นขอตัวกลับ
เฉียวเวยเพิ่งเดินมาถึงประตูก็เจอกับใต้เท้าเจ้าสำนักที่มาหาเพราะได้ข่าวพอดี
หลังจากเหตุการณ์เมื่อหนก่อน ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ถูกจีหมิงซิวจัดการอย่างหนักๆ ไปหนึ่งรอบ ตามด้วยถูกเฉียวเวยซ้อมจนน่วมไปอีกหนึ่งยก ทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้าแทบไม่มีตรงไหนอยู่ในสภาพดี สองวันนี้เขาหลบรักษาแผลเงียบๆ อยู่ในห้องด้านข้าง เมื่อครู่คงจะทนไม่ไหวจริงๆ จึงออกมาเมียงๆ มองๆ คนงามตัวน้อยของตนเอง ไม่คิดว่าจะประจันหน้ากับเฉียวเวยอย่างจัง
สายตาของเขาเหลือบมองเท้าขวาของเฉียวเวยแล้วอึกๆ อักๆ ถามว่า “เจ้า…เจ้าแผลอะไรนั่น…หายหรือยัง”
เฉียวเวยเลิกคิ้ว “อ๋อ ยังกะเผลกอยู่เลย!”
ใต้เท้าเจ้าสำนักมองนางอย่างเศร้าเสียใจแล้วก้มหน้าก้มตาเข้าไปในห้อง
เฉียวเวยหัวเราะพรืด
วันนี้พวกเขาไม่คิดจะขึ้นไปที่เมืองอวิ๋นจง จีหมิงซิวอยู่ห่างจากการบรรลุวิชาฝ่ามือเก้าสุริยันขั้นเจ็ดอีกเพียงก้าวเดียว เขาจึงไปเก็บตัวฝึกฝนที่ห้องลับตั้งแต่เช้า ราชันอสูรกับสือชีพาเด็กน้อยสองคนไปที่สวนดอกไม้ ชางจิวถูกขังอยู่ในห้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเล่นลูกไม้ เฉียวเวยจึงเชิญท่านราชันอสูรสกัดจุดลมปราณทั้งหมดของเขาเอาไว้
จวนอ๋องดูเหมือนจะฟื้นกลับมาสงบดังเช่นวันวาน จนกระทั่งตกค่ำจดหมายลายมือฉบับหนึ่งก็ถูกสาวใช้คนหนึ่งนำมาส่งถึงมือปิงเอ๋อร์
สาวใช้บอกว่า “พี่ปิงเอ๋อร์ เมื่อครู่มีคนผู้หนึ่งให้ข้านำจดหมายฉบับนี้มาส่งให้ท่าน”
“ผู้ใดหรือ” ปิงเอ๋อร์ถาม
“บุรุษผู้หนึ่ง” สาวใช้ตอบ
แววตาของปิงเอ๋อร์ชะงักวูบหนึ่ง
สาวใช้คิดว่านางเข้าใจผิดว่านางคิดไปเองอะไรอยู่ จึงรีบอธิบายบอกว่า “พี่ปิงเอ๋อร์ท่านอย่าเข้าใจผิดนะ ข้า…ข้าจะไม่เดาส่งเดช แล้วข้าก็จะไม่พูดพล่อยๆ ด้วย”
ปิงเอ๋อร์ตอบด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ไม่มีอะไรหรอก คงจะเป็นร้านเครื่องประทินโฉมที่ข้าไปบ่อยๆ ร้านนั้นมาแจ้งข้าว่าสินค้าใหม่มาแล้ว”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” สาวใช้หัวเราะ “มีของดีอะไร พี่ปิงเอ๋อร์ช่วยซื้อให้ข้าสักกล่องก็แล้วกัน กลับไปข้าจะนำเงินมามอบให้ท่าน”
“ได้สิ” ปิงเอ๋อร์ยิ้มตอบ
สาวใช้เดินออกไป
ปิงเอ๋อร์ขัดกลอนประตู นางอ่านจดหมายด้วยแววตาสั่นไหวจบก็โยนกระดาษจดหมายใส่เตาถ่าน เผาจนไม่เหลือซาก นางสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วหยิบผ้าคลุมศีรษะมาสวม ก่อนจะกางร่มกระดาษน้ำมันเดินออกจากจวนอ๋องไปท่ามกลางรัตติกาลและสายลมที่พัดหิมะโปรยปราย
เยื้องจากจวนอ๋องมีตรอกน้อยหลายเส้นที่ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปมา ภายในตรอกเส้นหนึ่งในนั้นมีรถม้าที่จีหมิงซิวใช้เดินทางไปไหนมาไหนจอดอยู่ ด้านข้างรถม้ามีบุรุษสวมผ้าคลุมสีดำผืนใหญ่ยืนอยู่หนึ่งคน
บนร่างเขามีหิมะเกาะอยู่ไม่น้อย เห็นชัดว่ารอคอยมานานแล้ว ใบหน้าธรรมดาไม่โดดเด่นมีสีหน้าหมดความอดทนปรากฏขึ้นมาเลือนราง
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าใด ในที่สุดเด็กสาวคนหนึ่งก็ถือร่มกระดาษน้ำมันเดินออกมาจากม่านหิมะ
เด็กสาวสวมเสื้อบุนวมตัวหนา ศีรษะและใบหน้าถูกปกปิดอยู่ใต้ผ้าคลุมศีรษะผืนใหญ่ ทั้งร่างกายถูกห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังคงมองเห็นเรือนร่างอรชรของนางอยู่เลือนราง
นี่คือเรือนร่างอันอ่อนเยาว์และงดงามร่างหนึ่ง
เด็กสาวเดินมาถึงตรอก
ชายหนุ่มเก็บสีหน้าหมดความอดทนไปในพริบตา เขาหันมาเผยรอยยิ้มมีเลศนัยแล้วพูดว่า “คิดว่าเจ้าจะไม่มาเสียแล้ว อากาศหนาวเช่นนี้ยังต้องให้เจ้าเดินออกมาไกลเช่นนี้ พ่อปวดใจจริงๆ”
ปิงเอ๋อร์กลืนน้ำลาย รักษาระยะห่างจากเขาไม่ให้อยู่ใกล้เกินไปนัก “ท่านมีธุระอะไร”
ชายหนุ่มยิ้มตอบว่า “ไม่มีธุระจะมาหาลูกสาวของข้าไม่ได้หรือ”
ปิงเอ๋อร์แววตาเย็นเยียบ ไม่พูดไม่จา
ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้นางหนึ่งก้าว ปิงเอ๋อร์กำด้ามร่มแน่น สุดท้ายเขาก็เดินมาถึงใต้ร่มของนาง แล้วยิ้มเย็นชาให้นาง “เรื่องที่ให้เจ้าทำ ได้ผลเป็นอย่างไรบ้าง”
ปิงเอ๋อร์หลุบตาลง “ถูกนางจับได้แล้ว”
รอยยิ้มของชายหนุ่มชืดชาทันที “ถูกนางจับได้หมายความว่าอย่างไร”
ปิงเอ๋อร์ตอบว่า “ข้าวางยาพิษนาง แต่นางมองออก”
ชายหนุ่มเสียงเย็นยะเยือกขึ้นมาทันควัน “โกหก! พิษชนิดนั้นแม้แต่เข็มเงินก็ตรวจไม่พบ นางจะมองออกได้อย่างไรกัน”
ปิงเอ๋อร์สูดหายใจลึกๆ นางมองตรงไปที่ดวงตาของเขา แล้วตอบด้วยสีหน้ามั่นใจ “ข้าไม่ได้โกหก นางมองออกจริงๆ ยาของท่านไม่ดีพอหรือเปล่า”
เพียะ!
ฝ่ามือของชายหนุ่มฟาดลงมา
ปิงเอ๋อร์รู้สึกว่าโลกหมุนคว้าง นางกระแทกกับกำแพงแข็งเย็นเฉียบอย่างไม่ทันตั้งตัว หน้าผากกระแทกจนแตกเป็นแผล พริบตาเดียวโลหิตก็ไหลออกมา
ปิงเอ๋อร์ข่มกลั้นความเจ็บปวด เกาะกำแพงลุกขึ้นมาอย่างมึนงง
ชายหนุ่มเดินมาหยุดตรงหน้านางแล้วจับคางของนางไว้ นิ้วโป้งหยาบกระด้างปาดคราบเลือดตรงมุมปากของนางออก แล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าเจ้าเป็นคนของจวนอ๋อง ตบเจ้าเช่นนี้ไม่ได้แล้ว หากคนมาเห็นเข้า เจ้าคงอธิบายไม่สะดวก ไปเถิด ที่นี่ไม่ใช่สถานที่เหมาะจะพูดคุย”
แม่นางน้อยอายุสิบกว่าปีหวาดกลัวจนตัวสั่นระริกท่ามกลางสายลมหนาว ความชิงชังแล่นผ่านดวงตา ทว่าไม่นานก็ถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มเก็บร่มกระดาษน้ำมันที่ร่วงตกพื้นขึ้นมา ก่อนจะกางให้ตัวเองแล้วเดินจากไป
ปิงเอ๋อร์กระชับผ้าคลุมศีรษะ ตัวสั่นเทาเดินตามไป
ทั้งสองคนเดินผ่านตรอก เดินผ่านถนนใหญ่ ไม่นานก็มาถึงเหลาสุราแห่งเมื่อวาน ปิงเอ๋อร์กำถุงเงินที่ว่างเปล่าแล้วบอกว่า “วันนี้ข้าไม่ได้พกเงินมามากขนาดนั้น”
ชายหนุ่มยิ้ม “สบายใจเถิด วันนี้ไม่ต้องให้เจ้าออกเงิน!”
คำพูดนี้ไม่ได้ทำให้สีหน้าของปิงเอ๋อร์ดีขึ้น ตรงกันข้ามนางกลับกอดแขนที่เจ็บเพราะกระแทกกำแพงเอาไว้ รู้สึกว่าร่างกายเย็นเฉียบมากกว่าเดิม
เดินไปได้อีกระยะหนึ่ง ถนนที่คึกคักก็ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง รอบด้านเปลี่ยวขึ้นทุกที
ปิงเอ๋อร์ถามว่า “ที่นี่ห่างจากจวนอ๋องพอแล้ว ท่านมีอะไร…ก็พูดมาได้แล้ว!”
ชายผู้นั้นคลี่ยิ้ม “ไม่รีบร้อน”
ปิงเอ๋อร์ฝืนเดินตามไป ทว่านางเดินช้าลงทุกที
ชายผู้นั้นหันกลับมา “เป็นอะไร เดินไม่ไหวแล้วหรือ”
เขาพูดพลางก้าวพรวดเข้ามาหาปิงเอ๋อร์
ปิงเอ๋อร์ถอยหนีตามสัญชาตญาณ “ข้าเดินไหว!”
ชายหนุ่มหัวเราะ แล้วหันกลับไปนำทางต่อ
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น พวกเขาก็มาถึงเรือนหลังน้อยอันห่างไกลแห่งหนึ่ง
เรือนขนาดไม่ใหญ่ มีลานหน้าบ้านเพียงลานเดียว ห้องเรียงเป็นแถวแม้แต่ห้องท้ายเรือนก็ไม่มี ลานหน้าบ้านปลูกต้นหงเยี่ยสีแดงสดสวยไว้เป็นทิวแถว สีสดประหนึ่งทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยโลหิต
เมื่อปิงเอ๋อร์มาถึงประตูเรือน ฝีเท้าของนางก็หยุดชะงักทันควัน ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะต้องลมหนาวซีดเผือดจนไร้สีเลือดในทันใด!
ชายหนุ่มหันมามองนาง แล้วยิ้มอย่างชั่วร้าย “เหตุใดไม่เข้ามาเล่า จำที่นี่ไม่ได้แล้วหรือ”
ร่างกายของปิงเอ๋อร์สั่นระริก
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาหาปิงเอ๋อร์ช้าๆ
ปิงเอ๋อร์ถอยหลังสองก้าว ทว่าเขาสาวเท้าเข้ามาก้าวเดียวก็จับข้อมือของนางลากกลับมา
ปิงเอ๋อร์อ้าปาก
ชายหนุ่มยิ้มหยัน “เจ้ากล้าร้อง ข้าจะให้คนทั้งจวนอ๋องรู้”
ทั้งร่างของปิงเอ๋อร์แข็งทื่อเหมือนนึกเรื่องน่ากลัวอะไรขึ้นมาได้ ความหวาดกลัวพาดผ่านดวงตา น้ำตาไหลรินลงมาอย่างมิอาจหักห้าม