หลังส่งเสด็จองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุยและเซี่ยโฮวหยินกลับไปแล้ว สนมฉินเดินเล่นในสวนขององค์จักรพรรดิโดยการดูแลจากมาม่า

“มันหนายขึ้นเรื่อยๆ แจ้งห้องเครื่องขององค์จักรพรรดิทําซุปกระดูกเนื้อแกะถวายด้วย เพื่อทําให้ร่างกายของพระองค์อุ่นขึ้น”

สนมฉินลูบไล้กล้วยไม้ที่งดงามด้วยนิ้วเรียวยาวและเรียงสวยของนาง พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลซึ่งทําให้ผู้คนรู้สึกเหมือนต้องสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

มาม่าตอบด้วยรอยยิ้ม “เพค่ะ สนมฉิน พระองค์ทรงมีน้ำพระทัยดีต่อองค์จักรพรรดิด้วยใจจริง”

นางสนมฉินยกริมฝีปากของนาง แต่ไม่ยิ้ม

มาม่ามองไปที่สาวใช้ที่เดินอยู่ด้านหลังพวกเขา และสาวใช้ก็ถอยห่างจากทั้งสองอย่างรู้งาน

“พระสนมเพค่ะ ทําไมพระองค์ไม่หยุดองค์หญิงแปด? องค์จักรพรรดิดูเหมือนจะไม่พอพระทัยกับการแข่งขันนี้ว”

“ตั้งแต่องค์จักรพรรดิเริ่มประชวร พระองค์อนุญาตให้รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินดูแลพระวรกายของพระองค์เพียงคนเดียว จากทั่วทั้งแคว้นฉ่มีเพียงหมอเฉินและขันที่อีเท่านั้น ที่รู้เรื่องสุขภาพของพระองค์ ข้าเสียใจมากที่เพิกเฉยต่ออาการประชวรของพระองค์!”

เมื่อได้ยินคําพูดของนาง มาม่าก็นิ่งเงียบ บิดาของสนมฉินเป็นเสนาบดีฝ่ายขุนนางและองค์ชายสองมีความสามารถด้านนี้และด้านการทหารก็โดดเด่นในบรรดาองค์ชายทั้งหมด เขาจงมีข้อได้เปรียบอย่างมากในการเข้าชิงตําแหน่งองค์ชายรัชทายาท

หนึ่งในคู่แข่งที่ทรงพลังของเขาคือองค์ชายใหญ่ที่ได้รับการเลี้ยงดูจากพระอัครมเหสี แม้ว่ามารดาผู้ให้กําเนิดของเขาไม่ได้มีฐานะสูงส่ง แต่เขาก็มีบรรดาศักดิ์เป็นถึงองค์ชายใหญ่ที่เกิดจากองค์จักรพรรดิ นอกจากนี้องค์ชายใหญ่ยังมีความสุขุม ผ่านโลกมามาก เขาจึงเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขององค์ชายสอง

อย่างไรก็ตาม ความกังวลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสนมฉินไม่ใช่เขา แต่เป็นราชาแห่งจินที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลฝั่งมารดาของเขา แต่เป็นเจ้าของพลังอันยิ่งใหญ่!

ราชาแห่งจินมีอํานาจทางทหารเป็นค่ายขนาดใหญ่อยู่ข้างนอกเพื่อปกป้องหยานเซี่ย และยังทําหน้าที่เป็นผู้บัญชาการสูงสุดขององค์รักษ์ในจักรวรรดิ ดังนั้น เขาจึงเป็นผู้ได้เปรียบมากกว่าองค์ชายใหญ่และองค์ชายสองมาก!

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สนมฉินต้องได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

ตัวแปรที่สําคัญที่สุดคือสุขภาพขององค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย.

“รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินและขันที่อีต่างก็เป็นผู้รับใช้ที่เชื่อถือได้ขององค์จักรพรรดิเพค่ะ พวกเขาจะไม่มีวันเปิดเผยอาการประชวรของพระองค์ หม่อมฉันจึงหาวิธีอื่นได้เท่านั้น ?

หากซูมู่เก๋อชนะการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ นางจะหนทางที่จะให้ซูมู่เก้อรักษาองค์จักรพรรดิ!

“สําหรับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ อะไรคือโอกาสความเป็นไปได้ของเจ้า?”

ไม่นานก่อนที่ซูหลุนจะได้ยินเกี่ยวกับการแข่งขันทางการแพทย์ระหว่างซูมู่เก๋อและหมอฝึกหัดของสํานักหมอหลวงในความดูแลของหมอเฉิน เมื่อทราบข่าวเขาแทบรอไม่ไหวที่จะกลับมาที่คฤหาสน์ซูและถามซูมู่เก๋ออย่างละเอียด

ซูมู่เก๋อไม่กังวลกับการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ เมื่อพิจารณาจากการรักษาของหมอเฉินต่อองค์จักรพรรดิแล้ว นางมีโอกาสที่จะเอาชนะหมอเฉินได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับเด็กฝึกงานของเขา

“ข้าไม่เคยพบหมอฝึกหัดของหมอเฉินแม้ซักครั้ง ข้าจะรู้ได้อย่างไร ท่านพ่อ?”

ซูหลุนทําหน้าตาเฉยชาและเดินไปรอบๆ ห้องอย่างร้อนรนใจ

“ยังไงก็ช่าง วันพรุ่งนี้เจ้าต้องชนะการแข่งขัน!”

ซูมู่เก๋อยกเปลือกตาขึ้นและกัดขนมโดยไม่ตอบสนองใดๆ

หลังจากกลับไปที่ลานดอกท้อ นางได้บรรจุยาและผงยาที่เตรียมไว้ทั้งหมดลงในกล่องเครื่องมือแพทย์ของนาง

องค์จักรพรรดิมีความเฉลียวฉลาดมากจนเขาไม่ประกาศกฏเกณฑ์การแข่งขันจนกว่าจะถึงเวลาแข่งในวันพรุ่งนี้ นางต้องเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่

“ไม่ว่าพรุ่งนี้ผลจะออกมาเป็นเช่นไร เจ้าไม่สามารถทําให้ท่านขุนนางขุ่นเคืองหรือระคายเคืองได้ ข้าขอเพียงให้เจ้าปลอดภัยและมีสุขภาพดี” เมื่อได้รู้เกี่ยวกับการแข่งขัน นางจ้าวก็ขมวดคิ้วอย่างกังวลมา

มันอยู่ต่อหน้าพระพักองค์จักรพรรดิ ความผิดพลาดใดๆ อาจทําให้นางถูกฆ่า

“ท่านแม่ ข้าจะทําให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้…องค์จักรพรรดทรงพระปรีชา พระองค์จะทรงไม่บังคับให้เด็กสาวทําอะไรก็ตามแม้ว่าข้าจะแพ้”

มันเป็นเรื่องจริง แต่นางจ้าวมั่นใจได้อย่างไร?

“มู่มู่ ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนใจร้อน แม้ว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะดูเจริญรุ่งเรือง แต่ก็มีความลับซ่อนอยู่มากเกินไป หลังจากนี้ข้าจะขอให้ท่านพ่อของเจ้าให้เจ้าพบกับครอบครัวที่ดี เจ้าไม่จะไม่ไปรักษาใครอีกแล้ว ตกลงหรือไม่?”

มองไปมีสีหน้าเป็นกังวลของนางจ้าว ซูมู่เก๋อเบาเสียงลง “ท่านแม่ มีบางอย่างที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้แม้ว่าเราจะไม่ต้องการให้มันเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งที่ข้าต้องทําตอนนี้คือสามารถปกป้องเราได้มากขึ้น”

ทันใดนั้น ดวงตาของนางจ้าวก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและน้ำตาไหล นางสงสัยว่านางควรจะมีความสุขหรือเศร้า

เช้าวันรุ่งขึ้น ซูมู่เก้อเข้าไปในวังพร้อมกับซูหลุน

ซูหลุนต้องเข้าราชสํานักในตอนเช้าก่อน ส่วนซูมู่เก๋อถูกนําตัวไปที่พระราชวัง

การแข่งขันอยู่ในช่วงบ่าย แต่นางต้องเข้าวังแต่เช้า นางจึงถูกทิ้งไว้ข้างนอก นี่เป็นความอัปยศอดสูสําหรับนางหรือไม่?

เมื่อเวลาประมาณเที่ยง นางกํานัลในชุดสีฟ้าก็เข้ามาพร้อมกับภาชนะใส่อาหาร

“คุณหนูซู ข้าชื่อหลิงเอ๋อร์ นางกํานัลในสนมฉิน พระสนมฉินทรงรู้ว่าท่านเข้าวังมาแต่เช้าและกลัวว่าท่านจะหิว พระสนมจึงรับสั่งให้ข้านอาหารมาให้ท่าน”

หลิงเอ๋อร์เปิดภาชนะใส่อาหารที่มีอาหารสามอย่างและซูปหนึ่งถ้วย ซึ่งดูเหมือนธรรมดา แต่ก็ดูปราณีตมาก

ซูมู่เก๋อรักษาสีหน้าของนางและยืนขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ

“ขอบคุณสําหรับพระเมตตาของพระสนมฉิน”

“พระสนมของเรารับสั่งว่าการแข่งขันจะท้าทายร่างกาย ท่านสามารถพักผ่อนในห้องโถงด้านข้างนี้หลังอาหารกลางวันได้”

ดวงตาของซูมู่เก๋อกระพริบเล็กน้อย

งานที่ท้าทายร่างกาย?

สนมฉินบอกเป็นนัยกับนางหรือ

“ขอบพระทัยสําหรับคําแนะนําของพระสนมฉิน”

หลังจากที่หลิงเอ๋อร์ออกไป ซูมู่เก๋อไม่ได้ไปที่ห้องโถงด้านข้างหลังทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว แต่หลับตาลงเพื่อพักผ่อนบนเก้าอี้ที่นางนั่งอยู่นั้น

เหล่าชนชั้นสูง ขุนนางเหล่านี้ล้วนฉลาดเฉลียวและมีเล่ห์เลี่ยมมากมาย ไม่ใช่เพราะสนมฉินพบว่านางน่าเอ็นดูจนพูดเหมือนมีนัยกับนาง แต่เพราะสนมฉินพบว่านางอาจมีประโยชน์ในอนาคต นางจึงตัดสินใจทิ้งความประทับที่ดีไว้ก่อนด้วยการพูดคําหวานๆและทานอาหารสักมื้อซึ่งไม่ใช่เรื่องยากสําหรับนาง

“คุณหนูซู คุณหนูซู องค์จักรพรรดิรับสั่งให้ท่านไปที่พระตําหนักซีหมิง การแข่งขันจะเริ่มเร็วๆ นี้แล้วเจ้าค่ะ”

ซูมู่เก๋อพยักหน้าและออกเดินทางไปยังตําหนักซีหมิงพร้อมชุดอุปกรณ์การแพทย์ของนาง

น่าแปลกที่เมื่อนางมาถึงตําหนักซีหมิง สถานที่ถูกจัดเตรียมเรียบร้อย

“คุณหนูซูมาแล้ว…”

ด้วยรายงานของคนในตําหนัก ซูมู่เก๋อเดินเข้าไปในท้องพระโรง

ซูมู่เก้อมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและก้าวย่อเข่าลงเพื่อถวายความเคารพ

“ขอถวายบังคมเพค่ะ ฝ่าบาท”

เซี่ยโฮวรุยนั่งอยู่ที่ด้านบนของท้องพระโรง สวมชุดคลุมมังกร

“ลุกขึ้น”

“ขอบพระทัยเพค่ะ ฝาบาท”

ซูมู่เก๋อเหลือบมองไปรอบๆ ท้องพระโรงและพบเซี่ยโฮวโม่!

เซี่ยโฮวโม่นั่งอยู่ทางด้านขวาของเซี่ยโฮวคุณ สบตากับนางชั่วขณะ เขามองไปที่นางเพียงเล็กน้อยจากนั้นก็ละสายตาไปทันที

ด้านหลังเซี่ยโฮวรุยคือฉากกั้นขนาดใหญ่ ถ้านางเดาถูก สนมฉินและเซี่ยโฮวหยินนั่งอยู่ด้านหลังฉากนั่น

นอกจากนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนในเครื่องแบบที่นางไม่เคยเห็น ในหมู่พวกเขา ซูหลุนสามารถนั่งในตําแหน่งท้ายสุดเท่านั้นและไม่เด่นที่สุด

ตําแหน่งนี้สงวนไว้สําหรับเขาจากองค์จักรพรรดิเซี่ยโฮวรุย เนื่องจากเขาเป็นบิดาของซูมู่เก๋อ

“เมื่อวานเจ้าบอกว่าเจ้าต้องการแข่งขันกับรองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินในด้านทักษะทางการแพทย์ ข้าจึงให้เจ้าพบกับคนไข้บางคน พาพวกเขาเข้ามา” เซี่ยโฮวรุยสั่ง

ในทันใดนั้น ทหารองครักษ์ของจักรวรรดิก็แบกไม้กระดานที่มีผู้ได้รับบาดเจ็บเข้ามายืนเรียงในโถง ทันใดนั้นโถงกว้างก็เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด

“นี่คือผู้ปวยทั้งหมดยี่สิบคน เจ้ามีเวลาเพียงสองชั่วยามในการรักษาพวกเขาทั้งหมด ตอนสุดท้าย แพทย์ของจักรวรรดิแห่งสํานักหมอหลวงของวังหลวงจะเป็นผู้ตัดสินผลงานของเจ้า ผู้ชนะจะได้รับรางวัล ส่วนผู้แพ้…”

ในขณะที่พูดเซี่ยโฮวรุยมองไปที่รองเสนาบดีสํานักหมอหลวง หมอเฉินที่ยืนอยู่ด้านข้าง ด้านหลังหมอเฉินมีชายหนุ่มในชุดคลุมสีฟ้าซึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลงและคํานับอยู่

“ฝ่าบาท หม่อมฉันจางเยว่ ขอถวยบังคมพะยะค่ะ ในนามของอาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจะแข่งขันกับคุณหนูซูในวันนี้ ถ้าหม่อมฉันแพ้ หม่อมฉันยินดีที่จะตัดมือและไม่ได้ฝึกฝนด้านการแพทย์ดีต่อไปตลอดชีวิต!”

เซี่ยโฮวโม่กําลังหยิบถ้วยขึ้นมา เมื่อได้ยินคําพูดของเขา เขาหยุดเล็กน้อยและมองไปมีซูมู่เก๋อ

เซี่ยโฮวรุยมองไปที่ซูมู่เก๋อ “ซูมู่เก๋อ เจ้าคิดเยี่ยงไร?”

ซูมู่เก๋อยังคงสงบนิ่งและก้าวออกไปประสานมือไว้ด้านหน้าก้มหัวลงและทูลว่า “หม่อมฉันไม่ขัดข้องเพคะ”

ขันที่อีขอให้คนนําโต๊ะกลมที่มีวัสดุยาต่างๆ มาวางบนโต๊ะ จากนั้นเขาก็หยิบนาฬิกาทรายออกมาทันที ก้าวไปด้านหน้าและประกาศ “การแข่งขันเริ่มณบัดนี้!”

“ตึง!”

ด้วยเสียงฆ้องและกลองซูมู่เก๋อและจางเยว่เดินเข้าหาผู้บาดเจ็บ

จางเยวตรวจสอบการบาดเจ็บของผู้ป่วยทุกรายก่อน จากนั้นจึงเลือกผู้ที่ได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุดเพื่อเริ่มการรักษา

ในทํานองเดียวกัน ซูมู่เก๋อตรวจสอบสภาพบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บทั้งหมด แต่ในที่สุดนางก็มาถึงผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด

ต้นขาของชายฉกรรจ์ถูกผ่าออกในแนวนอนโดยมีบาดแผลยาวและผ้าที่พันไว้เลือดไหลท่วมเมื่อซูมู่เก๋อแก้ผ้าคลุมร่างของเขา คนส่วนใหญ่ในห้องโถงต่างประหลาดใจอย่างมาก

ซูมู่เก๋อขมวดคิ้วเมื่อเห็นเลือดที่ไหลออกมาจากต้อนขาของเขา

เขาได้รับบาดเจ็บที่หลอดเลือดแดงใหญ่ หากไม่สามารถหยุดเลือดได้ก็ใช้เวลาไม่นานในการที่เขาจะเสียชีวิตเพราะเลือดออกมากเกินไป

ซูมู่เก้อเอาผ้าฝ้ายกดที่แผลให้แน่นพยายามห้ามเลือด

ในอีกด้านหนึ่งจางเยว่ได้ทําการพันผ้าพันแผลและรักษาผู้ป่วยรายแรกเรียบร้อยแล้ว เขาหยิบยาจากโต๊ะกลมมาโดยตลอด เนื่องจากยาบนโต๊ะมีจํานวนจํากัด หากยาตัวใดตัวหนึ่งหมด ก็จะไม่มียาตัวนั้นใช้!

เมื่อจางเยว่เดินไปที่ผู้ปวยคนที่สองเขามองไปที่ซูมู่เก๋อด้วยความเย่อหยิ่งที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา

นางโง่มากที่จัดลําดับความสําคัญของผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุด มันไม่เพียงแต่เสียเวลาแต่ยังมีโอกาสน้อยมากในการรักษาที่จะประสบความสําเร็จ มันเป็นเรื่องน่าขันสําหรับเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ไร้ปัญญาที่มาแข่งขันกับเขา!

เมื่อเห็นผู้ป่วยที่จางเยว่รักษาเพิ่มจํานวนขึ้น ซูหลุนที่นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งไม่สามารถหยุดความกระวนกระวายใจได้ หากพ่ายแพ้ นางจะต้องมือขาด! มาถึงตอนนี้นางยังสามารถช่วยเหลือเขาได้ แต่ถ้าไม่มีมือ นางก็เปล่าประโยชน์:

เซี่ยโฮวคุณรู้สึกเบื่อ เขาหมุนถ้วยเหล้าในมือขณะมองซูมู่เก๋อที่กําลังนั่งยองๆ เขาค่อยๆ รู้สึกว่าร่างของนางคุ้ยเคยมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเขาเคยเห็นนางมาก่อน ในขณะที่กําลังสงสัย เขาก็คิ้วขมวดขึ้นเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่ เลือดไม่สามารถหยุดได้!” ซูมู่เก๋อพบว่าผ้าฝ้ายบนมือของนางเปื้อนเลือดและสัญญาณชีพของผู้บาดเจ็บ อ่อนแอลงเรื่อยๆ

พิษในร่างกายของนางได้รับการล้างพิษออกแล้ว และความสามารถพิเศษของฝ่ามือของนางยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่มันยากที่นางจะทําต่อหน้าผู้คนมากมาย…

ซูมู่เก๋อแอบกัดฟัน!

ฉิบหาย!

“เขากําลังจะตาย ไปรักษาผู้ป่วยรายอื่นหากเจ้าไม่ต้องการพ่ายแพ้ในความอัปยศ”

เซี่ยโฮวคุณก็พูดขึ้น เสียงของเขาดังขึ้นเล็กน้อยในห้องโถงที่เงียบสงบ

ซูมู่เก๋อเม้มริมฝีปากของนางไว้แน่น แต่ไม่ขยับ เซี่ยโฮวคุณคิดอย่างลับๆว่านางไม่รู้จักบุญเจ้ามาก เขาพ่นลมหายใจดังๆและนิ่งเงียบ

ขณะที่ซูมู่เก๋อพยายามใช้ความสามารถพิเศษบนฝ่ามือของนาง ผู้บาดเจ็บที่นอนบนกระดานก็หายใจกระตุก ศีรษะตกและหยุดหายใจทันที!

“ชายผู้นั้นตายแล้ว”