ตอนที่ 39 ราชสำนัก (2)
อู๋อ๋องถูกจวินเสี่ยนจ้องเขม็งจนสั่นสะท้านอยู่ในอก ตอนที่จวินเสี่ยนยังหนุ่มๆ เขาเลื่องชื่อด้านการศึกมาก พูดได้ว่าเป็นแม่ทัพที่กล้าหาญและแข็งแกร่งอันดับหนึ่งของรัฐชี แม้ว่าตอนนี้เขาจะแก่มากแล้วก็ตาม แต่รัฐใกล้เคียงที่มีพรมแดนติดกับรัฐชีต่างก็ยังหวาดกลัวในชื่อเสียงของจวินเสี่ยนอยู่
เวลานี้พอถูกจวินเสี่ยนจ้องเขม็งเช่นนี้ อู๋อ๋องก็เผลอกลืนน้ำลายอึกใหญ่โดยไม่รู้ตัว
“เรื่องของจวนหลินอ๋องของข้า คงไม่รบกวนให้ทุกท่านเป็นกังวล” เมื่อเห็นว่าทุกคนเลิกหัวเราะแล้ว จวินเสี่ยนถึงถอนสายตากลับไป
“ปัดโธ่ ที่ข้าถามก็เพราะห่วงเสาหลักของรัฐชีเราหรอกนะ” เห็นจวินเสี่ยนในที่สุดก็เลิกปล่อยรังสีกดดันเสียที อู๋อ๋องก็กระหยิ่มยิ้มย่องในใจ
แม่ทัพวีรบุรุษแล้วอย่างไร ตอนนี้ก็เป็นได้เพียงไม้ใกล้ฝั่ง เป็นเพียงเสือสิ้นลายเท่านั้น!
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่าหมู่นี้จวินอู๋เสียบ้านเจ้าไม่ค่อยได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกเลย นางอายุยังน้อย แม้จะไร้วาสนากับมั่วเซวี่ยนเฝ่ย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจมากขนาดนั้น ต้องออกมาสูดอากาศข้างนอกบ้าง อย่าเอาแต่อุดอู้อยู่แต่ในบ้านท่าเดียว” ตระหนักได้ว่าจวินเสี่ยนไม่ใช่พยัคฆ์ร้ายเหมือนเมื่อครั้งเป็นหนุ่มอีกต่อไป อู๋อ๋องก็ไม่คิดเกรงใจอีก พูดถึงจวินชิงจบ ก็มิวายหยิบยกเรื่องของจวินอู๋เสียขึ้นมาเพิ่มความกลัดกลุ้มให้กับจวินเสี่ยนต่อ
จวินเสี่ยนจ้องอู๋อ๋องเขม็ง
อู๋อ๋องหัวเราะก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “ในเดือนหน้าที่ใกล้จะถึงนี้เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาท ฮ่องเต้มีรับสั่งมอบหมายให้ข้าเป็นผู้รับผิดชอบจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ในเมื่ออู๋เสียของเจ้าไม่ได้ปรากฏตัวนานแล้ว เจ้าควรจะพานางออกมาผ่อนคลายสักหน่อย ฮ่องเต้เองก็ทรงตรัสว่าพระองค์รู้สึกไม่ดีกับการยกเลิกการหมั้นหมายยิ่ง จึงมีรับสั่งกำชับข้าเพิ่มเติมให้เชิญจวินอู๋เสียเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้เป็นพิเศษด้วย”
“ข้ารู้แล้ว” จวินเสี่ยนไม่อยากเสวนากับพวกไร้สมองพวกนี้อีก ตอบรับไม่กี่ประโยคก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อมองไปยังแผ่นหลังที่ ‘จนตรอก’ ของจวินเสี่ยน อู๋อ๋องก็หัวเราะร่วนอย่างกำเริบเสิบสานมากยิ่งขึ้น
“ยังวางท่าอยู่อีกรึ คิดว่าจวนหลินอ๋องของเจ้ายังยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อครั้งในอดีตอยู่อีกหรืออย่างไรกัน” อู๋อ๋องขยับมุมปากพลางเย้ยหยันเบาๆ เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่รอประจบอยู่ด้านข้างรีบคล้อยตาม พูดเออออตามเขาไปด้วย
“ดูแล้วหลินอ๋องคงไม่อาจยอมรับความจริงที่แสนโหดร้ายนี้ได้กระมัง จวินกู้ตายแล้ว จวินชิงเองก็เหลือเวลาอีกไม่มาก แค่เขากับนังเด็กจวินอู๋เสียไร้ความสามารถนั่นจะควบคุมกองทัพรุ่ยหลินได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว” ขุนนางชั้นผู้ใหญ่คนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เอาน่า เขายังคิดว่าตนเองเป็นแม่ทัพใหญ่ผู้บัญชาการกองทัพทั้งปวงอยู่เลย ก็แค่ลูกชายสองคนตายไปไม่ใช่หรือ ฮ่าๆๆๆ” อู๋อ๋องพูดเพียงแค่นี้แล้วไม่พูดอะไรอีก แต่มันก็เพียงพอให้เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ล้อมหน้าล้อมหลังเขาอยู่นั้นนำไปล้อเลียนต่อแล้ว
โดยไม่ทันได้ตระหนักเลย เหล่ากลุ่มคนที่มัวแต่จะซ้ำเติมจวินเสี่ยนไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นเลยว่าทันทีที่จวินเสี่ยนหันหลังให้กับพวกเขา ประกายแสงหนึ่งได้วาบขึ้นในดวงตาขณะที่เขาเดินจากไป ท่าที ‘จนตรอก’ หลังงองุ้ม สับเปลี่ยนเป็นยืดตรงผึ่งผายทรงพลัง เหมือนกับตอนที่เขาบัญชาการกองทัพตอนนั้นไม่ผิดเพี้ยน!
จวินเสี่ยนหน้าบึ้งกลับจวนหลินอ๋อง เรื่องอย่างในวันนี้เขาเห็นเป็นประจำ แทบไม่มีอะไรแปลกใหม่
หลังจากก้าวเท้าเข้าไปยังเรือนพักของจวินอู๋เสีย สีหน้าชายชราก็เปลี่ยนเป็นอ่อนโยนทันที กลิ่นหอมจางๆ ของสมุนไพรที่คุ้นเคยลอยเข้ามากระทบกับจมูก
จวินอู๋เสียถือหม้อต้มยาสองใบไว้ในมือ ขณะเดินออกจากเรือนของตัวเอง เมื่อเห็นว่าจวินเสี่ยนกลับมาแล้ว นางก็เอ่ยทักเขาออกไป
“ท่านปู่” จวินเสี่ยนพยักหน้าให้นางอย่างอบอุ่น
“ยังทำเรื่องพวกนี้อยู่อีกอย่างนั้นรึ ช่วงนี้เจ้าเอาแต่ขลุกอยู่ในจวน เบื่อหรือไม่ เดือนหน้าเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาท ปู่พาเจ้าไปร่วมงานด้วยดีหรือไม่” จวินเสี่ยนพูดกับนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ดีเจ้าค่ะ” จวินอู๋เสียตอบตกลงอย่างไม่คิดอะไรมาก
จวินเสี่ยนยิ้มแล้วตบไหล่นางเบาๆ ไม่พูดสิ่งใดอีก แต่ตรงกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้อง
จวินอู๋เสียยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หลังจากมองตามแผ่นหลังของจวินเสี่ยนจนอีกฝ่ายหายลับไป นางก็เริ่มเดินต่อไปยังเรือนพักของจวินชิง
เหมียววว เจ้าแมวดำเดินไปพลางไถตัวเข้ากับขาของจวินอู๋เสียอย่างออดอ้อน
สีหน้าของท่านปู่ดูมีบางอย่างผิดปกติ
“อืม” จวินอู๋เสียก็สังเกตเห็นเช่นกัน
เหมียว
เกี่ยวข้องกับวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาทอย่างนั้นหรือ
………….
ตอนที่ 40 เมืองผี (1)
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง วีรกรรมที่เจ้าของร่างเดิมเคยก่อไว้น้อยเสียเมื่อไหร่ ท่านปู่ไม่แพ้จะสะสางตามเช็ดก้นให้นาง การที่ท่านปู่มาชวนข้าไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาททั้งที่เพิ่งกลับมาจากประชุมเช้าที่ท้องพระโรงเช่นนี้ บางทีความคิดนี้อาจจะมาจากผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั่น” จวินอู๋เสียตอบเจ้าแมวดำขณะเดินต่อไป
เหมียว?
ฮ่องเต้หรือ เหตุใดเขาถึงอยากให้ท่านไปร่วมงานเลี้ยงฉลองขององค์รัชทายาทกัน
“หึ ในสายตาพวกเขาท่านอาเล็กของข้าได้ตายไปแล้ว จวนอ๋องหลินเหลือข้าเป็นทายาทอายุน้อยเพียงคนเดียว ดังนั้นในสายตาพวกเขาแล้ว จวนอ๋องหลินจะตกมาอยู่ในมือของเด็กที่ไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลยอย่างข้าทันทีที่ท่านอาเล็กตาย นอกจากนี้ท่านปู่เองก็แก่ชรามากขึ้นทุกวัน พวกเขายิ่งไม่มีอะไรให้ต้องเป็นกังวล กองทัพรุ่ยหลินเคยมีความดีความชอบมากมายในสนามรบ ถึงเวลาแล้วที่ต้องสิ้นนกเก็บคันธนู[1] อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่สามารถง้างเอาความลับหรือเรียกข้อมูลใดๆ จากปากของท่านอาเล็กและท่านปู่ได้ ทว่าเด็กสาวอายุสิบสี่ปีไร้ประสบการณ์อย่างข้าไม่เหมือนกัน จวินอู๋เสียคนก่อนปากเปราะแค่ไหน อาจหลุดพูดอะไรออกไปบ้าง…ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่คิดว่าการเชิญสตรีที่เพิ่งถูกบุรุษถอนหมั้นไปร่วมงานวันคล้ายวันพระราชสมภพของพี่ชายเขาแล้วนั่งดูเขาพลอดรักกับสตรีนางอื่นเป็นเรื่องที่น่าดูชมหรอกหรือ” ปกติแล้วจวินอู๋เสียเป็นคนพูดไม่มาก กระทั่งกับจวินชิงและจวินเสี่ยนที่ถือเป็นคนในครอบครัวเดียวกันก็ยังพูดประโยคยาวๆ เช่นนี้แทบจะนับครั้งได้
แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าแมวดำตัวน้อย ความสามารถในการสื่อสารของนางกลับพุ่งกระฉูดขึ้นเป็นเส้นตรง นางสามารถพูดประโยคยาวๆ ออกไปได้เลยโดยไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ คล้ายกับว่ามันไหลออกมาเองตามธรรมชาติ
เหมียว! เจ้าแมวดำขนลุกชันด้วยความโกรธ
หน้าไม่อาย! นี่มันจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ไม่แปลกใจเลยที่ฮ่องเต้และองค์ชายชั่วนั่นเป็นพ่อลูกกัน! ฉากหน้าพวกเขาล้วนทำตัวสูงส่งเป็นคนดี ลับหลังกลับพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเค้นเอาข้อมูลในจวนหลินอ๋อง มิหนำซ้ำยังคิดจะใช้โอกาสนี้ทำให้ท่านอับอายขายหน้าอีก…บนโลกนี้มีคนที่ไร้ยางอายเช่นนี้อยู่ได้อย่างไรกัน!
“ที่พวกเขาต้องการให้ขายหน้าจริงๆ ไม่ใช่ข้า หากแต่เป็นจวนหลินอ๋องแห่งนี้ต่างหาก ท่านปู่ยามนี้ยังไม่อยากเปิดเผยสถานการณ์จริงของจวนหลินอ๋องออกไป จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนอยู่แบบนี้” จวินอู๋เสียไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อการก่อกวนที่พวกเขาจัดเตรียมไว้ให้ ชนชั้นสูงเหล่านั้นคิดว่าตนเองฉลาดเสียเต็มประดา จึงมักจะทำเรื่องทำนองปิดหูขโมยกระดิ่ง[2] ออกมาเป็นประจำ
“แต่มันก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดไม่ใช่รึ ปล่อยให้พวกเขาหลงระเริงได้ใจไปอีกสักพัก ถึงตอนนั้นข้าก็จะแสดงให้พวกเขาได้เห็น…” ประกายแสงเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาที่สงบลุ่มลึกของจวินอู๋เสียไป
คิดหาเรื่องนางหรือ ไม่เป็นไร นางไม่ถือสาอะไร
ทว่าคนพวกนั้นกลับกล้าดึงท่านปู่และท่านอาเล็กของนางไปเป็นหมากในกระดานของพวกเขา เช่นนั้นก็อย่าโทษว่านางโหดเหี้ยมอำมหิตก็แล้วกัน!
“คนโง่เขลา ไม่สมควรมีชีวิตอยู่ต่อบนโลกใบนี้ อีกไม่นานพวกนั้นจะต้องถูกกำจัดทิ้งทั้งหมด” จวินอู๋เสียก้มมองหม้อต้มยาในมือของตัวเอง แววตาแสดงถึงความอันตราย
‘หมอ’ สามารถช่วยชีวิตคนได้ แต่ก็ฆ่าคนได้เช่นกัน!
การยื้อชีวิตใครบางคนกลับมาจากยมโลก สำหรับนางแล้วง่ายไม่ต่างจากการผลักใครบางคนลงนรกไป
เหมียว!
เจ้านาย แสดงให้พวกมันเห็นเลย ฆ่าไอ้พวกโง่เง่าพวกนั้นทิ้งให้หมด!
จวินอู๋เสียไม่ได้พูดอะไรอีก นางก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างสงบ แต่ในหัวกลับเริ่มวางแผนระยะยาวไว้แล้ว
ร่างกายของจวินชิงนั้นฟื้นตัวได้ดีเยี่ยม แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะฟื้นตัวกลับไปอยู่จุดสูงสุดได้ซึ่งอาจกินเวลาราวหนึ่งปีกว่า แต่ในระหว่างนี้นางจะไม่ใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ ในเมื่อนางมีภูติวิญญาณแล้ว นางก็จะฝึกฝนให้แข็งแกร่งขึ้นทีละขั้น เตรียมพร้อมสำหรับการกำจัดขยะที่ขวางหูขวางตาเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด
อยากให้ตนเองแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ก็จำเป็นต้องบ่มเพาะพลังวิญญาณ!
เรื่องที่ตนเองมีภูติวิญญาณ เป็นความลับเฉพาะของจวินอู๋เสียที่ตั้งใจปกปิดไว้ไม่ให้ใครรู้
นับตั้งแต่ที่จวินเสี่ยนมอบอำนาจส่วนใหญ่ในจวนหลินอ๋องให้กับจวินอู๋เสีย ผู้คนก็มักจะได้เห็นนางพลิกอ่านตำรา ค้นคว้าหาวิธีการบ่มเพาะพลังที่เหมาะสมกับตัวเองอยู่ในห้องหนังสืออยู่บ่อยๆ
………………
[1] สิ้นนกเก็บคันธนู หมายความว่าเมื่อนกในป่าถูกยิงจนหมดสิ้นแล้ว คันธนูที่ใช้ยิงนกก็หมดความหมาย อุปมาว่าเมื่อหมดประโยชน์แล้วก็กำจัดทิ้ง
[2] ปิดหูขโมยกระดิ่ง อุปมาถึงคนโง่ที่หลอกตัวเองได้ แต่หลอกคนอื่นไม่สำเร็จ