ท่านหมอเฝิงพูดอย่างเป็นปกติสบายๆ ทว่าหวังซีกับเฝิงเกากลับฟังอย่างตระหนกตกใจ

คนที่ไม่สบายคือฮ่องเต้! ทั้งสองคนพูดออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ เฝิงเกายิ่งแล้วใหญ่ ใต้เท้าจินผู้นั้นได้เอาบันทึกอาการป่วยให้ท่านดูหรือไม่ ฮ่องเต้ประชวรเป็นโรคทางใจได้อย่างไร เป็นมานานเท่าไรแล้ว แต่ละครั้งใช้ยาอะไรบ้าง

สิ่งที่หวังซีสนใจต่างจากเขาโดยสิ้นเชิง นางถาม อาการประชวรของฮ่องเต้มีใครรู้อีกบ้าง นอกจากเฉินลั่วกับองค์ชายรองแล้ว เคยมีคนอื่นมาหาท่านมาก่อนหรือไม่ หากให้ท่านเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้ ท่านมีความมั่นใจกี่ส่วน

ท่านหมอเฝิงมองคนรุ่นเด็กที่เติบโตอยู่ข้างกายตัวเองมาตั้งแต่เด็กทั้งสองคน อดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ กล่าวว่า พวกเจ้าไม่ต้องตื่นตระหนก ข้ามีแผนการสำหรับเรื่องนี้แล้ว ยังกำชับพวกเขาด้วยว่า หากมีคนมาสอบถาม พวกเจ้าเพียงยืนกรานไปว่าไม่รู้ ทำเสมือนไม่เคยได้ยินมาก่อนก็พอ

แต่เกี่ยวพันกับราชวงศ์มั่นใจได้เลยว่าไม่มีเรื่องดี ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่ไม่สบายยังเป็นฮ่องเต้ โอรสทั้งเก้ายังไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาท จะแต่งตั้งโอรสจากภรรยาเอกหรือแต่งตั้งโอรสองค์โตยังคงเป็นที่ถกเถียงมาโดยตลอด น้ำนี้ลึกจนเห็นสีได้ไม่ชัดเจนมาเนิ่นนานแล้ว ผู้ใดจะกล้าลุยลงไปกัน?

แต่คำเตือนของคนแซ่จินก็มิใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน

ครั้งนี้กักขังเจ้าสามวันแล้วปล่อยตัวกลับมา ครั้งหน้าอาจจะกักขังเจ้าอีกเก้าวัน ให้เจ้าไร้ที่ขอความช่วยเหลือ ให้รู้ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาแล้วนั่งลงมาเจรจาเงื่อนไขกันอีกครั้ง

หวังซีพลันรู้สึกไม่ชอบเฉินลั่วขึ้นมาเล็กน้อย

รู้สึกว่าช่างเสียเปล่าที่เขาหน้าตาดูดีขนาดนี้

รอยยิ้มอันอบอุ่นที่เจอก่อนหน้ารอยยิ้มนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากหัวใจของนาง

นางกล่าวกับท่านหมอเฝิงว่า ตราบใดที่ท่านยังไม่เข้าวัง พวกเขาก็ไม่มีวันยอมแพ้ แทนที่จะกอดความหวังว่าพวกเขาจะใจดี เห็นท่านไม่อยากเข้าวังขนาดนี้แล้วจะวางมือ มิสู้คิดหาวิธีอื่นดีกว่า!

ท่านหมอเฝิงรับคำว่าดียิ้มๆ กล่าวว่า ข้าตระหนักถึงสถานการณ์ดี พวกเจ้าดูแลตัวเองให้ดีก็พอ

มิได้ตอบตรงๆ ว่าจะทำอย่างไร

หวังซีค่อนข้างรู้นิสัยของท่านหมอเฝิง รู้สึกว่าท่าทางของเขาเช่นนี้ดูไม่เหมือนคนมีแผนการดีๆ อะไรเลย จำต้องต้อนถามท่านหมอเฝิงต่อ เช่นนั้นท่านมีแผนการอย่างไร จะเข้าวังหรือไม่

ท่านหมอเฝิงเห็นนางเป็นเช่นนี้ จำต้องกล่าวว่า รอข้าหารือกับหลงจู๊ใหญ่แล้วค่อยว่ากันอีกที

ถ้อยคำนี้กล่าวลวกๆ พอเป็นพิธีเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงหวังซี แม้แต่เฝิงเกาเองก็ฟังออก

เขามองหวังซีครั้งหนึ่ง

สีหน้าไร้ความหนักอึ้งของหวังซีเปลี่ยนเป็นแปลกๆ เล็กน้อย

แต่ความแปลกเช่นนี้กลับทำให้เขารู้สึกเบาใจอย่างอธิบายไม่ได้

เขาครุ่นคิด ตัดสินใจสนับสนุนหวังซี

ท่านอาจารย์! เฝิงเกาช่วยหวังซีต้อนถามท่านหมอเฝิงอีกแรง ท่านมีแผนการอะไรก็ต้องบอกพวกข้าสักคำ ไม่อย่างนั้นพวกข้าย่อมเป็นกังวลใจอย่างยิ่ง! ท่านดูศิษย์น้องเล็ก แอบวิ่งมาจากจวนหย่งเฉิงโหวกลางดึก ยังไม่รู้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าจะกลับไปอย่างไร! ท่านอย่ากล่าวอ้อมค้อมกับพวกข้าอีกเลย พวกข้าล้วนโตกันหมดแล้ว ถึงวัยช่วยแบ่งเบาภาระและแก้ปัญหาให้ท่านได้แล้ว ท่านบอกพวกข้ามาเถิด! เผื่อว่าความคิดของท่านกับของหลงจู๊ใหญ่ไม่เหมือนกัน ข้ากับศิษย์น้องเล็กจะได้ช่วยพูดให้ท่านได้!

สายตาที่ท่านหมอเฝิงมองหวังซีเผยความไม่สบายใจออกมาให้เห็นเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หวังซีอยากรู้ว่าท่านหมอเฝิงมีแผนการอะไรกันแน่ แน่นอนว่าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ไม่ปล่อยให้หลุดมือไป

นางกล่าว ข้ามีความคิดหนึ่ง ปู่เฝิงกับพี่ชายเสี่ยวเกาลองฟังดู ดูว่าใช้ได้หรือไม่ กล่าวจบ ไม่รอให้ท่านหมอเฝิงกับเฝิงเกากล่าวสิ่งใด ก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาต่อว่า ไม่ว่าเรื่องอะไรอุดมิสู้ขุด เนื่องจากเฉินลั่วกับองค์ชายรองต้องตาความสามารถทางการแพทย์ของท่าน ต่อให้ท่านอยากหลบเลี่ยง แต่ดูจากลักษณะของคนแซ่จิน คงเป็นไปได้ยากแล้ว แต่การรักษาฮ่องเต้เป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เรื่องที่คนเป็นหลานลุงผู้หนึ่งกับบุตรชายผู้หนึ่งจะตัดสินใจเองได้ ต่อให้ฮองเฮาเหนียงเหนียงออกหน้าด้วยตัวเอง ก็ไม่อาจพอบอกอยากให้ท่านเข้าวังก็เข้าวังได้เลย ข้าคิดว่าหากพวกเราไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้ คงต้องลงแรงลงเวลากับด้านนี้ ยกตัวอย่างเช่น แม้นเฉินลั่วกับองค์ชายรองต่างคิดว่าทักษะทางการแพทย์ของท่านดี แต่ถ้าหากท่านหมอที่สำนักหมอหลวงล้วนบอกว่าความสามารถทางการแพทย์ของท่านก็หลอกได้แค่ประชาชนคนธรรมดาเท่านั้นเล่า หรือไม่ก็ คนที่ให้การแนะนำท่านเป็นคนที่ฮ่องเต้ไม่โปรดปรานที่สุดพอดี แค่ได้ยินชื่อคนผู้นี้ก็ขุ่นเคืองพระทัยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องใช้คนหรือสิ่งของที่คนผู้นี้แนะนำมาให้เลย ก็เหมือนกับท่านป้าใหญ่ เกลียดชังพี่สะใภ้สามเป็นที่สุด ไม่ว่าพี่สะใภ้สามพูดอะไร ทั้งๆ ที่นางรู้ว่าถูกต้อง ก็ยังต้องการคัดค้านถึงจะรู้สึกเบิกบานใจ พวกเราเองก็หาคนเช่นนี้มาสักคนได้เหมือนกันนี่นา!

เฝิงเกาฟังแล้วดวงตาเป็นประกาย กล่าวไม่หยุดว่า ความคิดนี้ของศิษย์น้องดี!

หวังซีเองก็รู้สึกว่าความคิดนี้ของตัวเองเข้าท่า นางมองท่านหมอเฝิงด้วยความภูมิใจเล็กน้อย ผู้ใดจะรู้ว่าท่านหมอเฝิงกลับเผยความขมขื่นออกมาให้เห็น ส่ายศีรษะเบาๆ กล่าวว่า ข้ารู้ว่าพวกเจ้าล้วนปรารถนาดีต่อข้า แต่ข้าไม่อยากเสียเวลาอีกแล้ว เรื่องนี้ปล่อยไปตามนี้ก็แล้วกัน คราวหน้าหากพวกเขายังอยากให้ข้าเข้าวังไปถวายการรักษาฮ่องเต้อีก เช่นนั้นก็ไปรักษาก็แล้วกัน ไม่มีอะไรเลวร้ายเกินไปหรอก

ได้อย่างไรขอรับ เฝิงเการีบคัดค้าน หากไม่รู้ก็ช่วยไม่ได้ แต่บัดนี้รู้แล้วว่าอันตรายเพียงใด พวกเรายังจะมุ่งหน้าเข้าถ้ำเสือไปเพื่ออันใด ท่านอาจารย์ ท่านฟังที่ศิษย์น้องเล็กเกลี้ยกล่อมสักประโยคเถิด ข้ารู้สึกว่าที่นางกล่าวมามีเหตุผลยิ่งนัก

ท่านหมอเฝิงเลี่ยงไม่ตอบ แต่กล่าวยิ้มๆ แทนว่า ดึกแล้ว ข้าเองก็กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ประเดี๋ยวพวกเจ้ากินของว่างเป็นเพื่อนข้าเสร็จ ก็กลับไปนอนพักผ่อนก่อนเถอะ ด้านหลงจู๊ใหญ่ ข้าจะคุยกับเขาเอง พวกเจ้าไม่ต้องยุ่งเรื่องนี้แล้ว

เฝิงเกาไร้ทางเลือก

ทว่าหวังซีกลอกลูกตาไปมา กล่าวว่า ปู่เฝิง ท่านมีเรื่องยากลำบากอะไรก็บอกพวกข้าเถิด! สามหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว ข้าไม่เชื่อว่าพวกเราสามคนจะคิดวิธีดีๆ ไม่ออกเลยแม้แต่วิธีเดียว ท่านบอกพวกข้าเถิดนะเจ้าคะ ข้าจะได้ไม่ไปสืบที่ตระกูลจินเอง ทำให้เรื่องของท่านเสียหายไปมากกว่านี้

ท่านหมอเฝิงลูบศีรษะของหวังซีอย่างรักใคร่ กล่าวว่า เจ้าเด็กคนนี้เป็นศัตรูของข้ามาตั้งแต่ชาติปางก่อนจริงๆ

แต่สุดท้ายก็ไม่บอกพวกนางว่าเขามีแผนการอะไรอยู่ดี

หวังซีและเฝิงเกาสบตากันครั้งหนึ่ง รู้ว่าถามต่อไปก็ไม่ได้อะไร กินของว่างเป็นเพื่อนท่านหมอเฝิงสองสามชิ้น จากนั้นหวังซีกลับไปล้างหน้าล้างตาและนอนพักผ่อนที่ห้อง ปล่อยให้เฝิงเกาปรนนิบัติท่านหมอเฝิงล้างหน้าล้างตา

แต่หวังซีไหนเลยจะหลับลงได้ ในใจครุ่นคิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด ฝืนหลับไปได้ครู่หนึ่ง ฟ้ายังไม่ทันสว่างก็ตื่นขึ้นมาแล้ว

หวังหมัวมัวสงสารนาง ให้นางนอนต่ออีกครู่หนึ่ง กล่าวว่า เรื่องที่จวนข้าเตรียมการเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ท่านเพียงเร่งกลับไปให้ทันรับประทานมื้อเที่ยงกับฮูหยินผู้เฒ่าก็พอ

เพื่อเป็นการต้อนรับซือจู ฮูหยินผู้เฒ่าให้เด็กสาวอย่างพวกนางไปรับประทานมื้อเที่ยงพร้อมนาง

หวังซีพยักหน้า แต่ยังคงลุกขึ้นมา ขยับเข้าไปใกล้หน้ากระจกมองสำรวจขอบตาของตัวเอง

ยังดีอยู่ ไม่มีรอยคล้ำ!

ถือโอกาสตอนที่ชิงโฉวล้างหน้าให้นางกล่าวกับหวังหมัวมัวว่า พวกเรารับมื้อเช้าเสร็จแล้วไปหาหลงจู๊ใหญ่กัน

เรื่องที่นางสอบถามออกมาไม่ได้ ไม่เสมอไปที่หลงจู๊ใหญ่จะถามออกมาไม่ได้ด้วย

หวังหมัวมัวขานรับคำยิ้มๆ

หงโฉวกลับวิ่งเข้ามา กล่าวว่า หลงจู๊ใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ

ความจริงหลงจู๊ใหญ่ได้รับแจ้งข่าวว่าท่านหมอเฝิงกลับมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เนื่องด้วยถึงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานจึงมาหาไม่ได้ วันนี้พอแต่ละเขตเปิดประตูเขาก็เร่งมาหาทันที

หวังซีให้หงโฉวไปเชิญหลงจู๊ใหญ่มารับมื้อเช้ากับนางทางด้านนี้

หงโฉววิ่งฉิวออกไปดุจควัน ไม่นานก็พาหลงจู๊ใหญ่มาด้วย

หลงจู๊ใหญ่ประจำจิงเฉิงของสกุลหวังมีนามว่าหวังเต๋อ เป็นบ่าวเรือนเบี้ยของสกุลหวัง ได้รับเลือกให้เป็นบ่าวชายของบิดาของหวังซี ติดตามเรียนเขียนอ่านกับบิดาของหวังซีมาตั้งแต่เด็ก เฉลียวฉลาดโดดเด่นกว่าบรรดาบ่าวชายคนอื่นๆ จึงถูกส่งตัวไปเรียนรู้การทำการค้าที่ร้าน จากเด็กฝึกหัดจนกลายเป็นหลงจู๊ใหญ่ ต่อมาได้รับมอบหมายหน้าที่สำคัญ ดูแลรับผิดชอบงานต่างๆ ของสกุลหวังที่จิงเฉิง เป็นคนมีความสามารถมากผู้หนึ่ง

คุณหนูใหญ่! เขายิ้มแย้มกล่าวทักทายหวังซี

หลงจู๊ใหญ่มาแล้วหรือ! หวังซีรีบลุกขึ้น เชิญเขานั่งลงมาดื่มน้ำชา

ท่านปู่ของนางก็ดี บิดาก็ดี ถ้าเป็นคนมีความสามารถ ต่อให้เป็นบ่าว ก็ต้องให้เกียรติและให้ความเคารพอย่างเหมาะสม เช่นนี้ผู้อื่นถึงจะตั้งอกตั้งใจทำงานให้สกุลหวังของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นหวังเต๋อเป็นคนของบิดาของนาง

หวังเต๋อทำความเคารพหวังซีอย่างนอบน้อม ถึงได้นั่งลงบนเก้ามีเท้าแขนเพียงครึ่งเดียว

นางเป็นไข่มุกบนฝ่ามือของสกุลหวัง เฉลียวฉลาดรู้ความและปากหวาน ทุกคนในบ้านทั้งบนและล่างไม่มีผู้ใดเดียดฉันท์นางเลยสักคน

นางให้เกียรติเขา เขาก็ยิ่งต้องรู้จักความเหมาะควร

คุณหนูใหญ่เรียกข้ามามีเรื่องด่วนอะไรหรือ เขาถามอย่างระมัดระวัง

แน่นอนว่าหวังซีไม่อาจพอเห็นหน้าคนก็ให้ผู้อื่นทำธุระให้เลยได้ จึงถามถึงเรื่องในร้านและพูดเป็นนัยว่าเขาต้องลำบากแล้วก่อน ถึงได้นำหัวข้อสนทนาวกกลับมาที่เรื่องของท่านหมอเฝิง พูดถึงแผนการของท่านหมอเฝิงขึ้นมา กล่าวว่า ข้าเองก็รู้ว่านี่มิใช่เรื่องที่ข้าสมควรยุ่ง แต่เขาเป็นเช่นนี้ ข้าเป็นห่วงยิ่งนัก ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ในสายตาของคนภายนอก ปู่เฝิงก็คือคนในครอบครัวของพวกข้า พวกข้าไม่อาจละเลยได้

หลงจู๊ใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ เขาขมวดคิ้วมุ่น กล่าวว่า ท่านหมอเฝิงมิใช่คนฝักใฝ่ชื่อเสียงประเภทนั้น ต่อให้รักษาฮ่องเต้ให้หายได้ ด้วยวัยของเขาแล้วก็ไม่อาจอยู่ในสำนักหมอหลวงตลอดได้

เพราะฉะนั้นข้าถึงได้สงสัย หวังซีขอร้องหลงจู๊ใหญ่ เกรงว่าเรื่องนี้คงต้องให้ท่านช่วยออกหน้าสอบถามด้วยตัวเองสักครั้ง

นางยังเล่าสิ่งที่ตัวเองคิดให้หลงจู๊ใหญ่ฟังด้วย

หลงจู๊ใหญ่ชื่นชมเป็นอย่างมาก คิดในใจว่าไม่แปลกที่นายท่านผู้เฒ่ากับนายท่านใหญ่ล้วนโปรดปรานคุณหนูใหญ่ คนปราดเปรียวผู้นี้ยามเผชิญหน้ากับปัญหา มิได้ว่องไวน้อยกว่าคุณชายใหญ่เลยแม้แต่นิดเดียว หากคุณหนูใหญ่เป็นคุณชายน้อยผู้หนึ่งก็คงดี

แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความนึกคิดในใจของเขาเท่านั้น เขารีบรับคำหวังซี รับปากว่าจะช่วยหยั่งเชิงแผนการที่แท้จริงของท่านหมอเฝิงให้นาง ยังกล่าวถึงแผนการของเขาก่อนหน้านี้ด้วย ข้ารู้สึกว่าแผนการนี้ของท่านดี ตามความคิดของข้า บัดนี้มิสู้ประวิงเวลาเอาไว้ก่อนดีกว่า หากองค์ชายรองบีบคั้นจนเหนื่อยแล้ว ก็นำเรื่องนี้ไปบอกองค์ชายสาม เขาเป็นโอรสของซูเฟยเหนียงเหนียง ทุกคนต่างกำลังเล่าลือกันว่าฮ่องเต้มีพระประสงค์แต่งตั้งเขาเป็นรัชทายาท แต่เนื่องจากเขาทั้งมิใช่โอรสองค์โตและมิใช่โอรสจากภรรยาเอก อีกทั้งฮองเฮาก็มิได้มีความผิดใหญ่หลวงอะไร จึงไร้ซึ่งทางเลือกจริงๆ ถึงได้ไม่มีการแต่งตั้งรัชทายาทเสียที แน่นอนว่าถ้อยคำนี้มิได้ถูกต้องแม่นยำที่สุด แต่มีถ้อยคำเช่นนี้แพร่ออกมาได้ บอกชัดในตัวมันเองอยู่แล้วว่ามีปัญหาอยู่ในนั้นมากมาย นำมาให้ท่านหมอเฝิงสลัดตัวหนีออกมาน่าจะไม่มีปัญหาอะไร

แผนการของหวังซีได้รับการรับรองจากหลงจู๊ใหญ่ นางรู้สึกหายห่วงมากยิ่งขึ้น กระทั่งหวังหมัวมัวนำสาวใช้จัดโต๊ะสำรับเรียบร้อยแล้ว นางสนทนาตามมารยาทอีกสองสามประโยคก็กลับไปที่เรือนรับรองของตัวเอง มีชิงโฉวและหงโฉวปรนนิบัตินางรับประทานอาหารเช้า

ส่วนหลงจู๊ใหญ่รอหวังซีอยู่ครู่หนึ่ง ล้างมือและบ้วนปากตามลำดับแล้วถึงได้ไปพบท่านหมอเฝิงพร้อมกัน

อาจเป็นเพราะเหนื่อยล้ามากเกินไป ท่านหมอเฝิงยังไม่ตื่น เฝิงเกาพาบ่าวชายเด็กสองคนยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก

ทุกคนรอท่านหมอเฝิงอยู่ในห้องโถง พอท่านหมอเฝิงมาถึง หวังซีก็ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา ท่านกลับมาอย่างปลอดภัย ข้าเองก็วางใจแล้ว หากมีอะไรต้องการให้ข้าช่วยเหลือ ท่านให้คนไปแจ้งข่าวข้าสักคำก็พอ

นางต้องมอบพื้นที่ให้หลงจู๊ใหญ่กับท่านหมอเฝิงได้พูดคุยกัน!

ท่านหมอเฝิงมิได้รั้งหวังซีไว้ ให้เฝิงเกาไปส่งหวังซีที่ประตู ส่วนตัวเองคุยเรื่องจวนตระกูลจินกับหลงจู๊ใหญ่

เฝิงเกากระซิบถามนาง เจ้าไปเช่นนี้เลย?

หวังซีหันไปหัวเราะใส่เฝิงเกาไม่หยุด

นางรู้อยู่แล้วว่าเฝิงเกาต้องคิดไปในทางเดียวกันกับนาง นางกระซิบกล่าว สองวันนี้ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องรั้งตัวปู่เฝิงเอาไว้ อย่าให้เขาออกจากบ้าน รอสักสองสามวัน เจ้าจะรู้เองว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร!

………………………………………………………………..

ตอนต่อไป