ตอนที่ 36 ถลกแขนเสื้อ

เสน่ห์รักคุณหนูต่างสกุล

เฝิงเกาพยายามคิดว่ากำลังดูหวังซีเติบโต นางมีแผนการเจ้าเล่ห์มากสุด และบังเอิญว่าที่ผ่านมาแปดถึงเก้าในสิบส่วนล้วนประสบผลสำเร็จ ได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวใจที่แขวนอยู่ของเขาก็วางลงมาได้ครึ่งหนึ่ง ส่งหวังซีขึ้นรถม้าไปอย่างสงบ

หวังซีวุ่นมาทั้งคืน หลังจากกลับไปก็นอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงในทันที หลับชดเชยก่อนงีบหนึ่ง จากนั้นไปรับมื้อเที่ยงที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่าทันเวลาพอดี

ฮูหยินผู้เฒ่ากำลังคุยเรื่องไปร่วมงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ นอกจากซูเฟยเหนียงเหนียงแล้ว องค์ชายอีกหลายพระองค์ก็มาด้วย พวกเจ้าห้ามวิ่งพล่านไปทั่วเป็นอันขาด หากวิ่งชนบุคคลสำคัญของวังหลวงเข้า คงได้ขายหน้ามาถึงที่บ้านเป็นแน่ ไม่แน่ว่าอีกยี่สิบปีหลังจากนี้อาจยังมีคนกล่าวขานถึงอยู่ก็เป็นได้ หากผู้ใดในพวกเจ้าไม่กลัว เช่นนั้นก็ทำตามที่ใจตัวเองปรารถนาได้เลย…

นางพูดถ้อยคำนี้มาหลายรอบแล้ว

ฉังเคอจึงแอบดึงแขนเสื้อหวังซีเบาๆ กระซิบถามว่า ได้ยินว่าเจ้าไปสั่งทำเครื่องประดับที่ร้านเครื่องเงิน เป็นอย่างไรบ้าง เลือกแบบเสร็จหรือยัง

นี่เป็นข้ออ้างที่หวังหมัวมัวหามา

หวังซีตอบอย่างคลุมเครือไปเสียงหนึ่ง ด้านฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวขึ้นว่า สตรีทั้งหมดอยู่ที่เรือนแถวตะวันตก เวทีแสดงงิ้วจึงแบ่งเป็นสองจุด สตรีอยู่ที่หอนกกระจ้อยขับขานฝั่งตะวันตกของสวนดอกไม้ด้านหลัง ส่วนบุรุษอยู่ที่ศาลากระแสงนกขมิ้นฝั่งตะวันออกของสวนดอกไม้ด้านหลัง พวกเจ้าอย่าได้วิ่งไปผิดที่เป็นอันขาดเชียว

ทุกคนขานรับ เจ้าค่ะ อย่างยิ้มแย้มเบิกบาน สีหน้านั้นดูคล้ายกำลังจะได้เข้าร่วมการเดินทางท่องเที่ยวก็ไม่ปาน ดวงหน้าเผยความยินดีปรีดาออกมาให้เห็น

ฉังหนิงยิ่งแล้วใหญ่กล่าวว่า ท่านย่า จวนจ่างกงจู่เชิญคณะงิ้วใดมาทำการแสดงหรือเจ้าคะ คงมีรายการแสดงออกมาแล้วกระมัง

ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว คณะหลีฮวากับคณะเหลียนจู

คณะเหลียนจูผู้ใดมาหรือเจ้าคะ สะใภ้ใหญ่ที่ปกติไม่พูดสักเท่าไรนั้นดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย เห็นได้ชัดว่ารู้สึกสนใจเป็นอย่างยิ่ง

ฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะร่า กล่าวว่า นักแสดงของทั้งสองคณะน่าจะมากันทั้งหมด หาไม่คนคงไม่พอ!

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกัน มีเพียงหวังซีที่ไม่รู้สึกสนใจใดๆ อยากกลับไปนอนอีกสักงีบเหลือเกิน

ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงเวลาแยกย้าย ซือจูเชิญพวกนางไปดื่มน้ำชาที่เรือนของนาง บอกว่าอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดานางส่งชาที่ปลูกในหุบเขาของฝูเจี้ยนมาให้ แตกต่างจากชาดอกไม้และชาเขียวที่พวกเราดื่มกันในยามปกติมากโข เมื่อก่อนข้าเองก็ไม่คุ้นรสชาตินัก แต่พวกเขาส่งมาให้ทุกปี ยังบอกว่าเป็นสินค้าบรรณาการอะไรอีกด้วย หลายปีมานี้ข้าเลยลิ้มรสชาติได้บ้างแล้ว

แน่นอนว่าฉังหนิงย่อมไปประจบประแจง หวังซีมีอารมณ์ที่ไหนกัน อ้างว่าต้องไปคัดพระธรรมให้ท่านย่าที่อยู่ไกลถึงสู่จงเอาไปถวายที่วัด จึงขอตัวลาไปเพียงลำพัง

ซือจูมองเงาหลังของนางพลางหัวเราะเสียงเย็นครั้งหนึ่ง

ซือหมัวมัวทราบเรื่องแล้วไปย้ำกำชับต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าสองสามประโยค

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เก็บมาใส่ใจ ยังหัวเราะร่ากล่าวว่า แม้นอาจูจะเอาแต่ใจ แต่ก็จิตใจดี โกรธง่ายหายเร็ว อาซียิ่งไม่ต้องพูดถึง น่ารักอ่อนหวาน เชื่อฟังและรู้ความ ต่อให้ได้รับความคับข้องใจ ก็คงไม่ผลีผลามทำอะไรอาจู ทั้งสองคนรู้จักกันนานขึ้น ต่างคนต่างรู้นิสัยของอีกฝ่ายก็ดีขึ้นเอง

ซือหมัวมัวฟังแล้วอยากเอามือปิดหูเหลือเกิน

ท่านใช้ดวงตาข้างไหนดูว่าสองคนนี้ผู้หนึ่งเป็นคนหายโกรธเร็ว อีกผู้หนึ่งรับความคับข้องใจได้กัน

เพียงแต่ว่าถ้อยคำนี้อยู่นอกเหนือสิ่งที่นางจะพูดได้ นางได้แต่แอบเป็นกังวลอยู่ในใจเท่านั้น

ทางด้านหลงจู๊ใหญ่ไม่ทำให้หวังซีผิดหวัง ไม่ถึงสองวันก็ให้เฝิงเกานำถุงหอมเทศกาลแข่งเรือมังกรมาส่งให้นางด้วยตัวเอง เล่าแผนการของท่านหมอเฝิงให้นางฟัง ท่านอาจารย์มิได้คิดจะปฏิเสธเฉินลั่วและองค์ชายรองตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่าหากตอบรับอย่างยินดีออกหน้าออกตาเกินไป จะทำให้คนทั้งสองเคลือบแคลงสงสัย ถึงได้ประวิงเวลาเอาไว้ก่อน คิดไม่ถึงว่าจะประวิงเวลาจนใต้เท้าจินต้องลงมือ

ตอนนั้นหวังซีเองก็พอจะคาดเดาได้อยู่รางๆ เช่นกัน นางถามอย่างไม่เข้าใจว่า นี่ปู่เฝิงต้องการทำอะไรกันแน่

หากเพื่อชื่อเสียง เริ่มแรกคงไม่พึงพอใจกับการเป็นแค่หมอธรรมดาผู้หนึ่งของสกุลหวังแล้ว

เฝิงเกาคุยเรื่องลับเฉพาะกับหวังซี เจ้าคงรู้เรื่องที่อาจารย์แม่กับศิษย์พี่เสียชีวิตไปนานแล้วนั่นกระมัง ตอนนั้นอาจารย์ปู่ไม่มีบุตรชาย จึงอยากเลือกบุตรเขยจากบรรดาลูกศิษย์มาเป็นผู้สืบทอดความรู้ต่อไป เดิมทีคนที่อาจารย์ปู่ถูกใจคืออาจารย์ลุงใหญ่ของพวกข้า แต่สู้ไม่ได้ตรงที่อาจารย์แม่ชอบท่านอาจารย์ไปแล้ว ต่อมาเป็นท่านอาจารย์ที่ได้แต่งเข้ามาเป็นบุตรเขย เป็นผู้สืบทอดความรู้ของอาจารย์ปู่ ตอนศิษย์พี่อายุสามขวบ ท่านอาจารย์ถูกเชิญตัวไปรักษาผู้ตรวจราชการของซื่อชวนในเวลานั้น ฝีเล็กๆ เพียงตุ่มเดียวเท่านั้น แต่ผู้ใดจะรู้ว่ากลับรักษาอย่างไรก็ไม่หาย ท่านอาจารย์ร้อนใจเป็นอย่างมาก เอาแต่พลิกอ่านตำราแพทย์อยู่ในห้องหนังสือที่บ้านทุกวัน ห่างกันเพียงผนังกั้น อาจารย์แม่กับศิษย์พี่ที่อายุเพียงสามขวบถูกตัดกล่องเสียงอย่างเงียบเชียบและเสียชีวิตอยู่ในห้องนอน วันต่อมาหลังจากที่อาจารย์ปู่ทราบเรื่องแล้วก็หายใจไม่ออก และจากไปทั้งอย่างนั้น ท่านอาจารย์ซึมเศร้าไปทั้งร่าง อาจารย์ลุงและอาจารย์อาสองสามท่านช่วยกันจัดการเรื่องพิธีศพ ผู้ใดจะรู้ว่ากลางดึกจะเกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ขึ้น เผาร้านยามอดไหม้จนไม่เหลือสิ่งใด อาจารย์ลุงและอาจารย์อาสองสามท่านล้วนตายตกอยู่ในอุบัติเหตุไปด้วย

หวังซีเคยได้ยินท่านย่าและมารดาของนางพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าตอนนั้นนางยังเด็ก จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก

บัดนี้เฝิงเกาเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง นางพลันนึกขึ้นมาได้แล้ว

สามสิบกว่าปีแล้ว จนถึงบัดนี้คดีนี้ก็ยังตามหาฆาตกรไม่ได้

ในบรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้องสองสามท่านของท่านหมอเฝิงนั้น มีเพียงศิษย์น้องที่ไปยืมม้านั่งจากเพื่อนบ้านหนึ่งท่านกับท่านหมอเฝิงที่แอบคนไปผูกดอกไม้กระดาษให้ภรรยาอยู่ที่ลานด้านหลังเท่านั้นที่รอดชีวิตมาได้

เสียงของเฝิงเกาเบาลง ท่านอาจารย์สงสัยว่ามีคนวางเพลิงเพื่อปกปิดเรื่องที่เขาลอบสังหารคน สองสามปีแรก ท่านอาจารย์สืบเรื่องของอาจารย์อาที่รอดชีวิตผู้นี้อย่างละเอียด แต่ก็สืบไม่พบความผิดปกติอะไร เนื่องจากร้านยาถูกเผาวอดวายจนแทบไม่เหลืออะไร ทางการก็สืบอะไรไม่ได้เช่นกัน คดีนี้จึงกลายเป็นคดีที่ยังไขคดีไม่ได้…

…เพียงแต่ว่าท่านอาจารย์ยังไม่ถอดใจ ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ยังคงสืบคดีนี้อยู่ตลอด

เพื่ออาศัยเรี่ยวแรงของผู้อื่น ต่อมายังเข้าไปอยู่ที่สกุลหวังด้วย

ประโยคนี้เฝิงเกามิได้พูด ทว่าหวังซีทราบแก่ใจดี

นางถาม ดังนั้นที่ปู่เฝิงออกไปท่องเที่ยว ก็เพราะเรื่องนี้?

อื้ม! เฝิงเกากล่าว ที่มาเปิดร้านยาที่จิงเฉิงก็เกี่ยวพันกับเรื่องนี้เช่นกัน ท่านอาจารย์ลองทำทุกวิถีทางแล้ว ใช้เวลาตามหาโดยรอบหลายปีก็ยังไม่พบฆาตกร ท่านอาจารย์รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้การแล้ว จึงคิดจะไปตามหาที่อื่น แต่เขาอายุมากแล้ว หลายปีมานี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะยืนได้อย่างมั่นคงในจิงเฉิง จะไปซูหัง[1] ก็กลัวว่าจะไร้เรี่ยวแรงและไม่มีเวลาแล้ว จึงตั้งใจถือโอกาสนี้เข้าวัง อาศัยอิทธิพลขององค์ชายรองช่วยตามหาฆาตกรให้เจอ

หวังซีขมวดคิ้ว กล่าวว่า หากเกิดอะไรขึ้นกับเขา พวกเราล้วนสลัดความรับผิดชอบไปไม่ได้ ปู่เฝิงมิใช่คนเช่นนี้ เขาค้นพบอะไรบางอย่างถึงได้ตัดสินใจอย่างกะทันหันใช่หรือไม่ สมองของนางขบคิดอย่างรวดเร็ว นึกถึงเพียงเรื่องนี้แล้ว เฉาอวิ๋นของวัดต้าเจวี๋ยผู้นั้น มิใช่ว่ามีความเกี่ยวพันกับเรื่องในปีนั้นหรอกกระมัง

ท่านหมอเฝิงซื้อเครื่องหอมร้อยบุปผาของผู้อื่นมาเป็นจำนวนมาก ยังเคยกล่าวว่าฝีมือผสมเครื่องหอมของเฉาอวิ๋นคล้ายคลึงกับพ่อภรรยาของเขาเป็นอย่างมากอีกด้วย

ถ้าหากเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสถาบันเดียวกัน เช่นนั้นก็เทียบเคียงกันได้แล้ว

เฝิงเกามองหวังซีด้วยความชื่นชมครั้งหนึ่ง กล่าวว่า เจ้าคาดเดาได้ไม่ผิด เพราะท่านอาจารย์ค้นพบว่าเฉาอวิ๋นผู้นั้นมีความไม่ชอบมาพากลถึงได้ตัดสินใจเข้าวัง ท่านอาจารย์อยากพบเขาหลายต่อหลายครั้งล้วนไม่เป็นผล และที่เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นนักผสมเครื่องหอมอันดับหนึ่งของจิงเฉิงได้ก็เพราะได้รับความโปรดปรานจากหลินอานต้าจ่างกงจู่ การดื้อดึงพุ่งชนเข้าหาหรือใช้กำลังย่อมใช้ไม่ได้ทั้งสิ้น

เช่นนั้นก็ใช้ไม้อ่อนกัน! หวังซีหรี่ดวงตา นางเชื่อว่าท่านหมอเฝิงมิใช่คนประเภทที่ยิงธนูโดยไร้เป้าหมาย เขาถึงกับกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าเฉาอวิ๋นผู้นั้นต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ เจ้าไปบอกท่านหมอเฝิง ทางด้านเฉาอวิ๋นนั้นข้ามีวิธี ส่วนเรื่องเข้าวัง ใช้เวลาขบคิดก่อนค่อยตัดสินใจได้มิใช่หรือ

เฝิงเกายิ้มขื่น กล่าวว่า ท่านอาจารย์ไม่ยอมให้บอกพวกเรา เพราะกลัวว่าเจ้ารู้เรื่องแล้วจะออกหน้าช่วยเหลือเขา เขาไม่อยากให้เจ้าเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

หวังซีกล่าว ต่อให้ข้าไม่ช่วย ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างปู่เฝิงกับครอบครัวของพวกข้า สกุลหวังของพวกข้าจะสลัดตัวให้สะอาดได้หรือ

เฝิงเกาไม่กล่าวสิ่งใด

หวังซีกล่าว เนื่องจากเฉาอวิ๋นผู้นั้นมีชื่อเสียงขึ้นได้มาจากสตรีออกเรือนแล้ว ทั้งยังใช้ชื่อของผู้ละทางโลก ย่อมเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มสตรีออกเรือนแล้วบ่อยๆ อย่างแน่นอน เจ้าดูที่เขาขายถุงหอมให้ห้องเสื้อเมฆาคำนึงได้ก็รู้แล้ว ข้าออกหน้าให้ย่อมสะดวกกว่าคนอื่นๆ พวกเจ้าวางใจเถอะ หากข้าเห็นว่าไม่ชอบมาพากล จะรีบถอยออกมาทันที ไม่มีทางเอาตัวเองไปอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน

ข้อนี้เฝิงเกาเชื่อ

หวังซีกล่าวอีกว่า เฉาอวิ๋นที่ปู่เฝิงสงสัยผู้นั้นเป็นใครหรือ

คืออาจารย์ลุงใหญ่ที่เกือบจะได้แต่งงานกับอาจารย์แม่ผู้นั้น เฝิงเกากล่าว สีหน้าหนักอึ้งเล็กน้อย แต่เดิมเขามีนามว่าเฉิงหลิง เป็นบุตรชายของศิษย์น้องร่วมสถาบันของอาจารย์ปู่ หลังจากศิษย์น้องของอาจารย์ปู่เสียชีวิต อาจารย์ปู่ก็รับเลี้ยงดูเฉิงหลิง เฉิงหลิงติดตามเรียนวิชาแพทย์กับอาจารย์ปู่มาตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญโรคสตรีกับโรคเด็ก ทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยม อายุยี่สิบปีก็พอมีชื่อเสียงที่สู่จงแล้ว…

…เพียงแต่ว่าเขาเป็นคนไม่ค่อยพูด อาจารย์แม่ไม่ค่อยชอบนัก อาจารย์ปู่ไม่มีทางเลือก ถึงได้ตามใจอาจารย์แม่ หลังจากที่อาจารย์พ่อกับอาจารย์แม่แต่งงานกันแล้ว เขายังคงพักอยู่ในบ้านของอาจารย์ปู่โดยตลอด อาจารย์ปู่รู้สึกผิดต่อเขา ยังคิดจะสู่ขอภรรยาให้เขา เปิดร้านยาให้เขาไปอยู่ตามลำพังอีกร้านหนึ่งด้วย หลังเพลิงไหม้ ศพของคนอื่นๆ ล้วนเทียบเคียงตรงกันหมดแล้ว มีเพียงร่างของเขาที่ท่านอาจารย์รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก นอกจากอาจารย์อา คนที่ท่านอาจารย์สงสัยมากที่สุดก็คือเขา ภายในบ้านมีเพียงเขาที่เข้าออกได้ตามใจชอบ นอกจากอาจารย์พ่อ ก็มีเพียงเขาคนเดียวที่มีกุญแจไขหีบเก็บตำรับยาของอาจารย์ปู่ ปีที่สิบหลังจากที่อาจารย์แม่เสียชีวิต มีคนไม่ทราบชื่อสกุลไปปรับปรุงหลุมศพให้เฉิงหลิงใหม่

หวังซีพยักหน้า ถามว่า ปู่เฝิงได้บอกหรือไม่ว่าเหตุใดเขาถึงสงสัยว่าเฉิงหลิงผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นฆาตกรอย่างนั้นหรือ

ถ้าหากเพียงแค่เคียดแค้นปู่เฝิงกับย่าเฝิง คนที่เขาต้องการสังหารควรจะเป็นปู่เฝิงถึงจะถูก? เหตุใดหลังจากสังหารย่าเฝิงสองแม่ลูกและทำให้อาจารย์ของตัวเองโกรธจนสิ้นลมไปแล้ว ยังต้องการสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสถาบันอีกด้วยเล่า

และถ้าเขาต้องการสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสถาบัน เหตุใดต้องเหลือปู่เฝิงคู่อริของเขากับศิษย์น้องอีกผู้หนึ่งไว้ด้วย

หวังซีรู้สึกว่าแผนการสังหารคนของเฉิงหลิงไม่เหมือนคนวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า ดูไม่มีแบบแผน คล้ายลงมืออย่างกะทันหันตามโอกาสสะดวกมากกว่า

เป็นไปตามที่คาด เฝิงเกากล่าวว่า ท่านอาจารย์บอกว่า น่าจะเป็นเพราะตำรา ‘สารพันตำรับแพทย์แห่งความผาสุก’ ที่อาจารย์ปู่เขียนเล่มนั้น

หวังซีไม่เคยได้ยินชื่อตำราเล่มนี้มาก่อน

นางย่นคิ้วขึ้น

เฝิงเกากล่าว ท่านอาจารย์บอกว่า ปีนั้นอาจารย์ปู่อยากเอาเยี่ยงอย่างผู้มีเกียรติก่อนหน้า เขียนตำราสารพันตำรับแพทย์สักเล่มส่งต่อให้คนรุ่นหลัง อาจารย์แม่ช่วยอาจารย์ปู่เรียบเรียงตำรับยาโดยตลอด จากที่ท่านอาจารย์รู้มาคือสำเร็จไปแล้วสามสิบหกม้วน อาจารย์ปู่บอกว่า เชิญสำนักหมอหลวงเขียนคำปรารภให้อย่างเป็นทางการก็เอาไปตีพิมพ์ได้แล้ว คืนที่อาจารย์แม่เสียชีวิตทุกคนต่างตื่นตระหนกกันหมด คิดแต่จะจับมือสังหารให้ได้ ให้ผู้จากไปได้ไปสู่สุคติเท่านั้น ไม่มีใครคิดถึงเรื่องต้องไปสนใจห้องหนังสือเลย ต่อมาหลังจากที่อาจารย์ปู่ได้ยินว่าอาจารย์แม่สองแม่ลูกถูกทำร้ายจนเสียชีวิตตามไปด้วยอีกคนนั้น มีอาจารย์ลุงท่านหนึ่งถามถึงต้นฉบับตำราที่อาจารย์ปู่เขียนว่าผู้ใดเป็นคนเก็บเอาไว้ขึ้นมา ทุกคนถึงได้ค้นพบว่าต้นฉบับหายไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์กับอาจารย์ลุงและอาจารย์อาสองสามท่านยังมีปากเสียงกันด้วย ทุกคนล้วนสงสัยว่าท่านอาจารย์แอบเก็บเอาไว้ ท่านอาจารย์ถึงขุ่นเคืองใจ แอบวิ่งไปผูกดอกไม้กระดาษที่ลานด้านหลังเพียงลำพัง

หวังซีค่อนข้างตกใจ แต่นางยังคงกล่าวด้วยอาการสงบว่า ไม่ว่าจะพูดอย่างไร บัดนี้ปู่เฝิงสงสัยเฉาอวิ๋น พวกเราก็คิดหาวิธีตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเฉาอวิ๋นคือเฉิงหลิงหรือไม่ก็พอ ส่วนเรื่องอื่นรอตรวจสอบให้แน่ชัดแล้วค่อยว่ากันอีกที อย่าให้ไปๆ มาๆ ทำจนเรื่องราวสับสนวุ่นวายไปหมด กลายเป็นว่าตัวเองขุดหลุมฝังตัวเอง

เฝิงเกากล่าว ข้าเคยดมเครื่องหอมที่เฉาอวิ๋นผู้นั้นผสมมาก่อน ต่อให้เฉิงหลิงมิได้เป็นคนทำก็ต้องมีความเกี่ยวพันกับเขาอย่างแน่นอน

หวังซีกล่าว ต่อให้เป็นเช่นนี้ หากปู่เฝิงบอกเรื่องนี้กับข้าตั้งแต่ตอนที่ขอยืมตัวหวังสี่และไป๋จื่อละก็ ไหนเลยจะต้องรอจนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้สถานะของเฉาอวิ๋น? เจ้ากลับไปแล้วต้องเกลี้ยกล่อมปู่เฝิงให้ได้ เรื่องซับซ้อนต้องทำให้ง่าย เรื่องง่ายให้ลงมือทำทันทีถึงจะถูก

…………………………………………………………………

[1] ซูหัง ซูโจวและหังโจว

ตอนต่อไป