เฝิงเกาถอนหายใจ กล่าวว่า น่าจะเป็นเพราะท่านอาจารย์ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดีมากกว่า!
หวังซีกลับสงสัยในตัวเฉิงหลิงขึ้นมา ปู่เฝิงยังพูดอะไรถึงเขาอีกบ้างหรือไม่ เขาเป็นคนเช่นไร หากการเสียชีวิตของย่าเฝิงและคนอื่นๆ มีความเกี่ยวข้องกับเขา เช่นนั้นเขาต้องการเรียกร้องอะไรกันแน่
เฝิงเกายิ้มขื่น ถึงแม้ข้าจะรู้เรื่องนี้ และรู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ยอมวางมือเรื่องตามหาตัวฆาตกรมาโดยตลอดก็จริง ทว่าไม่เคยเอาเรื่องนี้มาผูกโยงกับเฉาอวิ๋นมาก่อน หากมิใช่เพราะหลงจู๊ใหญ่ เกรงว่าข้าอาจรู้น้อยกว่าเจ้าด้วยซ้ำ
ทั้งสองคนถอนหายใจอย่างพร้อมเพรียงกัน
หวังซีถาม ปู่เฝิงได้กล่าวอะไรอีกหรือไม่
ด้านเฉินลั่วกับองค์ชายรอง เกรงว่าคงสลัดทิ้งไม่ง่ายขนาดนั้น
ท่านอาจารย์รู้สึกเสียใจยิ่งนัก เฝิงเกากล่าว แต่จากความคิดของหลงจู๊ใหญ่ หาหมอเลื่องชื่อมาให้พวกองค์ชายรองสักสองสามคน บางทีท่านอาจารย์อาจจะไม่สะดุดตาขนาดนั้นอีก
หวังซีรู้สึกว่าความคิดนี้ดี
ทั้งสองคนพูดถึงเฉิงหลิงกับคดีฆาตกรรมในปีนั้นขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าเวลาไม่เช้าแล้ว เฝิงเกาถึงได้ลุกขึ้นกล่าวขอตัวลา
หวังซีอยากไปวัดต้าเจวี๋ยสักครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่างานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ใกล้เข้ามาแล้ว นางมักจะถูกฮูหยินผู้เฒ่าลากตัวไปย้ำกำชับหลายประโยคบ่อยๆ ไร้พละกำลังและเวลาออกจากบ้านจริงๆ คงได้แต่ต้องรอให้เสร็จจากงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกที
โชคดีที่ทางด้านหลงจู๊ใหญ่มีความคืบหน้าดีมาก
เพียงไม่นานนอกจากเขาจะได้หมอที่ฝีมือไม่เลวแต่เพราะไม่มีประวัติความเป็นมาเลยไม่เป็นนิยมมาสองสามคนแล้ว ยังเริ่มสร้างชื่อเสียงให้พวกเขาอย่างรวดเร็วด้วย เป็นเหตุให้ในชั่วพริบตานั้นในเมืองหากไม่พูดถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของหมอเลื่องชื่อผู้นี้ก็เป็นเรื่องเล่าของหมอเลื่องชื่อผู้นั้น คล้ายกับว่าจู่ๆ ในจิงเฉิงก็มีข่าวหมอช่วยชีวิตคนแพร่สะพัดไปทั่ว
หลังจากหวังซีปรึกษาหารือกับหลงจู๊ใหญ่แล้ว ตัดสินใจเตรียมการเอาไว้สองทาง หวังซีสนใจเรื่องงานวันคล้ายวันเกิดของเป่าชิ่งจ่างกงจู่ไปก่อน ระหว่างนี้หลงจู๊ใหญ่รับผิดชอบไปติดต่อวัดต้าเจวี๋ย ใช้ชื่อของหวังซีระบุไปตามตรงว่าต้องการให้เฉาอวิ๋นเป็นคนให้การรับรอง รอหวังซีเสร็จจากธุระทางด้านนี้แล้ว จากนั้นไปพบเฉาอวิ๋นที่วัดต้าเจวี๋ยพร้อมกับท่านหมอเฝิง หากเฉาอวิ๋นคือเฉิงหลิง ทุกอย่างก็น่าจะไม่ยากแล้ว แต่ถ้าหากไม่ใช่ ค่อยคิดหาวิธีทำให้เฉาอวิ๋นบอกที่มาของสูตรผสมเครื่องหอมอีกที
หวังหมัวมัวรู้สึกว่าเช่นนี้เหมือนเด็กเล่นขายของไปสักหน่อย ถามว่า หากเขาบอกว่าเป็นมรดกตกทอดของตระกูลเล่า
หวังซียิ้มกล่าว เขามิได้เกิดมาจากกระบอกไม้ไผ่เสียหน่อย หากอธิบายออกมาไม่ได้ นั่นถึงเป็นปัญหา!
หวังหมัวมัวคิดๆ แล้วรู้สึกว่ามีเหตุผล จึงวางใจลงมาได้ชั่วคราว ตั้งหน้าตั้งตาช่วยเตรียมเสื้อผ้าเครื่องประดับให้หวังซีสำหรับเข้าร่วมงานเลี้ยง
กระทั่งถึงวันนั้น ไป๋ซู่และคนอื่นๆ ตื่นกันตั้งแต่เช้าตรู่ ล้างหน้าแต่งตัว นำเสื้อผ้าเครื่องประดับสำรองและของว่างสำหรับรองท้องไปด้วย พากันเดินไปที่เรือนของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างยิ่งใหญ่
ซือจูมาถึงแล้ว
ตานหมัวมัวกำลังคุยกับซือหมัวมัวอยู่บนขั้นบันได พอเห็นหวังซีนางอดตกตะลึงไม่ได้
ครอบครัวหวังซีร่ำรวย ตอนเข้าจวนนางสวมชุดอะไรสวมเครื่องประดับอะไร ยามตกเงินรางวัลให้บ่าวไพร่ใจกว้างมากเพียงใดนั้น ล้วนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วทั้งจวนหย่งเฉิงโหว วันนี้เป็นโอกาสได้เผยโฉมหน้าที่ดีมากโอกาสหนึ่ง นางกับซือจูล้วนคิดว่าหวังซีจะแต่งกายอย่างดีที่สุด สวมเครื่องประดับที่ไม่เกินหน้าเกินตาแต่ก็เผยให้เห็นความมั่งคั่งของสกุลหวังเหล่านั้นเสียอีก คิดไม่ถึงว่าการแต่งกายของหวังซีในวันนี้จะธรรมดาสามัญกว่าที่พวกนางคิดเอาไว้มาก
เสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าไหมหังโจวสีเหลืองขิงไร้ลวดลายธรรมดา กระโปรงจีบหน้ากว้างสีเขียวมันวาวปักลายกิ่งดอกไม้พันกันสีเหลืองอ่อน ผมดำสลวยดุจเส้นไหมเกล้าเป็นทรงก้นหอยอย่างง่ายคู่หนึ่ง ประดับปิ่นปักผมดอกไม้ที่ประกอบขึ้นมาจากการติดขนนกกระเต็นสีฟ้าร่วมกับพลอยสีม่วงอ่อน หินโมราสีแดงสด และไข่มุกสีขาว มีเพียงตุ้มหูที่ติ่งหูเท่านั้นที่ดูค่อนข้างมีเอกลักษณ์พิเศษ เป็นไข่มุกทรงหยดน้ำ ความยาวประมาณหนึ่งข้อนิ้ว พบเห็นได้ยากยิ่งนัก
คุณหนูสกุลหวัง! ตานหมัวมัวก้าวออกมาพร้อมกับซือหมัวมัวอย่างไม่ให้ซุ่มเสียง ทำความเคารพหวังซี
หวังซีหันไปพยักหน้าให้พวกนางยิ้มๆ มีซือหมัวมัวเลิกผ้าม่านขึ้นให้ด้วยตัวเอง เดินเข้าไปในห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่ากับซือจูน่าจะเพิ่งรับประทานมื้อเช้าเสร็จ สาวใช้ข้างกายซือจูกำลังช่วยจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้นางใหม่อยู่ ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าเพียงเติมปากใหม่เท่านั้น
พอได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ฮูหยินผู้เฒ่าหันศีรษะมา เอ่ยขึ้นอย่างดีใจว่า วันนี้ต้องชมเชยเจ้า มาเร็วกว่าพวกอาหนิงและอาเหยียนเสียอีก
หวังซีได้โอกาสก็สร้างความดีความชอบให้ตัวเองโดยไม่เกรงใจแม้แต่นิดเดียว เห็นได้ชัดว่าถึงแม้ปกติข้าจะเอื่อยเฉื่อย แต่ในเวลาสำคัญกลับไม่เคยชักช้า ไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเป็นห่วงมาก่อน
ท่านย่าของนางเตือนพวกนางพี่น้องเสมอว่า ทำอะไรไปแล้วก็ต้องทำให้คนอื่นรับรู้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็มิต่างกับแต่งกายงดงามแต่ออกไปเดินกลางดึก ไม่มีความหมายอะไร
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วหัวเราะร่า ดูเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง
ซือจูพลันเข้าใจบ้างแล้วว่าเหตุใดฉังหนิงถึงไม่ชอบหวังซี
ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่นิดเดียว ได้โอกาสสะดวกเมื่อใดก็คว้าเอาไว้หมด มีเรื่องดีขนาดนี้ที่ไหนกัน ผู้ใดจะชอบลง!
นางหันไปพยักหน้าให้หวังซีเล็กน้อย ถือเป็นการทักทาย
หวังซีเองก็ไม่คิดจะคุยอะไรกับนางมาก หยอกเย้าฮูหยินผู้เฒ่าต่อ ชุดพัดของท่านในวันนี้จับคู่กันได้งดงามยิ่ง ทำให้คนมองแล้วนึกถึงทิวทัศน์อันสดใสของฤดูใบไม้ผลิ ข้าตั้งปณิธานเอาไว้ตั้งแต่เด็กแล้วว่า ต่อให้อายุแปดสิบปี ก็ต้องแต่งกายให้สวยสดงดงาม ให้ผู้อื่นเห็นแล้วดวงตาเป็นประกาย ให้พวกลูกหลานต่างเทียบไม่ติด ตอนข้ากล่าวถ้อยคำนี้ท่านแม่ของข้ายังหัวเราะเยาะข้า คิดไม่ถึงว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะคิดเช่นเดียวกันกับข้า ที่แท้วิธีคิดของข้านี้ได้มาจากฮูหยินผู้เฒ่านี่เอง
เนื่องจากเป็นหญิงม่าย ถึงแม้เป็นการไปร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิด ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงสวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าไหมหังโจวสีน้ำเงินครามทอลายค้างคาวอายุมั่นขวัญยืนสีเงินห้าตัว กระโปรงจีบหน้ากว้างสีดำไร้ลวดลายเท่านั้น การที่ในมือถือชุดพัดสีเหลืองอ่อน ชวนให้รู้สึกสดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนเลือกพัดชุดนี้มาด้วยตัวเอง
คนข้างกายฮูหยินผู้เฒ่ารู้ว่าถ้อยคำนี้ของหวังซีกล่าวได้ตรงใจฮูหยินผู้เฒ่าพอดี ต่างพากันหัวเราะเบิกบานตามขึ้นมาด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งแล้วใหญ่ให้ซือหมัวมัวไปหยิบกำไลหยกสีเขียวแพรวพรายชิ้นหนึ่งมาอย่างมีความสุข กล่าวว่า เป็นสินเจ้าสาวของข้า แต่เดิมมีเป็นคู่ แต่หนึ่งในนั้นตกแตกไปแล้ว คนวัยพวกข้าสวมใส่ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไรแล้ว มอบให้เจ้าเอาไปเล่นก็แล้วกัน!
บรรดาคนเป็นภรรยาหรือสะใภ้ที่แต่งงานแล้วเวลาสวมใส่กำไลล้วนชอบสวมเป็นคู่ เด็กสาวมิได้พิธีรีตองมากขนาดนั้น
ผู้ใหญ่ให้รางวัล หวังซีมักจะรับมาด้วยสีหน้ายินดีเสมอ ทำให้ผู้ให้มีความสุขและเบิกบานตามไปด้วย
ฮูหยินผู้เฒ่าถูกหลอกล่อให้มีความสุขจนดวงหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม กำลังคิดว่าประเดี๋ยวจะให้หวังซีนั่งรถม้าไปบ้านข้างๆ คันเดียวกับนางอยู่นั้น ฉังหนิง ฉังเหยียนและฉังเคอสามพี่น้องก็มาถึงพร้อมกัน
ฉังหนิงกับฉังเหยียนล้วนแต่งกายอย่างหรูหราเจิดจรัส เสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวเลื่อมทอง ปิ่นทองฝังพลอย เพียงแต่ว่าปิ่นทองของฉังหนิงฝังพลอยสีกุหลาบ และของฉังเหยียนฝังทับทิมสีแดง ส่วนฉังเคอแต่งกายเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง คล้ายคลึงกับหวังซีเล็กน้อย ล้วนเป็นเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวผ้าไหมหังโจวเรียบร้อยธรรมดา ประดับปิ่นดอกไม้ฝังพลอยสีน้ำเงินและตุ้มหูดอกติงเซียงเล็กๆ เข้ากับนิสัยนิ่งเงียบของนาง แต่ก็เผยความอบอุ่นอ่อนโยนให้เด่นชัดขึ้น
ทั้งสามคนยืนเคียงกัน ไม่มีใครกลบทับลักษณะเด่นของใครเลย
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ส่วนคุณหนูพานมาพร้อมกับโหวฮูหยินและนายหญิงรอง
ฮูหยินทั้งสองท่านแต่งกายตามขนบ คุณหนูพานมีหยกเหอเถียนสีขาวสะอาดเป็นเครื่องประดับชิ้นสำคัญ สวมเสื้อเพ่ยจื่อตัวยาวสีแดงชาดปักลายหางนกเฟิ่งสีทอง ค่อนข้างหรูหรา สีหน้าดูเคร่งขรึมกว่าปกติหลายส่วน
นี่คงเป็นการแต่งกายยามออกจากบ้านของนาง
หวังซีมองแล้วลอบพยักหน้า รู้สึกว่าคุณหนูพานเองก็เป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง
กระทั่งนายหญิงสามและสะใภ้อีกสองท่านมากันครบแล้ว ทุกคนจึงเดินห้อมล้อมเกี้ยวของฮูหยินผู้เฒ่าออกจากประตูข้าง
ซือจูตามติดอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า แสร้งเอ่ยถามถึงบรรดามิตรสหายเก่าแก่ของจวนหย่งเฉิงโหวประหนึ่งคนไม่รู้
ฮูหยินผู้เฒ่าตอบคำถามอย่างเปรมปรีดิ์ ประกอบกับมีฉังหนิงอยู่ด้วย หวังซีจึงค่อยๆ ถูกผลักไปยังตำแหน่งรั้งท้าย
หวังซีลอบยิ้มขัน
นางสืบมาเรียบร้อยแล้ว ซือจูก็ดี สามพี่น้องสกุลฉังก็ดี ล้วนไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงของเป่าชิ่งจ่างกงจู่มานานหลายปีแล้ว เวลานี้มิใช่ว่าควรจะพูดให้น้อยทำให้น้อย ลองดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากันอีกทีหรอกหรือ
ในเมื่อพวกนางต้องการเป็นจุดสนใจ เช่นนั้นก็ให้พวกนางลงสนามไปก่อนเลยก็แล้วกัน
นางเดินไปพร้อมกับฉังเคอ
ฉังเคอกลัวนางรู้สึกไม่ดี กระซิบปลอบโยนนางว่า เจ้าอย่าสนใจพวกนางเลย เมื่อเข้าไปถึงจวนจ่างกงจู่ ผู้ใดสมควรยืนตรงตำแหน่งอะไร ใครควรจะยืนข้างใคร ล้วนมีการจัดเอาไว้อย่างพิถีพิถัน หากพวกนางไม่เคร่งครัด ย่อมมีคนสั่งสอนพวกนาง พวกเราจัดการตัวเองให้ดีก็พอ
นางยังกระซิบที่ข้างหูหวังซีด้วยว่า ไม่ต้องพูดถึงฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเซียงหยางโหว แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิ่งอวิ๋นโหวก็ไม่ตามใจพวกนาง
มีเรื่องเช่นนี้ด้วย?
หวังซีเบิกดวงตาโต เลียนแบบท่าทางของฉังเคอกระซิบถามว่า ฮูหยินผู้เฒ่าของจวนชิ่งอวิ๋นโหวเป็นคนเข้มงวดมากหรือ
ฉังเคอครุ่นคิด ตอบว่า ก็ไม่ถึงขั้นเข้มงวด แค่เป็นคนยึดมั่นในกฎระเบียบ
หวังซีพลันนึกถึงซูเฟยขึ้นมา
ไม่รู้ว่าซือจูเป็นคนฉลาดหรือไม่
นางครุ่นคิด ข้างหูได้ยินเสียงฉังเคอกระซิบขึ้นมาอีกครั้งว่า ไม่รู้ว่าคุณชายใหญ่เฉินจะมากล่าวอวยพรเป่าชิ่งจ่างกงจู่เหมือนเมื่อก่อนอยู่หรือไม่
หวังซีกล่าว น่าจะมากระมัง! ไม่ว่าจะพูดอย่างไร เป่าชิ่งจ่างกงจู่ก็เป็นมารดาเลี้ยงของเขา เบื้องหน้าคงไม่อาจให้ผู้คนเอาไปนินทาได้หรอกกระมัง!
ข้าหมายถึงไม่รู้ว่าเขาจะมาช่วยรับรองแขกอยู่ที่เรือนแถวตะวันตกเหมือนปีก่อนๆ หรือไม่ ฉังเคอแก้มแดงเล็กน้อย กล่าวว่า เมื่อก่อนเขาเคยช่วยจ่างกงจู่รับรองแขกสตรี
จวนหย่งเฉิงโหวไว้ทุกข์สามปี คำว่าเมื่อก่อนที่กล่าวมา อย่างน้อยก็คงเป็นเรื่องเมื่อสามปีก่อนแล้ว
หวังซีกล่าว ตอนนั้นคุณชายใหญ่เฉินน่าจะยังเด็กอยู่กระมัง
บัดนี้โตแล้ว ก็ต้องเลี่ยงออกไป
จริงด้วย! ฉังเคอถอนหายใจ พลางกล่าว ข้าอยากเห็นเหลือเกินว่าตอนนี้เขาหน้าตาเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!
ไม่รู้จะตอบอย่างไรดีแล้ว
หวังซีกะพริบตาปริบๆ
แม้นจวนจ่างกงจู่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน กลุ่มสตรีหนึ่งกลุ่มของพวกนางยังคงนั่งรถม้าไปอยู่ดี
รถม้าจอดตรงหน้าประตูชั้นใน หมัวมัวที่มีหน้าที่รับรองแขกมารออยู่ตรงนั้นนานแล้ว เดินนำพวกนางไปยังสถานที่รับรองแขก
หวังซีมองซือจูครั้งหนึ่ง
เป็นอย่างที่ฉังเคอกล่าวเอาไว้ นางเดินตามอยู่ด้านหลังของนายหญิงทั้งสองสามท่าน มิได้พยายามเดินอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าเหมือนตอนออกจากบ้าน
เห็นได้ชัดว่ากฎระเบียบบางอย่างก็ไม่เลวนักเช่นกัน!
หวังซีพึมพำอยู่ในใจ เดินเข้ามาในห้องโถงรับรองที่ประดับประดาด้วยดอกไม้สดและส้มหัตถ์พระพุทธเจ้าห้องหนึ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นๆ นั่งลงตามลำดับอาวุโส สาวใช้เด็กสวมเสื้อกั๊กสีกรมท่าเป็นเครื่องแบบเหมือนๆ กัน ทุกคนต่างเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ยกน้ำชาและของว่างเข้ามาอย่างเบามือเบาเท้า
หมัวมัวที่เดินนำพวกนางเข้ามากล่าวกับฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มๆ ว่า จ่างกงจู่ต้องรับรองแขกคนสำคัญจากวังหลวง ลำบากท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่ไปก่อน ด้านซ้ายมือของท่านจัดไว้สำหรับสตรีจากจวนเซียงหยางโหว ส่วนด้านขวามือสำหรับสตรีจากจวนเจียงชวนป๋อ สตรีจากจวนเจียงชวนป๋อมาถึงกันแล้ว แต่สตรีจากจวนเซียงหยางโหวยังมาไม่ถึง
ตามหลักแล้ว โดยปกติคนที่ยิ่งมีสถานะสูงก็ยิ่งมาถึงช้า
หวังซีขุดค้นข้อมูลของจวนเจียงชวนป๋ออยู่ในหัว
ที่จิงเฉิงตระกูลของพวกเขาเป็นผู้ดีเก่าชั้นสองมาโดยตลอด ไม่เคยมีคนโดดเด่นอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็ได้รับสืบทอดบรรดาศักดิ์และมีตำแหน่งงานที่ค่อนข้างมีอำนาจจริงๆ มาโดยตลอดเช่นกัน จำนวนคนในตระกูลก็คล้ายไม่มากมายเท่าไรนัก มาถึงคนรุ่นนี้ นอกจากฮูหยินผู้เฒ่าที่เป็นแม่ม่ายกับเจียงชวนป๋อที่เป็นพ่อม่ายแล้ว เจียงชวนป๋อฮูหยินที่จากไปเมื่อสิบปีก่อนได้ทิ้งบุตรชายจากภรรยาเอกหนึ่งคนและบุตรสาวจากภรรยาเอกอีกหนึ่งคนเอาไว้
นางอดถามฉังเคอไม่ได้ว่า เจียงชวนป๋อมีอนุภรรยาหรือไม่
เพื่อมิให้บุตรชายหญิงจากภรรยาเอกถูกรังแกแล้ว คนที่ไม่แต่งงานใหม่ก็มี แต่โดยปกติล้วนมีอนุภรรยาช่วยดูแลงานในบ้านให้
ฉังเคอส่ายศีรษะ ไม่รู้! บ้านพวกเขามีเรื่องอะไรล้วนเป็นฮูหยินผู้เฒ่าของจวนเจียงชวนป๋อนำคุณชายใหญ่และคุณหนูใหญ่ของพวกเขาออกหน้าไปจัดการทั้งสิ้น
หวังซีฟังแล้วลูบคางเบาๆ
ตระกูลเจียงชวนป๋อนี้ ต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ
……………………………………………………………….
ตอนต่อไป