ตอนที่ 6 มีเด็กหนุ่มหล่นมาจากฟ้า
พอได้ยินคำว่า ‘หมูป่า’ แล้วหลงจู๊หานก็ตื่นตัวขึ้นมาทันที หรือสวรรค์จะเมตตาเขาแล้ว สวรรค์คงทนไม่ได้ถ้าเขาต้องไปจากหอจุ้ยเซียนที่ทำงานรับใช้มานานกว่าสิบปี
“น้องชาย หมูป่าที่เจ้าเอ่ยถึงอยู่ที่ใด ? แล้วเหตุใดนายพรานหวังไม่มาด้วยตนเอง ? ” หลงจู๊หานเกิดความไม่พอใจในตัวพรานหวัง เพราะที่ผ่านมาพรานป่าผู้นี้ล่าสัตว์ป่ามาส่งให้เขาตลอด แต่ระยะนี้มิได้เห็นหน้ามานานกว่าสามวันแล้วจึงทำให้คาดมิถึงว่าจะได้ลาภก้อนโตเช่นนี้ !
หลินเว่ยเว่ยมองสีหน้าของหลงจู๊ออก เมื่อตระหนักได้ว่าตนจะขายเนื้อหมูป่าได้สำเร็จแล้วนางจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุงหวังมิได้เป็นคนไปล่าหมูป่าด้วยตนเอง แต่มันโดนทุบตายเมื่อเช้านี้ ตอนนี้ยังสดใหม่อยู่ ! หลงจู๊สนใจหรือไม่ ? ”
หากมิใช่ฝีมือของพรานหวัง หรือว่าจะเป็นฝีมือของเจ้าหนุ่มน้อยผู้นี้ ? แต่ช่างมันเถิด ผู้ใดจะฆ่ามันตายก็ช่าง ขอแค่วันนี้เขาได้ซื้อเนื้อหมูป่าก็พอแล้ว !
หลงจู๊หานจึงกล่าวพร้อมเผยรอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้า “ในเมื่อหวังต้าแนะนำเจ้ามา ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องไว้หน้าเขาเสียหน่อย เจ้าลองดูว่าพอใจหรือไม่ ตามท้องตลาดจะให้ราคาเนื้อหมูป่าอยู่ที่ชั่งละ 18 อีแปะ แต่ข้าให้เจ้า 20 อีแปะ ดีหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยลองคำนวณตามในใจ หมูป่าที่นางฆ่าตายน่าจะมีน้ำหนักอย่างน้อย 500 ชั่ง หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่านางสามารถขายหมูป่าได้ในราคา 10 ตำลึง ( 1,000 อีแปะเท่ากับ 1 ตำลึงเงิน ) ท่านหมอเหลียงบอกว่ายาที่ใช้บำรุงร่างกายของท่านแม่ชุดละประมาณ 30 อีแปะ เช่นนี้คงเพียงพอให้ท่านแม่มีสมุนไพรไว้บำรุงไปอีกพักใหญ่
หลงจู๊หานเห็นว่าอีกฝ่ายมิกล่าวอันใดออกมาจึงคิดว่าไม่พอใจกับราคานี้ เขาจึงรีบเอ่ยว่า “นี่เป็นราคายุติธรรมที่สุดแล้ว ราคาหมูสดข้างนอกแค่ 15 อีแปะเท่านั้น ข้ารู้ว่าตอนนี้การล่าหมูป่าสักตัวมิใช่เรื่องง่าย เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเพิ่มให้อีกชั่งละ 2 อีแปะ เจ้าว่าอย่างไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยกะพริบดวงตากลมโต นางแค่กำลังคำนวณเงินที่จะได้รับ แต่ผลปรากฏว่าหลงจู๊ใจดีเพิ่มราคาให้อีกชั่งละ 2 อีแปะ หลงจู๊คนนี้ดูท่าว่าจะทำธุรกิจไม่รอดแน่ มีอย่างที่ไหนใจร้อนถึงขั้นเพิ่มราคาให้สินค้าอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หากเป็นคนอื่นคงพยายามกดราคาแทบตายแล้ว
หลินเว่ยเว่ยตระหนักได้ว่าต้องผูกสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ให้ดีสำหรับการซื้อขายครั้งแรกเพราะหลังจากนี้จะได้เจรจาซื้อขายได้ราบรื่นกว่าเดิม ดังนั้นนางจึงพยักหน้ารับแล้วกล่าวว่า “หลงจู๊เป็นคนใจคอกว้างขวาง ลุงหวังเอ่ยไว้ไม่ผิดจริงด้วย ! หมูป่าของข้าค่อนข้างตัวใหญ่ มิรู้ว่าจะถูกจริตกับรสชาติอาหารของหอจุ้ยเซียนหรือไม่ ? ”
หลงจู๊หานได้ยินดังนั้นก็ดีใจยกใหญ่ “ได้สิ ! ตัวใหญ่เพียงใด พวกข้าก็รับซื้อ ! ”
“ดีเหลือเกิน หลงจู๊ ท่านรออยู่ที่นี่สักครู่แล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยออกไปจากหอจุ้ยเซียน จากนั้นก็ไปหามุมลับตาคนแล้วนำหมูป่าออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณและแบกมันขึ้นบ่าโดยเดินไปที่ประตูทางเข้าหอจุ้ยเซียน
ตลอดทางนางได้ดึงดูดสายตาของชาวบ้านจำนวนมิน้อย เพราะยังไม่เคยมีชาวบ้านคนใดพบเห็นหมูป่าตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อน ! สิ่งที่ทำให้ชาวบ้านเหล่านี้แทบไม่อยากเชื่อก็คือมีคนที่สามารถแบกหมูป่าตัวใหญ่น้ำหนักหลายร้อยชั่งได้ด้วย ซึ่งมันเป็นภาพที่พบเห็นได้ยากยิ่ง !
มีชาวบ้านบางคนอยากรู้อยากเห็นจึงเดินตามหลินเว่ยเว่ยมาที่หน้าประตูหอจุ้ยเซียน หลงจู๊หานที่เห็นขนาดของหมูป่าก็ถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง เจ้าหนุ่มคนนี้อายุยังไม่มาก รูปร่างก็มิได้สูงมากนัก ทว่ามีพละกำลังเหลือหลาย นั่นคือหมูป่าทั้งตัวที่ยังไม่ได้แล่เนื้อเชียวนะ !
หลินเว่ยเว่ยอยากรู้ว่าภายในใจของอีกฝ่ายกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ทำสีหน้าท่าทางเช่นนี้เพราะต้องการบอกว่าข้าอ้วนใช่หรือไม่ ? ควรเรียกว่าคนมีกำลังวังชาต่างหาก ! แม้ว่า…เจ้าของร่างเดิม ‘ตัวใหญ่บึกบึน’ ไปหน่อยก็เถิด เฮอะ ! คนอื่นทะลุมิติมาเป็นสตรีที่งดงาม เหตุใดข้าต้องทะลุมิติมาเป็นคนโง่งมตัวอ้วนใหญ่ด้วยเล่า !
ไม่เป็นไร ! แม้จะอ้วนแต่ก็ยังลดน้ำหนักได้ ขนาดคนอื่นหนักกว่าร้อยจินยังสามารถลดน้ำหนักได้กว่าครึ่ง รูปร่างของข้าในตอนนี้หากลดได้สักยี่สิบถึงสามสิบจินก็ผอมบางแล้วไม่ใช่หรือ ?
ถึงอย่างนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ยังรู้สึกทอดถอนใจอยู่มิน้อย ทั้งที่ครอบครัวยากจนเกือบไม่มีข้าวกิน เหตุใดเจ้าของร่างเดิมจึงกลายเป็นคนอ้วนเสียได้ ? อย่าบอกว่าตระกูลหลินเลี้ยงเจ้าของร่างเดิมจนครอบครัวสิ้นเนื้อประดาตัว ?
หลงจู๊หานพาคนจากหลังครัวเข้ามา เขาตั้งใจที่จะให้หมูป่าอยู่ตรงหน้าประตูร้านโดยเฉพาะ ขณะนี้บรรดาชาวบ้านที่มามุงดูเริ่มมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นเป็นเพราะเขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าที่หอจุ้ยเซียนมีเมนูอาหารป่ามาใหม่อีกแล้ว ทั้งยังเป็นเมนูหมูป่าที่ยามปกติทุกคนแทบไม่มีโอกาสได้ทาน
ขณะนี้เลือดบนหัวของหมูป่าเปียกชุ่มลานหน้าหอจุ้ยเซียน สิ่งนี้หมายความว่าอย่างไรน่ะหรือ? มันก็หมายความว่าหมูป่าตัวนี้ถูกล่ามาอย่างสดใหม่น่ะสิ ! เป็นไปอย่างที่เจ้าหนุ่มน้อยกล่าวเอาไว้ไม่มีผิด หมูป่าตัวนี้เพิ่งถูกล่ามาจริงด้วย !
หลินเว่ยเว่ยถือโอกาสนี้พิสูจน์ความสามารถในการเก็บรักษาความสดใหม่ของมิติน้ำพุวิญญาณ ต่อไปนี้นางไม่ต้องกังวลว่าสัตว์ที่ล่ามาได้จะเน่าเสียไปก่อน !
หมูป่าตัวนี้หนัก 536 ชั่ง หลงจู๊หานเห็นเช่นนั้นก็ดีอกดีใจยกใหญ่ เขาจึงปัดเศษขึ้นให้นาง ทำให้หลินเว่ยเว่ยได้เงินมาถึง 11 ตำลึงกับ 800 อีแปะ
เมื่อได้เงินมาแล้วนางจึงวิ่งไปที่ร้านขายยาก่อนเป็นอันดับแรก แล้วซื้อยาตามใบสั่งยาที่หมอเหลียงเขียนให้ทั้งหมด 10 ชุด ขณะที่นางกำลังจะไปหาซื้อของกิน ระหว่างทางได้เดินผ่านร้านเกี๊ยวและจู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าก้าวขาไม่ออก !
นับตั้งแต่ที่นางทะลุมิติมาก็เพิ่งได้ทานบะหมี่ไปเพียงครึ่งชามเท่านั้น เวลานี้นางจึงหิวจนขาเริ่มอ่อนแรงและตาลาย !
ต่อให้ท้องฟ้าหรือแผ่นดินใหญ่เพียงใด แต่เรื่องกินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่กว่าสำหรับนาง ! หลินเว่ยเว่ยนั่งลงที่ร้านแผงลอยขายเกี๊ยวโดยได้สั่งเกี๊ยวน้ำมา 2 ชามแล้วซื้อซาลาเปาจากร้านข้างเคียงมาอีกหลายลูก ก่อนที่จะทานเข้าไปโดยไม่สนฟ้าสนดิน
นางทานเกี๊ยวน้ำหมดสองชามภายในชั่วพริบตา จากนั้นก็ทานซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ไปอีกสองสามลูกจึงรู้สึกอิ่มท้องขึ้นมาบ้าง แต่แล้วนางก็ต้องทอดถอนใจเมื่อตระหนักได้ว่าเป็นเพราะเจ้าของร่างเดิมทานจุ ครอบครัวถึงได้เลี้ยงดูจนยากจนเช่นนี้ แถมยังทานจนตัวอ้วนพุงพลุ้ยอีกด้วย !
หลินเว่ยเว่ยกำลังสับสนกับซาลาเปาในมือ ตอนนี้นางกำลังคิดว่าจะทานมันลงไปหรือพอแค่นี้ ? สุดท้ายนางก็ตัดสินใจทานซาลาเปาจนหมดเพราะคนเราต้องกินอิ่มถึงจะมีแรงลดน้ำหนัก !
หลังทานเกี๊ยวน้ำไป 2 ชามและซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่อีก 5 ลูก หลินเว่ยเว่ยจึงลูบหน้าท้องของตนอย่างเบิกบานใจแล้วหิ้วห่อยาสมุนไพรเดินไปยังร้านขายข้าวและธัญพืช
ทว่าตอนที่นางเดินผ่านร้านติ่มซำแห่งหนึ่งก็พบว่าที่หน้าประตูร้านมีกลุ่มคนกำลังยืนมุงดูบางอย่างอยู่เต็มไปหมด มือของพวกเขาชี้ไปบนชั้นสองเป็นพัลวันแต่หลินเว่ยเว่ยมิได้คิดเข้าไปร่วมวงด้วย ในขณะที่นางกำลังตัดสินใจเดินอ้อมออกไปก็ได้กลิ่นหอมหวานเย้ายวนจากร้านติ่มซำจึงทำให้นึกถึงน้องชายตัวน้อยขึ้นมา ดังนั้นนางจึงตัดสินใจเดินเข้าไปในร้าน
นางซื้อเค้กข้าวมาจำนวนหนึ่งและในขณะที่กำลังจะเดินออกจากร้านติ่มซำ ทันใดนั้นฝูงชนรอบ ๆ ก็พากันกรีดร้องและถอยห่างออกไป ราวกับว่าพวกเขาได้พบเห็นภัยพิบัติใหญ่หลวงอย่างไรอย่างนั้น
จังหวะที่นางกำลังเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่นั้นก็รู้สึกราวกับว่ามีเงาดำตกลงมาที่ศีรษะของตน ในตอนที่นางเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาตญาณก็เห็นบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายมนุษย์ตกลงมาจากด้านบน ด้วยความตกใจ นางจึงยื่นมือออกไปโดยมิรู้ตัว
ฝูงชนที่มองดูเหตุการณ์บางคนก็เอามือปิดตาด้วยความตกใจ บางคนก็มองไปยังหลินเว่ยเว่ยที่กำลังจะถูกทับด้วยแววตาเห็นอกเห็นใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีหลายคนที่แต่งตัวคล้ายบ่าวรับใช้ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ คุณชาย คุณชายขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเสียงทั้งหมดก็เงียบสงบราวกับว่าถูกตัดขาดออกไป…นี่พวกเขากำลังพบเห็นสิ่งใดหรือ ? ผู้เคราะห์ร้ายที่ตกลงมาจากชั้นสองของร้านถูกมือเพียงข้างเดียวของคนผู้หนึ่งรับเอาไว้ มือของเด็กหนุ่มตัวอ้วนยังดีอยู่หรือไม่ ? หรือว่ากระดูกข้อมือหักไปเสียแล้ว ?
“อ๊ากกกก” ลู่เหวินจวินหลับตาแน่นในขณะที่ร้องตะโกนออกมาเพื่อเตรียมรับความเจ็บปวดจากการตกจากที่สูง ตอนนี้เขารู้สึกเสียใจเหลือเกิน เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านั้นกำลังท้าทายและยั่วยุตน แล้วเหตุใดเขาต้องยอมปีนขึ้นไปเก็บลูกชูจวี่1ที่ติดอยู่ตรงยอดอาคารแห่งนี้ด้วย ? มันก็แค่ลูกชูจวี่รุ่นใหม่ล่าสุดมิใช่หรือ ? กลับไปที่เมืองหลวงค่อยให้ท่านพ่อกับท่านแม่หรือไม่ก็ให้พวกพี่สาวซื้อให้เล่นก็ได้ !
ข้าต้องโชคร้ายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? พอปีนขึ้นไปแล้วเท้าก็ดันลื่นตกจากยอดอาคารชั้นสอง หากไม่ตายก็ต้องพิการเป็นแน่ ยามนี้ในบรรดาผู้สืบทอดตระกูลมีเพียงข้าคนเดียวที่้ยังไร้คู่ หากข้าประสบเคราะห์ร้ายขึ้นมา ท่านแม่และพี่สาวต้องร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดและท่านพ่อก็คงโมโหจนผมขาวขึ้นเต็มศีรษะเป็นแน่ !
ฮึกฮึก ฮือ! ข้าเพิ่งอายุ 17 ปี ยังเป็นเยาวชนวัยรุ่งโรจน์ทั้งยังมิทันได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ความรักอันหอมหวานเลยด้วย หรือข้าต้องมาตายในเขตเล็กๆ ที่แสนทุรกันดารเช่นนี้ ท่านแม่ ข้าขอโทษ ข้าไม่อาจตอบแทนบุญคุณของท่านได้แล้ว…
“เจ้าจะร้องไปถึงไหน ? ลงมาได้แล้ว ! ” ทันใดนั้นที่ข้างหูของเขาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นราวกับว่าเจ้าของเสียงกำลังหงุดหงิดขั้นสุด
เอ๋ ! ข้ายังมิตายใช่หรือไม่ ? แต่ข้าตกมาจากด้านบนมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้… ลู่เหวินจวินตระหนักได้จึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ทันใดนั้นก็พบกับใบหน้าแสนอวบอ้วนที่อยู่ชิดกับใบหน้าของตนมาก ด้วยความตกใจเขาจึงตะโกนขึ้นว่า “เจ้าคือใคร ? ”
1 ชูจวี่ ( 蹴鞠 ) เป็นการละเล่นหรือกีฬาชนิดหนึ่งของจีนโบราณที่มีลักษณะการเล่นคล้ายกับฟุตบอลในยุคปัจจุบัน
ตอนต่อไป