ตอนที่ 7 เจ้าอ้วนจอมโง่ถูกมัดติดประตู

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 7 เจ้าอ้วนจอมโง่ถูกมัดติดประตู

“ก่อนที่เจ้าจะสนใจว่าข้าคือใคร ช่วยลงไปจากตัวข้าก่อนได้หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยอย่างหมดความอดทนเพราะลำคอของนางโดนสองแขนของอีกฝ่ายกอดไว้เสียแน่น ขาก็ถูกหนีบเอาไว้อีก ไหนจะข้างหูที่มีเสียงคร่ำครวญและเสียงตัดพ้อดังไม่หยุด มิว่าผู้ใดก็คงทนไม่ไหวเช่นเดียวกันโดยเฉพาะตอนที่เค้กข้าวในมือของนางโดนทับจนเละมองไม่เห็นสภาพเดิม

เวลานี้ลู่เหวินจวินจึงตระหนักได้ว่าตนกำลังกอดคอหนีบขาผู้อื่นเอาไว้ ดังนั้นจึงรีบชักมือกลับแล้วผละออกจากกายอีกฝ่ายทันทีพร้อมใบหน้าที่ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย

“คุณชาย…” บ่าวทั้งสองคนร้องไห้ปานจะขาดใจในขณะที่เดินปรี่เข้ามาตรวจดูว่าเจ้านายเป็นอันใดหรือไม่ เมื่อเห็นว่าลู่เหวินจวินมิได้รับบาดเจ็บอันใดพวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “โชคดีเหลือเกินที่ชายหนุ่มคนนี้ช่วยคุณชายเอาไว้ขอรับ”

คนอื่นพอเห็นว่าคุณชายตกลงมาต่างพากันถอยห่างอย่างรวดเร็ว ! ขนาดพวกที่ชอบติดสอยห้อยตามมาดื่มกินกับคุณชายรวมถึงพวกที่ชอบมาหลอกให้คุณชายซื้อของก็พากันหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว ถ้ากลับไปครั้งนี้ต้องเรียนฮูหยินและคุณหนูทั้งหลายให้ไปจัดการกับเพื่อนร่วมชั้นที่มิได้เรื่องเหล่านั้นของคุณชาย !

หากพวกเขามิได้เดิมพันกับคุณชายแล้วท้าทายให้คุณชายขึ้นไปเก็บลูกชูจวี่ คุณชายจะมาเผชิญเรื่องอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร ? ถ้าเกิดคุณชายเป็นอันใดขึ้นมาแล้ว พวกตนทั้งสองคงถูกฝังกลบไปพร้อมเจ้านาย ! พี่ชายตัวอ้วนท่านนี้เปรียบเสมือนเทพเจ้าผู้ช่วยชีวิตคุณชายของข้าเอาไว้ !

ลู่เหวินจวินพอจะจับใจความได้จากคำคร่ำครวญของบ่าวทั้งสองว่าตนได้ถูกน้องชายรูปร่างบึกบึนช่วยไว้ เอ่อ…เจ้าอ้วนผู้นี้มองผิวเผินแล้วน่าจะยังมีอายุไม่มาก คงมิได้อายุมากกว่าข้าใช่หรือไม่ ?

หากอีกฝ่ายกล้าเรียกนางว่า ‘เจ้าอ้วน’ หลินเว่ยเว่ยต้องจับเขาโยนขึ้นไปที่ชั้นสองอีกครั้งโดยไม่สนใจความเป็นความตายของเขาอย่างแน่นอน

“มิทราบว่าน้องชายมีนามว่าอันใด ? ข้ายังต้องพักอยู่ที่เขตเริ่นอันอีกหลายวัน น้องชายได้โปรดทิ้งที่อยู่ไว้ให้ข้าด้วย เพราะวันข้างหน้าข้าต้องไปขอบคุณน้องชายถึงที่แน่นอน ! ” แม้ว่าลู่เหวินจวินมีนิสัยไม่ค่อยสนใจสิ่งใด แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าบุญคุณแม้เพียงน้ำหยดเดียวก็ควรตอบแทนให้ได้ดุจสายธาร

เขารู้ดีว่าหากมิได้น้องชายท่านนี้ใช้มือรองรับตัวของเขาเอาไว้แล้วปล่อยให้เขาตกพื้นไปทั้งอย่างนั้น ถ้าไม่ตายก็คงพิการแน่นอน ! พอคิดเช่นนี้เขาก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที !

ดูเหมือนว่าลู่เหวินจวินนึกอันใดขึ้นได้ ดวงตาคู่โตของเขาจึงทอประกายขึ้นมาทันทีขณะมองไปยังหลินเว่ยเว่ย จังหวะเดียวกันเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ “น้องชาย เจ้าแข็งแรงและมีพละกำลังยิ่งนัก ! แม้ว่าข้าไม่อ้วนแต่ก็มีน้ำหนักไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ข้าตกมาจากที่สูงถึงเพียงนี้ แต่เจ้าสามารถรับตัวข้าไว้ได้อย่างง่ายดาย เจ้าช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน ! ”

หลินเว่ยเว่ยมองไปยังเค้กข้าวที่ถูกทับจนแบน แม้ว่ารูปร่างของมันจะไม่น่าดูอีกต่อไป ทว่ารสชาติคงมิได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่รู้ว่าเจ้าหนูน้อยที่บ้านจะรังเกียจหรือไม่…

ลู่เหวินจวินเห็นท่าทีของอีกฝ่ายจึงมองตามสายตาไป และทันใดนั้นเขาก็รีบหันไปสั่งบ่าวของตนทันที “ขนมของผู้มีพระคุณโดนทับจนแบนหมดแล้ว พวกเจ้าไปซื้อขนมทุกชนิดมาอย่างละ 2 ชั่ง ! ”

“มิต้องหรอก ! ” ในตอนนี้หลินเว่ยเว่ยเงยหน้าขึ้นมองสบตากับอีกฝ่าย เห็นว่าชายหนุ่มผู้นี้สวมใส่ชุดสีฟ้าปักลายใบไผ่สีเขียวอ่อน บริเวณเอวแขวนจี้หยกที่ส่องประกายเงาวับเอาไว้ เกรงว่ามีราคาอยู่มิน้อย

ชายหนุ่มผู้สวมชุดสีฟ้า มองแล้วน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี เขามีใบหน้าคมเข้ม คิ้วหนา ตาโตและบนใบหน้าก็มีรอยยิ้มจริงใจประดับไว้ มองแล้วน่าจะเป็นบุรุษที่มีนิสัยร่าเริงสดใส

ตอนที่อยู่ในโลกอนาคต นางเคยอ่านนิยายที่นางเอกทะลุมิติมาแล้วได้เผชิญเส้นทางรักของตน บ้างก็เจอชายหนุ่มที่เป็นวีรบุรุษและมีเงินทองมั่งคั่ง บ้างก็หล่อเหลือร้ายจนแทบใจละลาย บ้างก็อบอุ่นและใจเย็นประดุจสายน้ำ บ้างก็หลงภรรยาจนเกินเยียวยา…หรือเขาคนนี้จะเป็นเนื้อคู่ของข้า ?

‘หน้าตาก็พอไปวัดไปวาได้ ดูจากเสื้อผ้าและการแต่งกายแล้วที่บ้านคงมีฐานะอยู่เหมือนกัน แต่เหตุใด…ถึงรู้สึกเหมือนว่าเขาขาดบางสิ่งบางอย่างไป ไม่เห็นว่าฉันจะรู้สึกหวั่นไหวตั้งแต่แรกพบด้วยเลย ! ’

แต่ก็ช่างเถิด เนื้อคู่พอถึงเวลาประเดี๋ยวก็มาเอง ตอนนี้ที่บ้านจะอดตายกันอยู่แล้วสิ่งที่ต้องรีบทำก็คือซื้อธัญพืชและอาหารกลับไปที่บ้าน เพื่อที่ท่านแม่จะได้มิต้องทนหิวจนท้องร้อง เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางจึงหันไปพยักหน้าให้ชายหนุ่มในชุดสีฟ้า จากนั้นก็รีบแหวกฝูงชนออกไปแล้วเดินไปตามถนนที่คดเคี้ยวสักพักจนหายวับไปจากสายตาของอีกฝ่าย

ลู่เหวินจวินเห็นดังนั้นจึงรีบแหวกฝูงชนออกไปเพื่อจะถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามและถิ่นที่อยู่ของอีกฝ่าย เขาตั้งใจว่าจะเลือกโอกาสเหมาะสมเพื่อไปขอบคุณถึงที่ ทว่าพอแหวกฝูงชนออกไปได้ก็พบว่าผู้มีพระคุณได้หายไปแล้ว

“คุณชาย ดูเหมือนว่าชายหนุ่มคนเมื่อครู่ไม่ต้องการให้ท่านตอบแทนบุญคุณขอรับ ! ” เหมือนว่าบ่าวทั้งสองคนได้เปลี่ยนตัวตนให้กลายเป็นผู้สนับสนุนหลัก ( แฟนคลับ ) ของชายหนุ่มตัวอ้วนเมื่อครู่ไปเสียแล้ว แต่มองจากเสื้อผ้าของอีกฝ่ายที่ทั้งถูกซักจนซีดขาว ไหนจะรอยปะแล้วปะอีก เกรงว่าที่บ้านคงมิได้ร่ำรวย ทว่าอีกฝ่ายกลับช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามเพื่อให้ได้ตามไปตอบแทนบุญคุณภายหลัง ช่างเป็นผู้ประเสริฐเหลือเกิน !

ทางด้านหลินเว่ยเว่ยได้ถามชาวบ้านในละแวกนั้นถึงที่ตั้งของร้านขายยาสมุนไพร จากนั้นนางก็ให้ที่ร้านจัดยาสมุนไพรบำรุงตามใบสั่งยาของหมอเหลียงเพื่อให้มารดาได้ดื่มบำรุงทุกวัน หลังจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วก็รีบตรงไปยังร้านขายธัญพืชและข้าวทันที !

นางได้จัดแจงซื้อเส้นหมี่ขาว 50 ชั่ง แป้งข้าวโพด 50 ชั่ง ข้าว 20 ชั่งและลูกเดือยอีก 10 ชั่ง ส่วนวัตถุดิบไม่มีคุณค่าด้านสารอาหารซึ่งที่บ้านทานเป็นประจำนั้น หลินเว่ยเว่ยตัดสินใจไม่ซื้อกลับไปแม้แต่ชั่งเดียว ตอนนี้นางไม่ขาดแคลนเงินทอง แล้วเหตุใดต้องยอมทานของที่บั่นทอนสุขภาพและกระเพาะอาหารด้วย ?

ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้เขตเริ่นอันได้ประสบปัญหาภัยแล้งซึ่งถือว่าเป็นปีที่เลวร้ายมากสำหรับการทำไร่ทำนา จึงเป็นเหตุให้ราคาธัญพืชเพิ่มสูงมากกว่าเท่าตัว ตอนนี้ราคาเส้นหมี่ขาวอยู่ที่ชั่งละ 20 อีแปะ แป้งข้าวโพดราคาชั่งละ 10 อีแปะ ส่วนข้าวและลูกเดือยยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเพราะลำพังแค่ชั่งเดียวก็มีราคาสูงถึง 30 อีแปะและ 28 อีแปะตามลำดับ ดังนั้นหลังจากซื้อธัญพืชและวัตถุดิบพวกนี้มากว่าร้อยชั่งจึงทำให้นางต้องจ่ายไปมากถึงสองตำลึงกว่า !

แต่ไม่เป็นไรหรอก ต่อให้เงินหมดก็ยังสามารถหาใหม่ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการบำรุงร่างกายของมารดาให้กลับมามีสุขภาพดีเสียก่อน ไหน ๆ ชาตินี้ก็ได้มีแม่ที่คอยรักและห่วงใยเหมือนคนอื่นแล้ว นางจะปล่อยให้มารดาผู้ทุ่มเทเพื่อครอบครัวต้องมาตายต่อหน้าต่อตาได้เช่นไร ?

หลังจากซื้อธัญพืชและวัตถุดิบอื่น ๆ เสร็จแล้ว นางก็มาที่ร้านขายเนื้อ จากนั้นนางก็จัดแจงซื้อขาหมู 2 ชั่งและเมื่อเห็นกระดูกกองใหญ่ที่ร้านมิได้นำมาขายต่อ นางจึงขอซื้อกลับมาด้วยเพราะไม่ว่าอย่างไรรสชาติของน้ำซุปกระดูกก็ยังเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลไม่เปลี่ยน !

หลินเว่ยเว่ยแบกวัตถุดิบทำอาหารที่หนักประมาณหนึ่งร้อยกว่าชั่งไว้บนหลัง จากนั้นก็ใช้แขนหนีบเค้กข้าวเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างถือเนื้อพลางเดินทางกลับไปยังหมู่บ้าน ปกติชาวบ้านจะใช้เวลาเดินเท้าจากเขตเริ่นอันกลับไปที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวประมาณ 2 ชั่วยาม แต่ระหว่างทางนางเดินสลับการวิ่งเหยาะจึงทำให้ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ก็มาถึงหมู่บ้านแล้ว !

ว่าไปแล้วการที่มีพละกำลังมากมายมหาศาลก็ถือเป็นเรื่องดี ! เพราะน้ำหนักของที่มากเพียงนี้สำหรับนางไม่ต่างอันใดจากการแบกปุยนุ่นที่มีน้ำหนัก 1 ชั่งเท่านั้น !

เวลานี้ชาวบ้านส่วนใหญ่กำลังแบกถังน้ำมารดพืชพันธุ์เพื่อต่อสู้กับภัยแล้ง ! หลังจากที่นางเดินเข้ามาในหมู่บ้านก็พบกับเด็กน้อยกลุ่มหนึ่งที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน

หลังจากที่เด็กน้อยเหล่านั้นเห็นหลินเว่ยเว่ยเดินเข้ามา พวกเขาก็พากันร้องตะโกนจากระยะไกลว่า “เจ้าโง่ปัญญาอ่อนมาแล้ว ! รีบหนีเร็ว เวลาเจ้าโง่โมโหช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”

มีเด็กน้อยคนหนึ่งร้องเพลงนำคนอื่นขึ้นมา “เจ้าอ้วนจอมโง่ถูกมัดติดประตู เป็นบ้าทีไรพวกเราต้องวิ่งหนี ! ”

ในอดีตนางหวงมักพาบุตรสาวคนโตลงไปทำไร่ทำนาและมักเกิดความกังวลว่าบุตรคนรองจะก่อปัญหาให้ผู้อื่น ดังนั้นจึงมัดหลินเว่ยเว่ยติดไว้กับประตูบ้าน

ส่วนใหญ่บุตรคนรองก็ยอมถูกมัดติดกับประตูและนั่งรอมารดากับพี่สาวกลับมาแต่โดยดี ทว่าพอมีผู้ใดมาทำให้นางรู้สึกโกรธก็จะใช้พละกำลังของตนดิ้นจนหลุดออกจากเชือกแล้ววิ่งตะโกนไล่คนเหล่านั้นไปทั่ว ตอนนี้มิรู้ว่าประตูบ้านพังไปกี่รอบแล้ว !

แม้ว่าบุตรสาวคนรองของตระกูลหลินมิเคยทำร้ายผู้ใดมาก่อน แต่ชาวบ้านในละแวกนั้นก็พูดเตือนบุตรหลานว่าอย่าเข้าใกล้บุตรสาวปัญญาอ่อนของตระกูลหลินเพราะอาจโดนทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นบรรดาเด็กในหมู่บ้านจึงมักร้องเพลงนี้เพื่อล้อเลียนในยามพบเห็นหลินเว่ยเว่ย

หลินเว่ยเว่ยย่อมไม่ถือสาเอาความกับเด็กน้อยเหล่านี้อยู่แล้ว นางรีบสาวเท้าเดินกลับบ้านอย่างรวดเร็ว แต่ขณะนั้นก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งตะโกนเสียงดังว่า “เจ้าโง่แบกเนื้อมาด้วย ! เจ้าโง่ไปเอาเนื้อมาจากที่ใด ? นางมิได้ไปปล้นผู้ใดมาใช่หรือไม่ ? ”

จากนั้นก็มีเด็กอีกคนตะโกนขึ้นมาเช่นกัน “บนหลังของเจ้าโง่แบกสิ่งใดเอาไว้ ? เหตุใดมันถึงได้เหมือนกับธัญพืช ! เอ๋ เจ้าโง่วิ่งหนีไปเร็วเพียงนั้น คงมิได้ไปขโมยของใครมาหรอกใช่หรือไม่ ? รีบไปบอกผู้ใหญ่บ้านเร็วเข้า บอกให้ไล่หัวขโมยปัญญาอ่อนผู้นี้ออกไป ! ”

เวลานี้หลินเว่ยเว่ยได้ผลักประตูแล้วเดินเข้ามาในบ้าน ภายในบ้านยังคงเงียบสงบเช่นเดิม ทันใดนั้นนางก็เห็นว่ามีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมยาวกำลังถือตำรายืนอยู่อย่างเงียบ ๆ เด็กหนุ่มคนนี้เหมือนมีอายุประมาณสิบสองสิบสามปี ชุดคลุมยาวที่เดิมทีน่าจะเป็นสีฟ้าได้ถูกซักจนซีดขาว แถมบริเวณแขนเสื้อยังมีรอยปะชุนอีกด้วย

เมื่อเขาเห็นว่านางเดินเข้ามาก็ขมวดคิ้ว เดิมทีเจ้าตัวกำลังอ่านตำราด้วยสายตาที่อ่อนโยน ทว่าหลังจากที่สายตาของเขาบังเอิญหันไปเห็นนาง เขาก็รีบละสายตาออกไปราวกับเมื่อครู่ได้เห็นสิ่งที่น่ารังเกียจก็มิปาน !

ตอนต่อไป