ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 4 ยุคสมัยแห่งน้ำค้างสังหารร้อยพืช

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอน 4 ยุคสมัยแห่งน้ำค้างสังหารร้อยพืช

“หนิงอี้เป็นคนที่โชคดีมาก”

โจวโหยวมองเฉินอี้พลางพูดอย่างจริงจัง “แต่ดวงเขาไม่ดีเท่าเจ้า”

เฉินอี้ยิ้มเขินอายเล็กน้อย

ดวงดี…ดวงดีก็ได้เป็นอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานหรือ

เจ้าลัทธิหนุ่มก้มหน้าหลุบตาลงเล็กน้อย “ใต้ฟ้าต้าสุย ตำหนักหมื่นปี ตำหนักนภาม่วง ตำหนักตะวันบริสุทธิ์ ตำหนักร่มเย็นแห่งเทือกเขาประจิม มีสี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ เขาวิญญาณกับอารามเสียงอัสนีใหญ่ยังไม่ขอเอ่ยถึงตอนนี้ เขาศักดิ์สิทธิ์สี่เขตดินแดนกลาง ตำหนักฟ้าจวนปฐพีแห่งเมืองหลวง สี่สำนักศึกษาแห่งเมืองหลวง เขาจะอยู่อันดับหนึ่งในรายนามดาราได้หรือ”

โจวโหยวไม่ตอบ

“ข้ารู้ว่าคุณชายโจวโหยวเคยพบเด็กหนุ่มคนนี้” เฉินอี้พูดด้วยรอยยิ้ม “สวีจั้งหนีไปถึงเทือกเขาประจิม นอกจากคุณชาย ใต้ฟ้านี้ไม่มีใครยินดีช่วยเขา ตอนนั้นในอารามโพธิ์เมืองไร้มลทินเลยถือโอกาสช่วยหนิงอี้ไปด้วย”

“ลั่วฉางเซิงแห่งเขาเชียงพำนักเทพแดนบูรพา เพิ่งทะลวงขอบเขตที่สิบ จุดดาราชะตา อันดับหนึ่งในรายนามดาราจึงว่าง” เฉินอี้พูดอย่างจริงจัง “เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจีย เสี่ยวจู๋หลงแห่งแดนอุดร เจ้าหอน้อยเจ้าตระกูลน้อยแห่งตำหนักฟ้าจวนปฐพี สี่ราชันแห่งสี่สำนักศึกษา ในพวกเขาไม่ขอบอกว่าทั้งหมด แต่อย่างน้อยมีเก้าส่วนที่จะทะลวงขอบเขตที่สิบในไม่ช้านี้ ติดลำดับในรายนามดารา”

เฉินอี้ชะงักไป ก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดถึงจัดหนิงอี้ไปอยู่อันดับหนึ่งรายนามดาราล่ะ”

โจวโหยวเงียบไปชั่วขณะ

“ก่อนที่ลั่วฉางเซิงจะทะลวงขอบเขตที่สิบ เขานั่งอยู่เหนือทุกคนในรายนามดารา ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ยังไม่จุดดาราชะตา แต่กลับใช้พลังบำเพ็ญขอบเขตที่สิบสังหารยอดปีศาจพันปีในทะเลพลิกผัน ย้อนไปในประวัติศาสตร์ คนที่ทำได้ในครั้งก่อนคือจักรพรรดิไท่จงแห่งต้าสุย”

เฉินอี้ยิ้ม “ตอนนั้นท่านยังทำไม่ได้ ฝูเหยากับสวีจั้งก็ทำไม่ได้”

โจวโหยวสีหน้าเรียบนิ่ง

ตอนเขาอยู่สิบขอบเขต ไม่ได้ออกเดินทางไปท่องใต้หล้า แม้แต่งานราชวงศ์ใหญ่ยังขี้เกียจเข้าร่วม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องการร่วมล่าเผ่าปีศาจที่ทะเลพลิกผัน

เพียงแต่ลั่วฉางเซิงเป็นอัจฉริยะจริงๆ โจวโหยวได้ยินชื่อเสียงของเซียนจุติน้อยแห่งพำนักเทพคนนี้ เล่าลือว่ามีท่วงท่าของชาวสวรรค์ หลังออกจากเขาเชียงก็อยู่เหนืออัจฉริยะมากมายในรายนามดารา สู้มาหลายครั้ง จากนั้นไม่มีใครกล้าท้าสู้อีก ลั่วฉางเซิงจุดดาราชะตาไวจนน่าเหลือเชื่อ

“เยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจีย ก่อนหน้านี้สังหารสัตว์ปีศาจเก้าร้อยปีตัวหนึ่งที่ก้นทะเลพลิกผัน บาดเจ็บสาหัส ตอนนี้พักฟื้นที่เขาลั่วเจีย พันปีกับเก้าร้อยปี ฟังดูต่างกันเพียงเส้นเดียว แต่ความจริงต่างกันราวฟ้าดิน”

เฉินอี้พูดเสียงเบา “ศิษย์ของฝูเหยาพยายามพิสูจน์ตัวเองว่าเทียบเท่าอาจารย์ได้ ปรากฏว่าลั่วฉางเซิงกลับทะลวงพลังออกจากรายนามดาราไปโดยไม่สนใจอะไรเลย…สุดท้ายอันดับหนึ่งไม่ได้ตกอยู่ที่นาง แต่ตกอยู่ที่หนิงอี้”

เจ้าลัทธิหนุ่มถอนหายใจ “คุณชาย ข้าคิดว่าลั่วฉางเซิง เยี่ยหงฝูและเสี่ยวจู๋หลงคือพวกท่านในตอนนั้น”

โจวโหยวเห็นแววตาซื่อตรงของเฉินอี้ เขาพูดนิ่งๆ “รายนามดาราเปลี่ยนแปลงได้ หากในตอนนั้นลั่วฉางเซิงแพ้ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ใช่อันดับหนึ่งอีก”

เฉินอี้อึ้งไป “แน่นอน”

“ที่เหมือนกันคือ…หากหนิงอี้แพ้ เขาก็จะตกลงมาเช่นกัน” โจวโหยวพูดด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ “จัดเขาอยู่ในตำแหน่งใด ความจริงไม่มีความหมาย…หากเจ้าไม่มีพลังที่คู่ควรกับชื่อเสียง เช่นนั้นยิ่งยืนสูง ตอนที่ตกลงมาก็จะยิ่งเจ็บ”

เฉินอี้หลุบตาลง นึกถึงคำพูดของโจวโหยวอย่างละเอียด

เขาถามด้วยความลังเลใจ “คุณชายหมายถึง…ยกยอให้สูงก่อนจะให้ตกลงมารึ”

อัจฉริยะยุคก่อน มีคนมากมายแค้นสวีจั้ง

อาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซาน สืบทอดพินิจเหมันต์ของเจ้าหรุย แต่ความจริงมีคนมากกว่าที่คิดว่าการเป็นผู้สืบทอดของสวีจั้ง หากสวีจั้งตายไปจริงๆ…ความแค้นที่ลบล้างไม่ได้พวกนั้นจะสืบทอดต่อมาจนมาถึงตัวหนิงอี้

นามอันดับหนึ่งในรายนามดารานี้ ยกอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของโลก ไม่ได้เพราะเจตนาดี…เจตนาร้ายที่มากกว่ายากจะลบเลือน หากวันหนึ่งหนิงอี้ตกลงมา เช่นนั้นกระดูกจะแหลกไปทั้งตัว

“บุตรศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นที่เป็นพันธมิตรกันในแดนบูรพายังไม่ออกมือ กระทั่งเขาศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ยังไม่กำหนดผู้สืบทอดบุตรศักดิ์สิทธิ์” โจวโหยวเอ่ยราบเรียบ “คุณชายเจ้าหรุยเคยบอกว่านี่จะเป็นยุคสมัยแห่งน้ำค้างสังหารร้อยพืช ร้อยพืชเติบโตอย่างป่าเถื่อน ใครก็ขวางให้ใครเปล่งแสงไม่ได้…

รายนามดาราเป็นเพียงเรื่องตลกเท่านั้น อัจฉริยะสำนักเต๋ากำลังเตรียมตัวกับงานราชวงศ์ใหญ่ บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งดินแดนกลางก็ตั้งตารอเช่นกัน น่าเสียดาย วันเกิดครบรอบหกร้อยปีของจักรพรรดิไท่จงเลื่อนงานราชวงศ์ใหญ่ไปหนึ่งปี ก่อนหน้านี้ ไม่มีใครอยากเผยศักยภาพทั้งนั้น ต่างรอโชควาสนาของงานราชวงศ์ใหญ่”

เฉินอี้พยักหน้าเข้าใจแจ่มแจ้ง

โจวโหยวครุ่นคิดเงียบๆ ในใจ หนิงอี้เป็นถ้ำไร้ก้นเช่นนี้ ถูกลิขิตให้ฝึกบำเพ็ญช้าและลำบาก เพราะสวีจั้งจึงถูกยกขึ้นไปอันดับหนึ่งรายนามดารา ความจริงนี่เป็นหายนะของผู้บริสุทธิ์

รายนามดาราเป็นเรื่องตลกจริงๆ

เป็นเรื่องตลกที่สุดในผู้บำเพ็ญหนุ่มสาวใต้ฟ้าต้าสุย

วิธีการที่แน่นอนที่สุดคือรอเขาสู่ซานเปิดภูเขา ภายใต้การปกป้องจากพันกรเจ้าภูเขาน้อย หาบุตรศักดิ์สิทธิ์จากเขาศักดิ์สิทธิ์มาสู้สักสองคน พลังบำเพ็ญหนิงอี้ย่อมเผยออกมาเอง…ผู้บำเพ็ญที่มีพลังบำเพ็ญมากสุดขอบเขตกลาง ย่อมไม่คู่ควรถูกจัดอยู่อันดับหนึ่งรายนามดารา ตกจากรายนามดูเหมือนเป็นเรื่องน่าอัปยศอย่างหนึ่ง แต่ความจริงเป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง เพราะยืนอยู่บนนั้นจะต้องจ่ายมากกว่า

ชีวิตยังอีกยาว จะต้องเดินไปช้าๆ

ทนจนถึงงานราชวงศ์ใหญ่ ค่อยทะยานขึ้นฟ้าในทีเดียว

……

เสียงนกกระจอกร้องดังอยู่เหนือศีรษะ

รถม้าหยุดลง

มาถึงประตูเขาสู่ซานแล้ว เฉินอี้ลงจากรถม้า นักพรตชุดคลุมหยาบสองคนกางร่มให้เขาประกบซ้ายขวา เขาสู่ซานมีฝนตกปรอยๆ น้ำฝนตกกระทบใบร่มแตกกระเซ็น พื้นดินเกาะเป็นน้ำค้างสีขาวละเอียด

เจ้าลัทธิหนุ่มเหม่อลอยเล็กน้อย อดนึกถึงคำพูดนั้นในรถม้าไม่ได้

‘คุณชายเจ้าหรุยบอกว่านี่จะเป็นยุคสมัยแห่งน้ำค้างสังหารร้อยพืช’

เสาเอกร้อยปีบนเขาสู่ซาน หายไปต่อหน้าต่อตาเลยหรือ

ตีนเขาน้ำค้างเล็กมีกอต้นไผ่น้ำค้าง ป่าไผ่เติบโตตามเส้นทางภูเขา ยาวเหยียดขึ้นไปข้างบน เฉินอี้รู้จักไผ่ชนิดนี้ ทนทานและทรงพลัง การเอาตัวรอดสูงมาก เปลือกไผ่สีขาวเหมือนน้ำค้าง ต้นใหญ่เหมือนไม้ถ่อเรือ ต้นเล็กเหมือนขลุ่ย

เขาน้ำค้างเล็กเงียบสงบมาก

ยอดเขาพลันมีเสียงขลุ่ยดังขึ้น

เสียงไม่ดังแต่ทำลายความเงียบ รถม้าแล่นเข้าประตูเขาสู่ซาน ท่านพันกรไม่ขวาง เขาสู่ซานมีพื้นที่กว้างคนน้อย บนถนนยังมีศิษย์เขาสู่ซานประปราย เฉินอี้รู้ว่าตนมาไม่ถือว่าเร็ว ข่าวการตายของสวีจั้งปล่อยไปเกือบครึ่งเดือนแล้ว ยอดเขาหลายลูกของเขาสู่ซานน่าจะมีขุมอำนาจอื่นเข้ามาอยู่

เขาเห็นศิษย์หญิงของสำนักศึกษาถ้ำกวางขาว เขาศักดิ์สิทธิ์อื่นก็มีคนมาเช่นกัน

ขอแค่พวกเขามาที่เขตเขาสู่ซานด้วยท่าทีเป็นมิตร เขาสู่ซานจะไม่ทำอะไร พันกรเป็นผู้บำเพ็ญที่มีนิสัยอ่อนโยน ราชันดาราไม่ออกมือสู้เป็นกฎที่จักรพรรดิไท่จงกำหนดไว้

มีคนไม่เชื่อว่าสวีจั้งตายแล้ว พิธีฝังศพของเขาสู่ซาน…เป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด

เฉินอี้ตั้งสติกลับมาได้ เขาตั้งใจฟังเสียงขลุ่ยนั้น

คนนั้นที่เป่าขลุ่ย ไม่ได้เป่าเพลงระดับสูงพวกนั้นแต่เป่าเพลงพื้นบ้าน เฉินอี้เคยฟังปรมาจารย์ดนตรีแห่งเมืองหลวงต้าสุยเป่าขลุ่ย เห็นได้ชัดว่าคนนั้นที่นั่งบนเขาไม่มีระเบียบกฎเกณฑ์ แต่ก็ฟังไม่ยาก

เจ้าลัทธิหนุ่มยิ้ม

ความจริงเขาก็เป่าขลุ่ยเป็นเช่นกัน เมื่อไม่นานมานี้ผู้อาวุโสในหมู่บ้านมอบขลุ่ยใบไม้ให้เขา เขาพอถูไถถึงพื้นฐานได้บ้าง ยามเกี่ยวข้าวเสร็จก็จะนั่งบนกองฟางเป่าขลุ่ยใบไม้ มองดวงจันทร์คลานเหนือศีรษะ เตะเท้าเป่าเสียงขลุ่ยรื่นหู พอได้ยินเสียงขลุ่ยจะมีคนรู้ว่าเขาหิว ก็จะมาส่งอาหารให้บ้าง และยังมีเด็กสาวที่เยาว์วัยกว่าตน จะเดินย่ำนาข้าวโซเซมาตามเสียงขลุ่ย

โจวโหยวได้ยินเสียงขลุ่ยนี้ก็มีสีหน้าแปลกขึ้นมาเล็กน้อย

เขายืนอยู่ใต้ยอดเขาน้ำค้างเล็ก เงยหน้าขึ้น เห็นนกกระจอกแดงบินวนบนฟ้าสองรอบ ยับยั้งอารมณ์ชั่ววูบอยากจะขยายปีกไว้ เสียงร้องใสดังก้องเขาน้ำค้างเล็ก

เด็กหนุ่มชุดคลุมดำคนหนึ่งนั่งบนยอดเขา

ฝนปรอยตกกระทบม่านฟ้า เด็กหนุ่มไม่สนใจ เพราะข้างกายเขามีแม่นางถือร่มยืนอยู่คนหนึ่ง ด้วยความที่ฝนปรอย แสงตะวันยามเช้าตรู่จึงถูกชั้นเมฆบดบัง สายฟ้ายาวเป็นสาย ดูเหมือนยามโพล้เพล้มืดครึ้ม เขามองไปใต้เขา ไผ่น้ำค้างสั่นไหวเบาๆ ตามสายลม ภายนอกต้นไผ่เกาะเป็นน้ำค้างจริงๆ

หยดน้ำที่โคลงเคลงบนใบไผ่ที่ร่วงหล่น เม็ดกลมอิ่มเอิบ เป็นน้ำค้างที่ผ่านการแข็งตัวมาหนึ่งคืนจริงๆ

เจ้าลัทธิหนุ่มใต้ภูเขาทักทายหนิงอี้อย่างเป็นมิตรมาก

หนิงอี้หยุดเป่าขลุ่ย ทักทายด้วยความเป็นมิตรมากเช่นกัน

เห็นนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบพวกนั้นที่ตามหลังรถม้าไม้ขาวแล้ว แต่ละคนใบหน้าเรียบนิ่งเหมือนรูปปั้น การหยุดเดินพร้อมเพรียงกันมาก…ต่อให้เป็นคนโง่ก็เดาได้ว่าคนนั้นในรถม้ามีฐานะใด

……………………..