ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 5 พิธีศพ

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 5 พิธีศพ

หากพูดถึงฐานะ ท่านเจ้าลัทธิเต๋าเป็นคนที่สูงศักดิ์ที่สุดในทั้งใต้หล้า ต่อให้เป็นฝ่าบาทจักรพรรดิต้าสุยที่อยู่สูงสุดในเมืองหลวง ก็เป็นแค่ ‘สหาย’ ของเจ้าลัทธิ

แม้ตอนนี้เฉินอี้จะอายุไม่ถึงยี่สิบก็ตาม

ตามกฎของสำนักเต๋า เมืองหลวงและแผ่นดินใหญ่นี้ เขาไม่ต้องเรียกฝ่าบาทไท่จง แต่เรียกว่า ‘สหาย’

นี่คือกฎ

เจ้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ เจ้าสำนักศึกษา ไปจนถึงผู้มีอิทธิพลที่มีพลังบำเพ็ญยิ่งใหญ่ส่วนมากในแผ่นดินนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเช่นนี้ หากพบหน้าจะต้องแสดงความเคารพและยำเกรงอย่างมากต่อเจ้าลัทธิหนุ่มแห่งเทือกเขาประจิมและไม่มีพลังบำเพ็ญคนนี้

เมื่อรถม้าไม้ขาวของเฉินอี้แล่นเข้ามาจากนอกประตูเขาสู่ซาน นักพรตชุดคลุมหยาบไล่หมอกภูเขาไปตลอดทาง เสียงกีบเท้าม้าเหยียบย่ำสร้างความตกใจแก่แขกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่มาพักเขาสู่ซานชั่วคราว

เฉินอี้ฟังเสียงขลุ่ยกระดูกของหนิงอี้อยู่ใต้เขาน้ำค้างเล็กเงียบๆ อีกทั้งยังทักทาย ดูเหมือนอาจารย์อาน้อยคนนั้นบนเขาจะไม่มีทีท่าจะเชิญเจ้าลัทธิรุ่นปัจจุบันขึ้นเขาไปเยี่ยมชม

สายลมสายฝนซัดสาดราวน้ำหมึก อาจารย์อาน้อยหนุ่มที่เป่าขลุ่ยกระดูกจบโบกมือ จากนั้นรับร่มกันฝนจากเด็กสาวข้างกาย ทั้งสองคนจากไปไม่หันกลับมา ไผ่น้ำค้างบนเขาน้ำค้างเล็กลู่ตามลม ฟ้าดำครึ้มฝนตกไม่ขาดสาย สองร่างเงานี้จางหายเหมือนน้ำหมึก บนเขาล่างเขากลับสู่ความเงียบ

ไม่นานเฉินอี้ก็รู้ถึงสาเหตุที่หนิงอี้รีบร้อนจากไป

เสียงเท้าม้าเร่งรีบดังแว่วมาไกลๆ เจ้าลัทธิหนุ่มหันไปมองด้วยความงุนงง เห็นม้าแข็งแรงสีดำสนิทสองตัวทะลวงสายฝน หนุ่มวัยกลางคนสองคนบนหลังม้าพลิกตัวลงจากม้า ค้อมตัวแสดงความเคารพ มองเด็กหนุ่มตรงหน้าก่อนพูดด้วยสีหน้าจริงใจ “ท่านเจ้าลัทธิ…จวนขานฟ้าฝากทักทายมายังสำนักเต๋าด้วยความจริงใจ”

เฉินอี้ที่ถูกนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบล้อมรอบ ไม่นานก็รู้ถึงเหตุผลที่บุรุษสองคนมาที่นี่ สำนักเต๋าเคลื่อนไหวยิ่งใหญ่เกินไป ตู้รถม้าไม้ขาวที่เป็นสัญลักษณ์แสงสว่างและภาพลักษณ์ไม่เห็นแก่ตัวของสำนักเต๋า รวมถึงนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบที่ปฏิบัติใกล้ชิดเจ้าลัทธิพวกนั้น ม้าขาวบริสุทธิ์ สัญลักษณ์พวกนี้ปฏิบัติตามธรรมเนียมเจ้าลัทธิรุ่นก่อน ทุกยุคเป็นเช่นนี้ ฝังลึกลงในใจคนไปแล้ว…ต้าสุยไม่สั่นคลอน สำนักเต๋ายิ่งไม่สั่นคลอน เขาศักดิ์สิทธิ์ในสี่เขตต้องปฏิบัติต่อเจ้าลัทธิรุ่นปัจจุบันด้วยความเคารพสูงสุด

ผู้บำเพ็ญแห่งจวนขานฟ้าสองท่านนี้มา ‘ร่วม’ พิธีศพของสวีจั้ง สวีจั้งในตอนนั้นผูกอาฆาตแค้นกับจวนขานฟ้าค่อนข้างหนัก ถือกระบี่สังหารอัจฉริยะหนุ่มแห่งจวนขานฟ้าที่มีหวังทะลวงดาราชะตามากที่สุดเมื่อสิบปีก่อนไปทีละคน จวนขานฟ้าลำบากล่าสังหารมาสิบปี สุดท้ายสวีจั้งตายไปอย่างไม่ชัดเจนเช่นนี้หรือ

จวนขานฟ้าต้องเห็นศพของสวีจั้งกับตา ยืนยันข่าวการตายของเขา ถึงจะปล่อยวางความแค้นนี้ลงได้

เฉินอี้หันไปมองเขาน้ำค้างเล็กทีหนึ่ง ตรงนั้นมองไม่เห็นว่าเคยมีคนออกมา เพลงนั้นที่หนิงอี้เป่าไปก่อนหน้านี้ เลือกเวลาได้ดีมาก หายามที่ไม่มีคน อีกไม่นานที่นี่จะวุ่นวาย ดูท่าอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้…น่าจะไม่อยากถูกคนรบกวน

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ…ราวสิบลมหายใจหลังม้าดำสองตัวนั้นมาถึง อีกขุมอำนาจก็มาถึงใต้เขาน้ำค้างเล็ก

“ท่านเจ้าลัทธิ…เจ้าตระกูลเฟิงแห่งตำหนักฟ้ายินดีอยู่กับท่าน” บุรุษสูงใหญ่สวมผ้าคลุมเนื้อหยาบสีขาว ดูเหมือนนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบข้างกายเจ้าลัทธิมาก อาภรณ์ของตำหนักฟ้าคล้ายกับสำนักเต๋ามาก เพียงแต่ส่วนหน้าของเสื้อและแขนเสื้อฝังด้ายสีฟ้าไว้รอบหนึ่ง เป็นสัญลักษณ์ของท้องนภาสูงสุด ข้างหลังเป็นวิหคสีขาวบริสุทธิ์ฝูงหนึ่ง สยายปีกบินไปบนฟ้า ทุกรายละเอียดจะลดลงตามฐานะสูงต่ำ

บุรุษชุดคลุมวิหคโบยบินคนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าตระกูล รายละเอียดบนเสื้อคลุมใหญ่ประณีตถึงที่สุด มีท้องฟ้าสีครามเลี่ยมด้านข้าง และมีฝูงนกข้างหลังสยายปีกบิน

ตำหนักฟ้ายังมีอีกคนสวมชุดคลุมใหญ่ที่มีเอกลักษณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีเพียงผู้บำเพ็ญคุมกฎเท่านั้นถึงจะสวมได้ ปกติจะให้ผู้บำเพ็ญตระกูลเจี้ยนใช้ ดำมืดเหมือนราตรี ปักลายเปลวเพลิงสีแดง ข้างหลังเป็นฝูงอีกา ดาราสวรรค์เก้าชั้นขยับแสง กลิ่นอายสังหารเย็นยะเยือก

บุรุษสวมชุดคลุมฝูงอีกามีใบหน้าเฉยชา เขามองเฉินอี้พลางพูดอย่างนุ่มนวล “ตระกูลเจี้ยนแห่งตำหนักฟ้า ยินดีอยู่กับท่านเจ้าลัทธิ”

คำพูดเช่นนี้…ฟังดูไม่เหมือนลักษณะของสำนักเต๋า แต่สืบทอดกันมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานเหมือนรถม้าไม้ขาวกับนักพรตเต๋าชุดคลุมหยาบ

เฉินอี้รู้สึกว่ากฎพวกนี้แปลกมาก ไม่ถือว่ายุ่งยากอะไรขนาดนั้น การได้รับความเคารพและเลื่อมใส…โดยเฉพาะผู้บำเพ็ญที่มีชื่อเสียงและฐานะสูงส่งยิ่งในแผ่นดิน ตอนนี้ดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าสุขใจจริงๆ

เขาพูดอย่างจริงจังตามคำสอนจากหอสามวิสุทธิ์ “ยินดีอยู่กับพวกเจ้า”

ไม่ใช่แค่แขกจากจวนขานฟ้า ตำหนักฟ้า ตำหนักทะเลสาบกระบี่ สำนักศึกษาตะวันสูง สำนักศึกษาขุนเขา และยังมีเขาศักดิ์สิทธิ์หลายลูกแห่งแดนบูรพา ล้วนมาที่นี่กัน…ทุกคนเป็นแขกมาร่วมงานศพของสวีจั้ง ได้ยินว่าเจ้าลัทธิมาจึงรีบร้อนมาทักทาย

พวกเขาไม่ได้มีสีหน้าเศร้าเสียใจใดๆ หลังพบเจ้าลัทธิหนุ่มแล้ว ตีนเขาน้ำค้างเล็กกลายเป็นสถานที่ติดต่อและแลกเปลี่ยนของผู้บำเพ็ญพวกนี้ พูดคุยยิ้มแย้ม มองไม่เห็นความเศร้าแม้แต่น้อย

งานศพครั้งนี้ไม่เหมือนทุกงานที่พวกเขาไปร่วมมาในชีวิต คนนั้นที่ตายไปมีนามว่าสวีจั้ง เป็นคนที่น่ารังเกียจในใต้หล้า อาจารย์อาน้อยรุ่นก่อนของเขาสู่ซาน ล่วงเกินทุกคนที่ล่วงเกินได้

เฉินอี้มองผู้บำเพ็ญพวกนี้เงียบๆ เขาสังเกตเห็นนกกระจอกแดงตัวนั้นเกาะบนบ่าโจวโหยวที่อยู่ข้างกาย นกกระจอกแดงก้มหน้าลง จิกเส้นผมของเจ้านายเบาๆ นัยน์ตามีความเสียใจที่ถูกมองข้ามไปได้ง่ายอยู่

โจวโหยวใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ยืนใต้เขาน้ำค้างเล็กเงียบๆ ในแววตาเขาไม่มีความเศร้า ไม่มีความเจ็บปวดเช่นกัน เหมือนชาวสวรรค์ที่ลืมสุขและทุกข์ในโลก มองทุกอย่างที่เกิดขึ้นข้างกายตน

สวีจั้งสหายสนิทที่สุดของเขา โลงไม้ตั้งอยู่บนเขาน้ำค้างเล็ก ตีนเขาเป็นศัตรูของสวีจั้งตอนมีชีวิต

การให้ศัตรูมาร่วมงานศพ ฟังดูเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การเคารพและน่าปลงอนิจจัง ตอนมีชีวิตคนผู้นี้จะต้องทำอะไรที่สุดยอดไว้มากมาย กำราบศัตรูทุกคน

ทว่าเรื่องราวไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป

ตอนสวีจั้งตาย ทั้งโลกหล้ามาร่วมงานศพเขา…และที่น่าหัวเราะและเยาะเย้ยคือ ทุกคนมางานศพนี้เพียงแค่อยากดู ยืนยันว่าสวีจั้งตายจริงๆ

เฉินอี้เม้มริมฝีปาก

บนเขาน้ำค้างเล็ก มีร่างเงาเลือนรางก่อตัวขึ้น ยอดเขาน้ำค้างเล็ก แสงดารามากมายไหลหลาก สุดท้ายรวมเป็นคนยักษ์ดารามหึมา ดวงตาคู่หนึ่งเปิดขึ้นบนยอดเขา ‘บึ้ม’ เกิดเสียงดังสนั่น ทุกคนถูกดึงดูดจิตใจเข้าไป

พันกรเจ้าภูเขาน้อยแห่งเขาสู่ซาน

เจ้าตระกูลสองคนแห่งตำหนักฟ้าเพ่งมอง สังเกตเห็นปรากฏการณ์บนยอดเขา ความตายของสวีจั้ง สำหรับแขกจากเขาศักดิ์สิทธิ์พวกนี้เป็นเรื่องน่ายินดี แต่สำหรับเขาสู่ซาน…นี่เป็นเรื่องเศร้า พันกรไม่ได้โผล่มาเลยตั้งแต่ต้น ศิษย์เขาสู่ซานที่รับหน้าที่ต้อนรับมีใบหน้าเฉยชา

ดวงตาดาราที่เปิดขึ้นบนยอดเขาคู่นั้นมาพร้อมกับความตื่นตะลึงอย่างรุนแรง

“พลังบำเพ็ญของพันกร…แกร่งขึ้นแล้ว”

เจ้าตระกูลเฟิงมองเจ้าตระกูลเจี้ยนชุดคลุมดำ เห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วยอย่างจริงจัง

อิทธิฤทธิ์ดาราที่รวมออกมาแบกโลงไม้สีดำมาจากยอดเขาน้ำค้างเล็ก ราวกับแบกรับแรงกดดันมหาศาล เดินลงเขามาทีละก้าว ทุกๆ ก้าว ผนึกของเขาน้ำค้างเล็กจะทำงาน ป้ายคำสั่งของคุณชายเจ้าหรุยตอนนั้นลอยขึ้นมาสองข้างทางภูเขา โซ่สีม่วงพุ่งออกมา พันรอบยักษ์ดาราสูงจั้งกว่า

ยักษ์ดาราไม่สนใจ ตอนที่แบกโลงศพไม้ดำลงมาถึงตีนเขา ร่างเต็มไปด้วยโซ่สีม่วงดุจสายฟ้า ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ

เขาน้ำค้างเล็กของเจ้าหรุย ผู้วายชนม์ก็เช่นนี้ เมื่อฝังแล้วก็ห้ามกลับออกมาอีก แบกโลงไม้ลงมาถึงตีนเขาโดยใช้ยักษ์ดารา ภายใต้สถานการณ์ที่ห้ามทำลายข้อจำกัดของเขาน้ำค้างเล็ก ถือว่าทำได้อย่างถึงที่สุดแล้ว

ปราณม่วงวนเวียน ยักษ์ดารานั้นต่อให้ถูกสายฟ้ามากมายพันธนาการ กายและจิตแข็งแกร่งอย่างยิ่งก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ มันย่อตัวลงช้าๆ ตั้งโลงไม้ไว้หน้าประตูภูเขา ฝุ่นดินฟุ้งกระจาย รอจนสงบลง…

เปิดฝาโลงสีดำออกต่อหน้าทุกคน

เฉินอี้เม้มริมฝีปาก มองศพที่นอนในโลง สวีจั้งหลับตา มุมปากยังมีรอยยิ้มหยอกล้อ ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายดับสูญ…ทุกอย่างยังรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ ตรงจอนผมยังมีหิมะสีขาวอยู่

เหมือนที่ชาวโลกเล่าลือ สวีจั้งสิ้นชีพในคืนนั้นที่หิมะตกหนักเมื่อปีก่อนแล้ว เขาสู่ซานปิดภูเขาหนึ่งปี ลองทุกวิถีทางเพื่อช่วยสวีจั้ง ปลุกเขาตื่นมา…สุดท้ายก็ล้มเหลว

นี่คือคนตาย

ตายด้วยวิถีกระบี่ของตนเอง อยากจะลองเดินบนเส้นทางที่ไม่มีใครเดินมาก่อน…สุดท้ายส่งตัวเองไปสู่ความตาย

เฉินอี้พูดขอให้ไปดีเงียบๆ ในใจ

ทุกคนที่ล้อมรอบโลงศพ มองสวีจั้งในชุดคลุมดำที่ยืนขึ้น กลั้นลมหายใจ ตีนเขาน้ำค้างเล็กเงียบสงัดมาก

“เขาตายแล้วรึ”

มีคนถาม

ไม่มีคนตอบ

แขกจากเขาศักดิ์สิทธิ์เริ่มใช้พลังจิตที่ต่างกันลองรุกล้ำเข้าไปในทะเลวิญญาณของคนในโลงไม้

เงียบ

สมาชิกของราชวงศ์ลองนำอาวุธในตระกูลออกมา สัมผัส ‘โทษแห่งสายเลือดเดิม’ ในตัวสวีจั้ง

ไม่มีการโต้ตอบ

ดังนั้น หลังผ่านไปเกือบครึ่งก้านธูป เจ้าตระกูลเจี้ยนพูดนิ่งๆ ด้วยความเสียดาย “เขาตายแล้ว”

บรรยากาศที่นี่แปลกมาก

เจ้าตระกูลเจี้ยนแห่งตำหนักฟ้าอยากสู้กับสวีจั้งในขอบเขตพลังเดียวกันมาตลอด ตอนที่ได้ยินว่าสวีจั้งบุกเขาอนันต์เล็กก็เตรียมจะเดินทางมาเขาสู่ซาน…จากนั้นก็ได้ยินข่าวการตายของสวีจั้ง

เขารู้สึกเสียดายนิดๆ เสียใจหน่อยๆ จากนั้นเขามองโจวโหยว

โจวโหยวเป็นสหายสนิทเพียงคนเดียวของสวีจั้ง

ทว่าโจวโหยวไม่แสดงสีหน้าใดๆ เขามองโลงนั้นเงียบๆ นกกระจอกแดงบนบ่าสะอื้นเสียงเบา

โจวโหยวเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้งนิดๆ “เขาตายแล้วจริงๆ”

โจวโหยวไม่โกหก

โจวโหยวไม่แยแสที่จะโกหก

ดังนั้นความเป็นตายของสวีจั้งจึงไม่มีข้อกังขาอีก

แขกจากจวนขานฟ้ากลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้

มีคนหัวเราะเยอะขึ้น

เฉินอี้มองภาพนี้เงียบๆ ในงานศพที่เหลวไหลและน่าเศร้า ทุกคนหัวเราะเสียงดัง ยกเว้นคนเดียว

ในกลุ่มคน มีสตรีสวมชุดคลุมดำน่าเกรงขามคนหนึ่ง ตั้งแต่นางมาก็ไม่เคยละสายตาเลย มองโลงของสวีจั้งอยู่เช่นนี้ จ้องบุรุษในโลงที่จากโลกนี้ไปตลอดกาล

จากนั้นมีน้ำตาสองสายไหลจากหางตาของนางอย่างไร้เสียง

นางยิ้มก่อนหมุนตัวจากไป

ทุกคนที่มาร่วมงานศพ ก้นบึ้งหัวใจมีบางอย่างที่ละวางไม่ได้มาตลอด จนถึงตอนนี้ถึงได้วางลงได้

ความรักความแค้น ราวดอกไม้สะท้อนในกระจก จันทร์สะท้อนผิวน้ำ

ไม่นึกถึงจิตใจผูกพัน ทั้งหมดล้วนว่างเปล่า

……………………….