ตอนที่ 42 เปิดฉาก

ดวงตาที่มองไม่เห็นนับวันยิ่งทำให้เฝิงเหล่าฮูหยินอารมณ์ฉุนเฉียว ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่ได้รับการรักษาจากหมอหลวง อาการกลับไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้เฝิงเหล่าฮูหยินจึงเริ่มแสดงท่าทีกระวนกระวายออกมา

จากผู้ยิ่งใหญ่บัดนี้ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันมืดบอด ในวันข้างหน้าชีวิตคงตกอยู่ในห้วงของความหวาดกลัวในโลกที่มืดมิดเกินจะบรรยาย นางต้องทำอะไรสักอย่างแล้วเพื่อพิสูจน์ว่าอำนาจแห่งฮูหยินยังไม่สั่นคลอน

เมื่อพบเจอกับอุปสรรคเบื้องหน้าโดยไม่ทันคาดคิด เจียงซื่อจึงใช้ปราณสงบจิตเพื่อรวบรวมสมาธิ

ที่บิดาตักเตือนมาในวันนี้ บวกกับข้อพิสูจน์ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ได้พบมาในชาติก่อน นางเชื่อมั่นเหลือเกินว่าตนเป็นผู้ที่เข้าใจท่านย่ามากกว่าคนรอบข้าง อย่างน้อยก็มากกว่าน้องหกเจียงเพ่ยที่อยู่ข้างกายเสียอีก

แววตาของเจียงซื่อที่มองไปยังเจียงเพ่ยช้าๆ น้ำเสียงกดต่ำลงแสดงสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “พี่สี่ ท่านย่าไม่สบายอยู่ เจ้าช่วยเชื่อฟังคำพูดของคนเฒ่าคนแก่แล้วรีบออกไปเถอะ”

เจียงซื่อยิ้มเบะปากแล้วคุกเข่าอย่างสวยงามต่อหน้าเฝิงเหล่าฮูหยิน “หลานเพียงมาเยี่ยมท่านย่า หากเป็นเช่นนั้นเห็นทีคงต้องขอตัวลากลับก่อน”

นางพูดเสร็จ ดวงตาพลันมุ่งตรงดิ่งเดินไปข้างหน้าโดยไม่สนใจคนรอบข้าง ในเวลาเดียวกันเจียงซื่ออดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปากออกมา

“เจ้าหก เจ้าหูหนวกหรือ” เฝิงเหล่าฮูหยินร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงอย่างเหลืออด

อุ้บ…ฮ่าๆ ในระหว่างนั้นคุณหนูสามเจียงเชี่ยวที่เดินนำหน้าเจียงซื่ออยู่ก่อนได้เอ่ยทักทายซานไท่ไท่ กัวซื่อที่ได้เข้ามาเยี่ยมเหล่าฮูหยิน คนที่ยืนตัวตรงอยู่หลังกัวซื่อครั้นได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา

เฝิงเหล่าฮูหยินมองกวาดสายตาไปรอบๆ เจียงเชี่ยวที่เห็นแววตาคู่นั้นพลันต้องหลบสายตาโดยทันใดไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง

เจียงเพ่ยถึงกับงุนงง

ท่านย่ากำลังพูดอะไร หรือว่าข้าฟังผิดไป

เมื่อพบว่าเจียงเพ่ยไม่มีท่าทีอะไร เจียงลี่จึงสะกิดนาง “น้องหก ที่ท่านย่าพูดคงหมายถึงเจ้า”

เจียงเพ่ยกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าซีดลงราวกับเห็นน้ำมันที่กำลังจะราดลงบนกองขี้เถ้าที่มอดลงไปแล้ว กลับกันใบหน้าของเจียงลี่พลางขึ้นสี

เจียงเพ่ยที่คุ้นเคยกับการชอบพูดประจบสอพลอผู้ใหญ่ วันนี้ถูกเฝิงเหล่าฮูหยินตำหนิต่อหน้าทุกคนจึงทำให้นางรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

ที่น่าหงุดหงิดไปมากกว่านั้นคือ แม้แต่เหตุผลที่ถูกตำหนินางเองก็ยังไม่รู้!

“หลานขอตัวกลับก่อนเจ้าค่ะ” เจียงเพ่ยรีบทำความเคารพเฝิงเหล่าฮูหยินอย่างร้อนรน พลางกุลีกุจอแล่นฉิวออกไปราวกับโผบิน

เพียงลมพายุที่พัดผ่านร่างของเจียงซื่อ ชั่วครู่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเจียงเพ่ยแล้ว

นางได้แต่ยิ้ม พร้อมกับปั้นสีหน้าเรียบนิ่งเตรียมเดินออกไป

ขณะนั้น ผู้คนตรงหน้าที่เดินเข้ามาใหม่ คนด้านหน้าคือเอ้อร์ไท่ไท่เซียวซื่อและเจียงเชี่ยน เซียวซื่อที่กำลังเดินไปคุยไปกับคนข้างกาย

ในดวงตาของเจียงซื่อนึกยิ้มขึ้นมาทันที

เมื่อพบว่าบุคคลถัดมาที่นางได้พามาด้วยคือหลิวเซียนกู

เจียงซื่อคิดแล้วอยากจะหัวเราะออกมา

ยังจะมีอะไรที่สนุกไปกว่าการแสดงชุดนี้อีกหรือ เชื่อเถอะครั้นตอนที่การแสดงจบลงรับรองว่ามันต้องทำให้อาสะใภ้รองกับพี่รองจดจำโดยไม่มีวันลืม

“น้องสี่มาเยี่ยมท่านย่าหรือ” ทั้งสองเดินเข้ามาใกล้กัน เป็นเจียงเชี่ยนที่เริ่มเอ่ยปากทัก

เซียวซื่อที่แปลกใจได้แต่สังเกตมองเจียงเชี่ยน

เซียวซื่อรู้ดีว่าเชี่ยนเอ๋อร์ไม่ถูกชะตากับผู้ที่นางเอ่ยทักเมื่อครู่ แม้แต่นางเองก็ได้รับความทุกข์ทรมานมากมายจากนังเด็กนี่ แล้วเหตุใดยามนี้เชี่ยนเอ๋อร์ถึงยังทำดีกับนังเด็กนี่อยู่

เจียงเชี่ยนแกล้งทำเป็นไม่เห็นสายตาที่แปลกใจของเซียวซื่อ มุมปากของนางยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น

เจียงซื่อย่อเข่าลงเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ การกระทำนั้นเบี่ยงเบนความสนใจของคนที่มองเจียงซื่ออยู่ก่อนหน้า “พี่รองช่วงนี้กลับมาบ่อยนะ ท่านย่าไม่ได้บอกให้เจ้าไปคอยรับใช้ดูแลพ่อและแม่สามีหรอกหรือ”

เจียงเชี่ยนฟังแล้วกัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว ที่มือกำชายเสื้อแน่น

คำพูดประชดนั่นเหตุใดนางจะดูไม่ออก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเจียงซื่อไปเจออะไรมา ครั้นเห็นหน้าก็มักกระทบกระทั่งกันเสมอ ความสัมพันธ์ที่ตัดกันไม่ขาด และการที่นางได้อยู่ในฐานะฮูหยินซื่อจื่อจวนฉังซิงโหวทำให้นางยังคงต้องปั้นหน้ายิ้มต้อนรับเช่นนี้

“ที่ท่านย่าพูดมาก็เพื่อตัวข้าเอง พวกเราในฐานะหลานสาวก็มีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตาม ทั้งนี้โรคดวงตาของท่านย่าหากปล่อยไว้นานเข้าคงจะไม่ดีนัก ใจข้านั้นคิดเป็นกังวลอยู่ตลอด ครั้นได้ยินว่าท่านแม่จะพาเซียนกูมาเยี่ยมในใจจึงอดไม่ได้ที่จะขอตามมาด้วย” เจียงซื่ออธิบายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

นางพลาดการแสดงที่สนุกไปได้อย่างไรกัน อยากเห็นคนที่บ้านใหญ่ถึงคราวเคราะห์ด้วยตาตัวเองเสียจริง คงทำให้นางหายใจสะดวกขึ้นมาไม่น้อย

ด้านหนึ่งก็เป็นเจียงเชี่ยนผู้สุภาพอ่อนโยน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นเจียงซื่อผู้ยากที่จะต่อกรด้วย สาวใช้ที่เดินตามเซียวซื่ออยู่ด้านหลังอดไม่ได้ที่จะโอบอุ้มความอยุติธรรมแทนเจียงเชี่ยน

อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้กลับไม่มีใครกล้าแสดงความคิดเช่นนั้นออกมา ไม่มีใครอยากมีปัญหากับคุณหนูสี่ ภาพเหตุการณ์ในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำของพวกนาง

“อาสะใภ้รอง นี่คือเซียนกูงั้นหรือ” เจียงซื่อมองไปทางหลิวเซียนกูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น

มุมปากหลิวเซียนกูยกขึ้นเล็กน้อย

นังเด็กนี่ต้องเป็นปีศาจแน่ๆ!

“ใช่” เซียวซื่อตอบรับเสียงนิ่ง พลางก้มหน้าพูดกับหลิวเซียนกูอย่างสุภาพ “หลิวเซียนกูเชิญเข้ามาเถอะ ท่านเหล่าฮูหยินของเราคงรอนานแล้ว”

หลิวเซียนกูพยักหน้าเล็กน้อยแล้วก้าวเดินเข้าไปด้านในพร้อมกับกลิ่นอายที่น่าเกรงขาม

เจียงซื่อหันหลังกลับ แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อพบว่าซานไท่ไท่ กัวซื่อได้พาเจียงเชี่ยวเดินออกมาจากในห้องและที่ด้านหลังก็มีเจียงเพ่ยกับเจียงลี่ทยอยเดินตามออกมาพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่า เฝิงเหล่าฮูหยินไล่ให้ทุกคนออกมาเหลือเพียงเซียวซื่อกับหลิวเซียนกูเพื่อพูดคุยกันเป็นการส่วนตัว

พื้นที่บริเวณของเรือนฉือซินกว้างขวางมากก็จริง แต่เรื่องภายในทุกคนต่างรู้ซึ่งกันและกันดี แม้แต่เรื่องที่คุณหนูหกเจียงเพ่ยเสียหน้าจนต้องเดินหนีออกไปก็ถูกนำมาเล่านินทาลับหลัง

และเรื่องเซียนกูที่ถูกเอ้อร์ไท่ไท่เชิญมานั้นจะรักษาดวงตาของเหล่าฮูหยินได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน

เจียงซื่อทำเนียนอยู่ต่อ

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม อาฝูเดินออกมาจากเรือนฉือซิน กำชับให้สาวใช้คนหนึ่งไปแจ้งที่เรือนด้านหน้า เจียงเชี่ยนจึงใช้โอกาสนี้รีบสอบถามเรื่องราวโดยทันที

อาฝูได้ตอบกลับ “เหล่าฮูหยินเรียกนายท่านทั้งสามกับเหล่าคุณชายมาพบ เนื่องจากพิธีของเซียนกูต้องการให้เจ้านายของจวนนี้มาปรากฎตัวทั้งหมดขอรับ”

เจียงเชี่ยนฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะมองไปยังเจียงซื่อ สายตาคู่นั้นทอประกายราวกับกำลังยิ้มอยู่

เป็นแบบนี้ก็ดี นางจะจุดไฟเผาเจียงเชี่ยนต่อหน้าทุกคนไปเลย หลังจากนี้ที่บ้านใหญ่ก็คงไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาไปอีกนานและปมปัญหาภายในใจของท่านย่าก็จะได้คลี่คลายลงเสียที

สำหรับเจียงจั้นแล้ว แม้ว่าจะเป็นหลานชายแห่งตระกูลเจียง แต่ก็ต้องผิดหวังและสูญเสียความรักจากท่านย่าไปอยู่ดี จะไปเทียบกับพี่ชายของนางที่อนาคตรุ่งโรจน์ได้อย่างไร

ในขณะนี้นายท่านรองเจียงกำลังอยู่ที่ทำการ เจียงอันเฉิงกับนายท่านสามเจียงได้ออกไปคุยงานเรื่องสินค้าจากต่างเมืองกับฝูปั๋วแล้ว ส่วนเจียงจั้นและคนรุ่นหลานที่เรียนอยู่กันคนละสถาบัน ครั้นได้รับข่าวคราวต่างทยอยกันกลับจวน

ขณะที่รอเจียงอันเฉิงกับนายท่านสามเจียงมายังเรือนฉือซิน ภายในได้จัดวางโต๊ะเซ่นไหว้ไว้แล้ว บนโต๊ะได้วางกระถางธูปกับน้ำชา

“นี่เอาไว้ทำอะไรกัน” เจียงอันเฉิงเห็นฉากเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วเกิดข้อสงสัย

“ทำพิธี” เฝิงเหล่าฮูหยินหลับตานิ่ง “เซียนกูบอกว่าที่ตาซ้ายข้าจู่ๆ ก็มองไม่เห็นไม่ใช่เป็นเพราะโรคแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะถูกสิ่งชั่วร้ายเล่นงาน เพียงแค่ขับไล่สิ่งชั่วร้ายออกไป ตาข้าก็จะดีขึ้น”

“ท่านแม่ เหตุใดท่านถึงเชื่อเรื่องพวกนี้…”

เฝิงเหล่าฮูหยินแสดงสีหน้าโกรธเล็กน้อย “ถ้าเช่นนั้น เจ้าสามารถเชิญหมอที่จะสามารถรักษาตาข้าให้หายได้ไหมเล่า”

เซียนกูที่สะใภ้รองได้เชิญมาผู้นี้ เดิมทีนางก็เชื่อเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเซียนกูแล้วช่างเหมือนกับในนิมิตฝันของนางไม่มีผิด จึงอดไม่ได้ที่จะเชื่อ

ทว่าในใจเฝิงเหล่าฮูหยินตกลงปลงใจที่จะเชื่อเช่นนั้นไปแล้ว เพราะหากใช้วิธีนี้อาจบางทีดวงตาของนางอาจจะพอมีความหวังกลับมาหายดี

เจียงอันเฉิงที่ถูกถามจนพูดไม่ออก พอได้สติเขาจึงตอบกลับ “เพียงท่านแม่มีความสุขก็เพียงพอแล้ว”

รีบให้เซียนกูทำพิธีเถอะ ละครตลกนี้จะได้รีบจบเสียที

ขณะนั้นหลิวเซียนกูก็ได้เอ่ยปากขึ้น “ท่านเหล่าฮูหยิน เจ้านายในจวนต่างมากันครบแล้วใช่หรือไม่”

เฝิงเหล่าฮูหยินมองไปทางอาฝู

อาฝูจึงพูดขึ้นมาทันที “คุณชายรองยังไม่มาเจ้าค่ะ”

“เขาอยู่ที่ไหน”

“พี่รองโดดเรียนอีกแล้ว ตอนข้าไปส่งข่าวก็ไม่พบตัวเขา” คุณชายสามเจียงหยวนได้พูดแทรกขึ้น

ทันทีที่ได้ยินหลิวเซียนกูจึงทำหน้าเคร่งเครียด “หากพลาดเวลานี้ไปแล้ว พิธีครั้งหน้าก็คงต้องรอไปอีกเจ็ดวัน”

“ไอ้หลานเวรนี่!”

เฝิงเหล่าฮูหยินสบถด้วยความโกรธ แต่แล้วก็เห็น ‘ไอ้หลานเวร’ ผู้นั้นวิ่งเข้ามา

“เอ๊ะ วันนี้เป็นวันไหว้บรรพบุรุษหรอกหรือ แต่สถานที่กลับไม่ถูกต้อง” ครั้นเจียงจั้นเห็นโต๊ะทำพิธีจึงถามออกมาด้วยความสงสัย

ทุกคนต่างเอือมระอากับผู้ที่มาใหม่