มีสิ่งของหลายอย่างที่ต้องเตรียมสำหรับภารกิจในรูปแบบนี้
เสบียงอาหาร น้ำดื่ม อาวุธ อุปกรณ์ตรวจจับกับดัก รวมไปถึงกำลังพลที่มากพอจะต่อกรกับเหล่าผู้พิทักษ์และสัตว์อสูร
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่มักจะถูกมองข้าม
นั่นก็คือแสงสว่างที่พอเหมาะ
ซากสิ่งก่อสร้างทั้งหลายมักจะถูกฝังอยู่ใต้ดิน หน้าต่างย่อมใช้การไม่ได้ บางสถานที่อาจจะไม่มีหน้าต่างเสียด้วยซ้ำ โดยส่วนใหญ่จะมีระบบไฟหรืออาศัยคบเพลิงเป็นตัวช่วยวิสัยทัศน์ แต่ถึงกระนั้นสิ่งเหล่านี้ก็อยู่ห่างกันเว้นระยะพอสมควร ในบางกรณีก็ชำรุดจนใช้การไม่ได้
สำหรับปราสาทธันเดอร์ดูม ก็นับเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่ดวอฟเคยอาศัยอยู่ที่นี่ นั่นทำให้อาคมเวทมนตร์แสงสว่างที่ติดตั้งอยู่ตามเพดาน… ย่อมเสื่อมสภาพไปบ้างตามกาลเวลา
ในฐานะที่เป็นนักสำรวจมืออาชีพ เฟลิซีย่อมไม่พลาดกับเรื่องสำคัญเช่นนี้ นางเตรียมอุปกรณ์สร้างแสงสว่างติดตัวมาด้วย คทาขนาดเล็กที่ส่องแสงออกมาราวกับไฟฉาย หรือจะเป็นหินส่องแสงขนาดเท่ากำมือที่ส่องสว่างในรัศมีสิบเมตร หินสองก้อนถูกส่งมอบให้กับเดเลียและคารัคที่อยู่หัวและท้ายขบวน
สิ่งที่คณะของอินกองขาดแคลนในตอนนี้กลับเป็นเรื่องของเสบียง นั่นเพราะว่าพวกเขาตั้งใจจะเข้ามาสำรวจเส้นทางอย่างคร่าว ก่อนจะกลับออกไปเพื่อเตรียมตัวอีกรอบ
“โอยยย ท้องข้า”
คารัคกุมท้องของมันขณะที่นั่งลง อินกองที่มัววุ่นกับการเอาใจใส่กรีนวินด์ ตอบมันอย่างไม่ใยดี
“ไม่ใช่ว่านายก็แค่หิว?”
“เอ่อ นั่นก็ด้วย”
ตั้งแต่พวกเขาเข้ามายังตัวปราสาทธันเดอร์ดูม ก็นับเป็นเวลาได้ราวสามชั่วโมง พวกเขาใช้เวลาร่วมสองชั่วโมงในการเดินสำรวจ อาศัยเพียงน้ำยาแก้เหนื่อยและน้ำยาปลุกภวังค์ประคองสติเอาไว้ เมื่อยาทั้งสองหมดฤทธิ์ ความอ่อนล้าที่ถูกมองข้ามก็พุ่งเข้าถาโถม
ปราสาทธันเดอร์ดูมเป็นเมืองที่มีขนาดอันใหญ่โตกว้างขวาง จนไม่สามารถเอาไปเทียบได้กับวิหารทั่งวัชรกร
‘แต่แค่วันเดียว มันก็น่าจะพอสำรวจได้หมดนา’
ปราสาทธันเดอร์ดูมถูกสร้างด้วยการขุดเจาะเข้าไปในตัวภูเขา แม้จะมีกับดัก สัตว์อสูร และผู้พิทักษ์เฝ้าอยู่ แต่มันก็สามารถสำรวจเสร็จสิ้นได้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
สำหรับเวลาทั้งสองชั่วโมงที่ผ่านมา คณะของอินกองได้เผชิญกับสองห้องโถงที่เต็มไปด้วยกับดัก ฝูงสัตว์อสูรสองกลุ่ม แต่เพราะนี่เป็นที่อยู่อาศัยของพวกดวอฟ ทำให้กับดักทั้งหลายไม่อันตรายมากนัก
นั่นก็เพราะยิ่งมีกับดักมากเท่าไร การอยู่อาศัยก็ยากขึ้นเท่านั้น
‘นับว่าโชคดีที่พวกเรายังไม่เจอพวกมือที่สาม’
เขาอดกังวลถึงอีกกลุ่มที่อยู่ในปราสาท ณ ปัจจุบันไม่ได้
อินกองตรวจดูแผนที่ย่อของเขาอีกครั้ง จากตำแหน่ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่บริเวณด้านหลังของตัวปราสาท
เขาไม่สามารถจดจำรายละเอียดทุกกระเบียดนิ้วของสถานที่ทั้งหมดในเกมบทกวีแห่งผู้กล้าได้
แต่ขอเพียงจำรายระเอียดบริเวณสำคัญได้ ก็เกินพอแล้ว
‘ถ้าพวกเราตรงไปข้างหน้าอีกนิด มันน่าจะมีทางแยก’
มีเส้นทางสองเส้นที่จะนำพวกเขาไปยังห้องควบคุมของปราสาทธันเดอร์ดูม ทางหนึ่งสั้นแต่เต็มไปด้วยกับดักสุดอันตราย อีกทางจะมีกับดักน้อยกว่า นั่นก็เพราะมันอ้อมผ่านที่อยู่อาศัยหลายแห่ง
“องค์ชายจะไม่วาดแผนที่เส้นทางสักหน่อยหรือ?”
ดาฟเน่เอ่ยถามขึ้นระหว่างนั่งพักดื่มยาจากมุมหนึ่ง แม้นางจะยังขาดประสบการณ์ แต่นางก็เข้าใจถึงความสำคัญของแผนที่ในการสำรวจเป็นอย่างดี
ทว่ากลับไม่มีผู้ใดวาดแผนที่เส้นทาง นั่นทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ
หากแต่นอกจากดาฟเน่แล้ว สมาชิกที่เหลือกลับไม่มีที่ท่าเป็นกังวลแต่อย่างใด อินกองผงกหัวก่อนจะตอบคำถามของนาง
“ไม่ต้องห่วง เราจำเส้นทางทั้งหมดไว้ในหัวเรียบร้อย”
คำตอบอย่างมั่นใจของฉัตร กลับทำให้ดาฟเน่รู้สึกตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าเดิม
ก่อนเฟลิซีจะพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
“อาจจะฟังดูเลอะเทอะไปบ้างแต่มันเป็นเรื่องจริง ฉันไม่รู้รายละเอียดเท่าไร แต่ไว้ใจฉัตรเรื่องแผนที่ได้”
“นูนะไม่รู้รายละเอียดอะไรครับ?”
เฟลิซียักไหล่และหัวเราะคิกคักให้กับคำถามแทรกของอินกอง
“ช่างมันเถอะ แต่นี่ก็น่าเสียดาย ฉันอยากจะสำรวจให้ละเอียดกว่านี้”
ด้วยสถานการณ์บังคับ ทำให้พวกเขารีบมุ่งหน้าหาห้องควบคุม ระหว่างทางพวกเขาพบของใช้ประจำวัน รูปวาด สถาปัตยกรรมมากมาย ซึ่งสำหรับนักสำรวจอย่างเฟลิซีแล้ว การต้องมองข้ามร่องรอยอารยธรรมเหล่านี้ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง
“ไว้นูนะกลับเข้ามาสำรวจอีกทีก็ได้ครับ”
“ถึงงั้นก็เถอะ ฉันไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดเรื่องพวกนี้”
นางรู้อยู่แล้วว่าต้องมีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่นางไม่เคยคิดว่าจะถูกลอบโจมตี หรือถูกขังอยู่ภายในซากปราสาท
คารัคพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ข้าเห็นด้วย ไม่ว่าองค์ชายจะไปที่ไหน ก็มักจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นตลอด”
“ครับ ครับ”
ซึ่งก็เป็นตามที่เจ้าออร์คพูด
พวกเขาพบกับสว็อมพ์แมมม็อธในปฏิบัติการปราบกบฏเผ่าสายฟ้าชาด ส่วนในปฏิบัติการปราบเหล่าคาเซียก็มีสัตว์อสูรที่มาพร้อมไอพลังสีม่วง การมุ่งขึ้นสำรวจทิศเหนือของที่ราบอินคาก็ลงเอยเช่นเดียวกัน พวกเขาพบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดและเกือบตายมาโดยตลอด
สิ่งที่น่าประหลาดใจไม่จบแค่เพียงภารกิจทั้งหลาย แม้แต่การประชุมสภาทั้งสองครั้งที่ฉัตรเข้าร่วมก็เป็นที่น่าตกตะลึงเช่นกัน
ระหว่างที่อินกองนั่งระลึกเรื่องราวที่เกิดขึ้น กรีนวินด์ก็ปรากฏกายขึ้นบนไวท์อีเกิ้ลถามอินกองอย่างสงสัย
‘ทั้งหมดเป็นเพราะนายท่านจริงหรือ?’
อินกองทำได้แต่หัวเราะแห้งแห้งออกมา แม้มันจะเป็นเรื่องจริง แต่การถูกยกมาพูดถึงในลักษณะนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีสักเท่าไร
‘นี่ก็เป็นผลจากพลังพระเอกด้วยงั้นสิ?’
เขาเปิดหน้าต่างทักษะขึ้นมาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมอย่างอดไม่ได้
“ถึงกระนั้น… สถานการณ์ทั้งหมดก็คลี่คลายมาได้เพราะใต้ฝ่าพระบาท หากมิใช่พระกรุณาธิคุณของใต้ฝ่าพระบาท ข้าพระพุทธเจ้าคงมิแคล้วคลาดสิ้นชีวิตไปแล้วเพคะ”
อินกองไม่เพียงแต่เป็นต้นเหตุ เขายังเป็นผู้ที่คลี่คลายเหตุการ์ทั้งหมดอีกด้วย
เดเลียกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม ซึ่งเฟลิซีก็พยักหน้าเห็นด้วย โดยมีกัมมะกับดาฟเน่พยักหน้าต่อตามลำดับ
อินกองมองไปทางเดเลียอย่างซาบซึ้ง ก่อนจะหันไปมองคารัคและกรีนวินด์
“ท้องข้าาาาา”
‘ไม่ว่ายังไงข้าก็อยู่ฝ่ายนายท่านเสมอ’
ทั้งสองสร้างความขบขันให้อินกอง และก็เป็นเวลานั้นเอง…
ความมืดเลือนหายไปในพริบตา แทนที่ด้วยแสงสว่างส่องเจิดจ้าแผ่ทั่วทุกบริเวณ ตามมาด้วยเสียงสัญญาณที่ดังขึ้นระงม
คารัค กัมมะ และดาฟเน่ กระโจนตัวลุกขึ้นอย่างตกใจกับความเปลี่ยนแปลง อินกอง เฟลิซี และเดเลียก็แปลกใจ แต่ความคิดของทั้งสามมุ่งไปในทิศทางตรงข้าม
แสงที่สว่างขึ้นพร้อมเสียงสัญญาณ นี่เป็นสิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับปราสาทที่เป็นเมือง ไม่ใช่ตามปราสาทป้อมปราการทั่วไป และก็ใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อสถานที่สำคัญ หรือบุคคลสำคัญของปราสาทได้รับอันตราย
อินกองและเฟลิซีหันหน้ามาจ้องกัน สีหน้าของทั้งสองบ่งบอกว่าทั้งคู่มีความคิดที่เหมือนกัน
ปราสาทกำลังถูกบางอย่างโจมตี
บางสิ่งกำลังบุกเข้าสถานที่สำคัญของปราสาท หรือต่อสู้กับหัวหน้าผู้พิทักษ์
มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นฝ่ายเดียวกับศัตรูที่โจมตีคณะของอินกอง
‘หรือว่าเป้าหมายของพวกนั้นคือปราสาทธันเดอร์ดูมจริงๆ?’
บางทีพวกมันโจมตีคณะสำรวจจากวังจอมมารถึงสองครั้ง ก็เพื่อไม่ให้การบุกยึดปราสาทของพวกมันมีอุปสรรค?
เป็นเหตุผลที่พอเป็นไปได้ แต่เขาก็ยังไม่วางใจนัก
แม่ทัพกาซบาลตายมาได้ร่วมสองสัปดาห์ หมายความว่าพวกมันมีเวลาถึงสองสัปดาห์ในการบุกยึดปราสาท
ถ้าอย่างนั้น ทำไมพวกมันถึงเพิ่งจะเริ่มบุกเอาตอนนี้?
พวกมันมีเวลามากพอ เว้นเสียแต่ว่าพวกมันจะตรวจสอบสำรวจทุกซอกทุกมุมแบบที่เฟลิซีคิดจะทำ
ดูเหมือนเป้าหมายของพวกมันจะลึกซึ้งกว่าที่เขาคาดไว้ บางสิ่งบางอย่างที่อินกองลืมนึกถึง
‘เป้าหมายของพวกมันคือไอ้นั่นสินะ’
บางทีเป้าหมายของพวกมันอาจจะไม่ใช่การยึดปราสาทแต่เป็นสิ่งของบางอย่าง? บางทีสิ่งที่พวกมันค้นหาอาจจะเป็นอาวุธปราบมังกร เช่นเดียวกับที่อินกองต้องการ?
‘อาซคาลัน’
อาวุธพิฆาตมังกรที่ทรงอานุภาพที่สุดของปราสาทธันเดอร์ดูม และก็เป็นสิ่งที่อินกองต้องการมากที่สุดในภารกิจครั้งนี้
อินกองคิดคำนวนทุกอย่างออกมาเสร็จสิ้น เขาไม่สามารถนิ่งเฉยได้ในขณะที่คู่แข่งของเขากำลังทำแต้มนำอยู่
“ฉัตร”
เฟลิซีมองมายังอินกอง ผลลัพธ์จากการตรึกตรองของนางก็ออกมาเช่นเดียวกับอินกอง
“เราจะใช้กำลังบุกฝ่าเข้าไป”
เฟลิซีพยักหน้าไม่ปริปาก เดเลียเก็บอุปกรณ์สร้างแสงสว่างทั้งหมดพร้อมเตรียมตัวบุกตะลุย
อินกองมองไปยังสมาชิกทั้งหมดก่อนจะเริ่มออกคำสั่ง
“คารัคยกโล่ขึ้นแล้วใช้มันวิ่งนำทางฝ่าเข้าไปโดยไม่ต้องสนอะไรทั้งนั้น กัมมะแบกดาฟเน่ เฟลิซีนูนะกับเดเลียคอยระวังด้านข้าง”
ที่ผ่านมา พวกเขาเดินทางพลางปลดกับดักทีละอัน แต่สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว
แม้จะรู้ถึงความเสี่ยง แต่พวกเขาก็เลือกที่จะวิ่งฝ่ากับดักเข้าไป
เจ้าออร์คหัวเราะออกมาอย่างชอบใจในความระห่ำ มันใช้มือทั้งสองจับโล่ไว้อย่างแน่น เอลฟ์รัตติกาลทั้งสองประกบอยู่ข้างมัน ตามด้วยกัมมะที่แบกดาฟเน่ไว้บนหลัง
“กรีนวินด์”
อินกองยกแขนซ้ายของเขาขึ้น ไวท์อีเกิ้ลจะคอยบินรอบพวกเขา คอยปกป้องช่องโหว่ของกระบวนทัพ
“ฉันจะทำเต็มที่ละกัน”
เฟลิซีเรียกภูติสายลมออกมา นางเลือกไม่ใช้เวทมนตร์อื่นใด พลางเพ่งสมาธิไปที่ภูติลม สายลมพัดกระหน่ำขึ้นตอบรับคำขานของนาง
คารัคคอยระวังภัยจากด้านหน้า ภูติลมของเฟลิซีคอยระวังจากด้านข้าง ไวท์อีเกิ้ลคอยเติมเต็มช่องโหว่
ดาฟเน่ร่ายพรสนับสนุนเพิ่มเติม ส่วนอินกองก็ควักมีดดวอฟของเขาออกมาเรียกใช้ใต้ร่มเงากษัตริย์
“นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ของการบุกสำรวจปราสาทเลยทีเดียว”
เรียกได้ว่าเป็นวิธีที่สิ้นคิดและบ้าระห่ำมาก แต่การท้าทายในรูปแบบนี้ก็สร้างรอยยิ้มให้กับแม่นางนักสำรวจมืออาชีพ
“ลุยยยยย”
อินกองตะโกนสั่ง คารัคสูดหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะคำรามออกมาพร้อมออกวิ่ง
“บุก!”
“คุร่าฮ์!”
รถไฟเริ่มออกวิ่ง โดยมีคารัคเป็นหัวขนวน อินกองมองแผนที่ย่อของเขาพลางบอกสั่งทิศทางกับคารัค
เคล้ง เคล้ง เคล้ง!
ศรธนูพุ่งเข้าโจมตีกระทบกับโล่เหล็ก แต่รถไฟก็ยังคงวิ่งต่อไปอย่างไม่สะทกสะท้าน
“คุร่าฮ์!”
แน่นอนว่าศรธนูพุ่งเข้าโจมตีจากทุกทิศทาง แต่ภูติลมและไวท์อีเกิ้ลก็ค่อยปัดเป้าป้องกันไว้ได้
อินกองสั่งให้คารัควิ่งไปทางเส้นทางที่สั้นที่สุด และในทันใดนั้น เปลวไฟสีเขียวก็พวยพุ่งลงมาจากเพดาน
“วิ่งไป อย่าหยุด!”
อินกองตะโกนสั่งพร้อมแสงสีเขียวที่เรืองขึ้นจากไวท์อีเกิ้ล…
โล่ของคารัคที่ปกป้องขบวนจากด้านหน้าอยู่นอกระยะคุ้มกันของไวท์อีเกิ้ล แต่ก็ได้รับการปกป้องจากภูติลม สายลมพัดโหมปัดเปลี่ยนทิศทางของเปลวไฟ ไปเผาไหม้น้ำกรดที่พุ่งเข้ามาตามรูผนังด้านข้างให้ระเหยเป็นควัน
คารัคยังคงวิ่งอย่างต่อเนื่อง มันเริ่มหายใจติดขัดแต่อินกองไม่มีทีท่าจะให้มันหยุดแต่อย่างใด
“ฟุลชาร์จ!”
ดาฟเน่ร่ายพรฟื้นฟูความเหน็ดเหนื่อยจากแผ่นหลังของกัมมะ พรนี้ไม่สามารถรักษาบาดแผลของร่างกายได้ แต่ทำให้ฟื้นฟูความล้าได้เร็วขึ้น ผลจากพรทำให้คารัคกลับมาหายใจได้ปกติตามเดิม และเพิ่มกำลังให้กลับคืนมายังเท้าของมัน
“เหื้ออออ!”
คารัครองครวญคราง สิ่งที่มันเห็นเบื้องหน้าโล่ของมันมีแค่เปลวไฟสีฟ้าพวยพุ่ง
คารัคสบถออกมาแล้วร้องคำรามศึกสร้างความฮึกเหิม ก่อนจะพุ่งฝ่าเปลวไฟเข้าไป
“คุร่าฮ์!”
“ฟุลชาร์จ!”
ศรธนู เปลวเพลิง น้ำกรด หอกสั้น กับดักมากมายทำงานส่งอาวุธร้ายออกมา แต่รถไฟขบวนนี้ก็ยังคงวิ่งฝ่าเข้าไป โดยมีดาฟเน่คอยร่ายพรฟุลชาร์จลดความเหนื่อยล้าให้สมาชิกอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางกับดักสุดแสนอันตรายเหล่านี้ พวกเขาไม่สามารถลดฝีเท้าลงได้แม้แต่น้อย
สมาชิกทั้งหมดมีความมุ่งมั่นที่จะฝ่าเข้าไปให้ได้ แต่ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายนี้ อินกองกลับมีเวลาคิดถึงบางสิ่ง
‘กับดักทั้งหมดยังทำงานปกติ!’
นั่นหมายความว่าคู่แข่งของพวกเขาไม่ได้ใช้เส้นทางนี้
“วิ่ง! คารัค! วิ่ง!”
“โอ้วววว!”
“ฟุลชาร์จ!”
เอ๋วิ่งดิ! เอ๋วิ่ง!
ดาฟเน่ร่ายพรออกมาอย่างต่อเนื่อง แม้พรจะช่วยลดความอ่อนล้าของสมาชิกได้ แต่ไม่ใช่กับตัวของนางเอง ร่างของนางเหนื่อยอ่อนบนหลังของกัมมะ โล่ที่คารัครับมาจากคลังสมบัติก็อยู่ในสภาพที่เละเทะ เฟลิซีที่เพ่งสมาธิควบคุมภูติลมเหงื่อแตกพลั่ก แต่ถึงกระนั้น รถไฟขบวนนี้ก็ยังคงวิ่งอยู่ จุดหมายข้างหน้าอยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ข้อดีของการที่มีกับดักมากมายก็คือพวกเขาจะไม่พบกับสัตว์อสูรหรือผู้พิทักษ์ พวกมันไม่คิดจะบุกฝ่ากับดักเข้ามาเพื่อโจมตี
แต่ข้อเสียของกลยุทธนี้ก็คือหากพวกเขาพบกับดักบนพื้น พวกเขาได้จบสิ้นแน่นอน โชคดีที่อินกองจำตำแหน่งของกับดักบนพื้นเหล่านี้ได้ และเฟลิซีก็เสริมเห็นด้วย ว่าพวกดวอฟไม่เคยใช้กับดักบนพื้น
พวกที่เหยียบแล้วพื้นหายเป็นหลุมตกไปเจอหนามเสียบ
เวลาผ่านไปอีกสักพัก
ดาฟเน่หมดสติลงจากการใช้พลังเวทมากเกินไปกับการร่ายพร แต่รถไฟก็ยังคงวิ่งต่อจนพบกับประตูบานใหญ่
“คุ แฮ่ก ร แฮ่ก -่า แฮ่ก ฮ์ แฮ่ก”
คารัคส่งเสียงอันเหนื่อยอ่อนออกมา แม้ฟุลชาร์จจะช่วยให้มันไม่เหน็ดเหนื่อย แต่พรไม่ได้ช่วยอะไรกับสภาพจิตใจของมัน
กัมมะยืนด้วยขาอันสั่นเทา เฟลิซีหยิบผ้าออกมาซับเหงื่อที่แตกพลั่กของนาง เดเลียหันกลับมามองอินกอง
“ใต้ฝ่าพระบาทเพคะ”
“อืม น่าจะเป็นที่นี่แหละ”
ประตูตรงหน้าสร้างความมั่นใจให้กับอินกอง มันเป็นบานประตูที่เขาคุ้นเคยอย่างดีจากในเกม
‘ผู้คุมประตูย้ายไปช่วยการต่อสู้ที่ไหนหรือไงเนี่ย?’
อ้างอิงจากความจำของเขา บริเวณนี้ควรจะมีผู้พิทักษ์ที่รูปร่างเหมือนการ์กอยล์เฝ้าประตูอยู่ อินกองขบฟันคิดคำนวนสาเหตุที่ทำให้ผู้คุมไม่อยู่ที่นี่
‘ไม่ผิดแน่ อาซคาลัน’
ภายในปราสาทธันเดอร์ดูม อาซคาลันถูกปักฝังคาอยู่ในร่างของมังกรดำพาติซาน
ร่างของพาติซานอยู่ที่ใจกลางลานปราสาท เฝ้าโดยหัวหน้าผู้พิทักษ์
‘นายท่านแย่มาก’
อินกองลูบคลำไวท์อีเกิ้ลเพื่อปลอบประโลมกรีนวินด์ที่บ่นอย่างไม่หยุดหย่อน ก่อนจะเปิดประตูเข้าสู่ห้องควบคุม
ภายในเป็นห้องขนาดใหญ่ มีอุปกรณ์พร้อมเอกสารกระจัดกระจายรกทั่วทุกที วินาทีสุดท้ายของปราสาทธันเดอร์ดูมเต็มไปด้วยความวุ่นวาย จึงไม่แปลกที่ทั้งหมดจะเละเทะไร้ระเบียบ
ใจกลางห้องนี้เป็นโต๊ะ มีลูกแก้วขนาดใหญ่ หมวกเหล็กดวอฟ และซากกระดูกของซาราบาล แม่ทัพตนสุดท้ายของปราสาทธันเดอร์ดูม
ซาราบาลได้รับบาดแผลจากการทำศึกกับมังกร เขาจึงเลือกใช้ลมหายใจสุดท้ายอยู่ในห้องควบคุมคอยคุ้มกันให้ดวอฟตนอื่นอพยพหนี เป็นแม่ทัพจวบจนวินาทีสุดท้ายของชีวิต คู่ควรแก่การยกย่อง
หลังจากสงบนิ่งทำความเคารพ เฟลิซีก็หยิบกุญแจจากมือของซาราบาล แม้นี่จะเป็นครั้งแรกที่นางมาเยือนปราสาทธันเดอร์ดูม แต่ประสบการณ์ของนักสำรวจทำให้นางรู้ว่าต้องทำอะไร
กุญแจควบคุมที่มีรูปร่างเหมือคทาถูกสอดเข้ารูใต้ลูกแก้ว นางถ่ายพลังเวทเข้าไป ก่อนลูกแก้วจะเรืองแสงสีน้ำเงินออกมา
“ดูเหมือนจะมีการต่อสู้กันอยู่”
แสงสีน้ำเงินแสดงภาพบริเวณของปราสาทธันเดอร์ดูมผ่านทางนัยน์ตาผู้พิทักษ์ บางส่วนแสดงให้เห็นถึงการต่อสู้กับผู้บุกรุก โดยมีร่างของมังกรดำขนาดใหญ่เป็นฉากหลัง
จำนวนผู้บุกรุกมีราว 100
เฟลิซีหันหน้ามาทางอินกอง ก่อนทั้งคู่จะพยักหน้าให้กัน
โอกาสที่แสนจะหอมหวานอยู่ตรงหน้าพวกเขาแล้ว