ปราสาทธันเดอร์ดูมไม่ใช่ฐานที่มั่นสุดท้ายของเหล่าดวอฟ นั่นทำให้มีบันทึกประวัติศาสตร์ส่งมอบสู่ดวอฟรุ่นหลัง บันทึกเกี่ยวกับตัวปราสาท รวมถึงสัตว์ร้ายที่นำพาหายนะมาสู่ปราสาท

 

 มังกรดำพาติซาน

 

 ร่างอันใหญ่โต บุคลิกแสนชั่วร้าย และความโลภที่มากมาย พาติซานเป็นแกนนำหลักในสงครามกับเหล่าดวอฟ

 

 กลศึกของพาติซานนั้นเรียบง่าย

 

 โจมตีปราสาทเข้าไปจนกว่ามันจะพัง

 เราจะบุกอัดข้าศึกด้วยทุกสิ่งที่เรามี ทะลวงมันให้ทะลุ อย่างไม่หยุดยั้ง

 

 พาติซานเกณฑ์สัตว์อสูรจำนวนมากเข้าบุกปราสาทธันเดอร์ดูม เมื่ออ้างอิงจากประวัติศาสตร์ที่เหล่าดวอฟบันทึกแล้ว พวกมันมีจำนวนมากถึง 100,000 ตนเลยทีเดียว แต่หากคำนึงถึงนิสัยของเหล่าดวอฟที่ชอบพูดเกินจริงด้วยแล้ว สิ่งที่นักประวัติศาสตร์ตีความออกมาได้คือ ศัตรูมีจำนวนราว 20,000 ถึง 30,000 ตน

 ผมไม่ได้โม้~

 

 ปราสาทธันเดอร์ดูมสามารถป้องกันการโจมตีระลอกแรกไปได้ด้วยดี

 

 ทว่าปัญหาที่แท้จริงตามมาหลังจากนั้น

 

 มังกรดำพาติซานเรียกได้ว่าเป็นนักรบที่ชำนาญเวทมนตร์หลายแขนง หนึ่งในนั้นคือเวทมนตร์ควบคุมวิญญาณ มันทำการคืนชีพให้กับสัตว์อสูรทั้งหมดเพื่อบุกโจมตีระลอกต่อมา

 

 แต่ปราสาทธันเดอร์ดูมก็ยังทานทนอยู่ได้ สร้างความประหลาดใจยิ่งให้กับมัน เหล่าสัตว์อสูรที่ถูกปลุกขึ้นมาเป็นอันเดด ถูกทำลายชนิดที่ไม่เหลือร่างกายให้คืนชีพขึ้นมาได้

 

 ถึงการโจมตีทั้งสองระลอกจะถูกเหล่าดวอฟป้องกันไว้ได้ แต่นั่นก็เทียบไม่ได้เลยกับการโจมตีในระลอกที่สาม

 

 การโจมตีทั้งสองครั้งสร้างความเสียหายให้กับตัวกำแพงได้พอสมควร

 

 กำแพงชั้นนอกพังทลาย ทำให้พาติซานสามารถนำทัพสัตว์อสูรที่เหลือ บุกฝ่าเข้าตัวปราสาทไปพบกับผู้กล้าเผ่าดวอฟ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งหมดเป็นเจ้าบ้านที่ดีเตรียมตัวรอรับแขกอยู่ที่ใจกลางลานปราสาท

 

 พาติซานสังหารเหล่าดวอฟอย่างง่ายดายราวกับมดปลวกในการเข้าปะทะกันซึ่งหน้า

 

 แต่ก็เพราะด้วยความหยิ่งทนงนั้นเอง ที่ทำให้พาติซานถึงจุดจบ

 

 ทีนี่ สปาร์ค นักรบที่ทรงพลังที่สุดของปราสาทธันเดอร์ดูมต่อสู้แลกชีวิตกับพาติซาน ก่อนอาวุธพิฆาตมังกรที่ทรงพลังที่สุดจะปักคาอกของมังกรทมิฬ

 ไอรอนแมน อ่าว โทนี่ สตาร์ค หรอ โทษๆ

 

 หอกอาซคาลัน

 

 ชื่อของอาวุธที่ดับลมหายใจของมังกรดำพาติซาน แม้ทีนี่ สปาร์คจะตายจากเวทมนตร์ของพาติซานที่ฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้น เสียงที่ดังออกมากลับเป็นเสียงที่หัวเราะอย่างท้าทาย ไร้ซึ่งความกลัว

 

 หลังจากพาติซานสิ้นใจลง กองทัพทั้งหมดที่ถูกมันควบคุมก็อาละวาดอย่างคลุ้มคลั่ง

 

 เหล่าดวอฟที่ยังหลงเหลืออยู่จึงตัดสินใจที่จะอพยพย้ายถื่นฐานผ่านประตูมิติ ทำให้ปราสาทธันเดอร์ดูมถูกทิ้งร้าง กลายเป็นหลุมศพของเหล่าผู้กล้าดวอฟและมังกรดำพาติซาน

 

“สรุปก็คือ หอกที่ปักอยู่ที่อกของมังกรนั่นคืออาซคาลัน?”

 

“ควรจะใช่ครับ”

 

 อินกองพยักหน้าพลางมองไปยังร่างของมังกรดำที่ถูกแสดงเป็นฉากหลังการต่อสู้ ร่างดำทมิฬที่มีความยาวร่วม 30 เมตร แม้ไม่อาจเทียบเท่ามังกรบรรพกาลที่มีความยาวหลักร้อย แต่พาติซานก็เรียกได้ว่าเป็น ‘อสูรกาย’ เช่นกัน

 

 และที่อกของร่างนี้ ก็มีแท่งยาวสีขาวปักอยู่ แน่นอนว่าคืออาวุธปราบมังกรที่ทรงพลังที่สุด อาซคาลัน

 

 เฟลิซีหรี่ตาลงแล้วพูดออกมา

 

“ถ้าอย่างนั้น เป้าหมายของพวกมันก็น่าจะเป็นอาซคาลัน”

 

 เช่นเดียวกับอินกอง เฟลิซีไม่สามารถระบุเป้าหมายของอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำท่ามกลางตัวแปรหลากหลาย

 

 ทำได้แต่เพียงประมาณการอย่างคร่าวเท่านั้น

 

“พวกเราจะปล่อยให้อาซคาลันตกอยู่ในมือกลุ่มนิรนามไม่ได้ นอกจากพวกมันจะฆ่าแม่ทัพและทหารของวังจอมมารแล้ว พวกมันยังพยายามฆ่าพวกเราอีก ฉันไม่ยอมให้พวกมันทำอะไรสำเร็จตามหวังแน่นอน”

 

 แม้จำนวนศัตรูจะมีร่วมร้อย แต่คณะของอินกองก็ไม่คิดจะถอย อันที่จริงพวกเขาอาจจะไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับพวกมันโดยตรงด้วยซ้ำ

 

 อินกองมองไปยังผู้พิทักษ์ทั้งหมดที่ต่อสู้อยู่

 

“นูนะสามารถบงการพวกผู้พิทักษ์ได้รึเปล่าครับ?”

 

 นี่เป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถทำได้ในเกม ทว่าในตอนนี้ที่เป็นเรื่องจริง มันพอเป็นไปได้

 

 แต่เฟลิซีส่ายหน้าให้กับคำถามของเขา

 

“ยาก สถานการณ์ในตอนนี้ต่างไปจากกรณีของทั่งวัชรกร หัวหน้าผู้พิทักษ์น่าจะเป็นโกเล็มตัวนั้น… และดูเหมือนดวอฟที่มีอำนาจสั่งการน่าจะตายไปหมดแล้ว”

 

 สายตาของสมาชิกทั้งหมดมองไปยังโกเล็มขนาดยักษ์ที่แสดงอยู่ตรงกลางภาพจำลอง  มันเป็นโกเล็มที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติถึงหกเท่าตัว ร่างของมันสร้างขึ้นจากเหล็กเงิน มันนำทัพผู้พิทักษ์ต่อสู้กับผู้บุกรุกด้วยค้อนศึกขนาดใหญ่และโล่ศึกที่มีขนาดสมตัวมัน

 

 หากดวอฟที่มีอำนาจสั่งการตายไปหมดแล้วอย่างที่เฟลิซีกล่าว นางย่อมไม่สามารถสั่งการโกเล็มตัวนี้ได้ แม้ว่าจะสั่งการผ่านทางห้องควบคุมก็ตาม

 

 ไม่มีเสียงตอบรับจากดาฟเน่ที่หมดสติไปเรียบร้อย แต่สีหน้าของกัมมะที่อยู่ข้างนางดูหมดหวังขึ้นมาทันที

 

 เฟลิซีหันมายิ้มให้กับกัมมะก่อนจะหันกลับไปคุยกับอินกองต่อ

 

“แต่ยังมีบางอย่างที่เราสามารถทำได้ พวกเราแค่ต้องเข้าร่วมการต่อสู้ในเวลาที่เหมาะเจาะ”

 

 กรณีที่ดีที่สุดก็คือเมื่อผู้พิทักษ์และผู้บุกรุกทำลายกันเองจนหมดทั้งสองฝ่าย พวกเขาเพียงแค่ต้องกำจัดศัตรูที่หลงเหลือก่อนจะรับสมบัติทั้งหมดของปราสาทไปครอบครอง

 

 แน่นอนว่าเหล่าผู้พิทักษ์จะไม่หยุดจนกว่าผู้บุกรุกจะถูกทำลายหมดสิ้น

 

 ทว่าจากภาพรวมที่พวกเขาเห็น ดูเหมือนฝั่งผู้บุกรุกจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ

 

“ฉัตร เธอคิดว่ายังไง?”

 

 คำถามของเฟลิซีทำให้อินกองหันไปจ้องโกเล็มยักษ์ แน่นอนว่ามันคือศัตรูตัวหัวหน้าเมื่อเขาบุกปราสาทธันเดอร์ดูมในเกม ทว่าในตอนนี้เขาไม่มีความจำเป็นต้องสู้กับมัน

 

“ผมขอไปเอาหลักประกันก่อน”

 

“หลักประกัน?”

 

“ใช่ครับ หลักประกัน”

 

 อินกองยกแขนซ้ายขึ้นพร้อมไวท์อีเกิ้ล

 

&

 

 การต่อสู้ระหว่างผู้พิทักษ์และผู้บุกรุกดำเนินไปอย่างดุเดือด

 

 แม้การต่อสู้กับมังกรในอดีตจะทำให้จำนวนของผู้พิทักษ์ลดหายไปมาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ศักยภาพของเหล่าผู้พิทักษ์ลดลง

 

 ค้อนของโกเล็มหัวหน้าผู้พิทักษ์สร้างประกายสายฟ้าโจมตีศัตรูทุกครั้งที่มันถูกเหวี่ยง ส่วนการ์กอยล์ผู้คุมประตูก็คอยยิงคลื่นพลังโจมตีจากระยะไกล

 

 เหล่าผู้บุกรุกก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกมันเก่งกาจกว่าพวกที่ถูกส่งมาจัดการอินกองอย่างเห็นได้ชัด พวกมันมีทั้งออร์ค โอเกอร์ แม้กระทั้งเอลฟ์รัตติกาลคอยร่ายเวทมนตร์สนับสนุน

 

 ที่น่าอัศจรรย์คือพวกมันมีสัตว์อสูรที่ควรจะเป็นฝ่ายผู้พิทักษ์คอยช่วยเหลือ ดูเหมือนศัตรูนิรนามเหล่านี้จะมีเวทมนตร์หรือของวิเศษระดับสูงที่สามารถใช้ควบคุมจิตใจได้

 

 การต่อสู้ดำเนินไปอย่างไม่ลดละ รวมกับสภาพแวดล้อมที่เป็นซากปราสาทของดวอฟ มีเศษอักขระมากมาย ให้ความรู้สึกที่ลึกลับและอลังการ

 

 แต่คณะของอินกองมุ่งความสนใจไปที่สิ่งอื่น

 

 พวกเขาหลบอยู่ใต้ซากปรักหักพังมุมหนึ่งของลานปราสาท เดเลียคอยเฝ้าดูแลดาฟเน่ที่หมดสติอยู่ที่ห้องควบคุม ที่ตามมากับอินกองมีเพียง เฟลิซี คารัค และกัมมะเท่านั้น

 

 อินกองสูดลมหายใจเข้าให้ลึก ก่อนจะหันไปทางสมาชิก เฟลิซีถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วตบไหล่เขา

 

“นี่มันบ้ามาก ถึงฉันจะช่วยอะไรไม่ได้แต่ก็ระวังตัวด้วย”

 

“อย่าห่วงครับ”

 

 อินกองหัวเราะออกมาเล็กน้อย

 

“ขอใต้ฝ่าพระบาททรงปลอดภัยเพคะ”

 

“กลับมาให้ครบ 32 ละ”

 

 คารัคตอบอย่างไร้มารยาทเช่นเคย แต่ความไร้มารยาทอันแสนห้วนนี่แหละ ที่ทำให้อินกองผ่อนคลาย

 

“เดี๋ยวผมกลับมา”

 

 อินกองตอบแล้วใช้พรแห่งสายลมกับตัวเอง ที่เขาต้องการตอนนี้ไม่ใช่ความเร็วการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่เป็นความคล่องแคล้วอันเงียบเชียบ

 

 เขามองสำรวจแผนที่ย่อ สนามรบถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน

 

 บริเวณที่เหล่าผู้พิทักษ์ต่อสู้กับผู้บุกรุก

 

 กับอีกส่วนที่เป็นร่างมังกรดำ พร้อมผู้พิทักษ์คอยคุ้มกัน

 

 แน่นอนว่าเป้าหมายของอินกองคืออย่างหลัง

 

‘อาซคาลันของกู’

 

 จุดประสงค์หลักในการบุกปราสาทธันเดอร์ดูมของอินกองก็คืออาซคาลัน

 

 ตราบใดที่เขาครอบครองอาซคาลันมาได้ เขาสามารถวิเคราะห์หาหนทางกับการต่อสู้รอบตัวได้อย่างหมดห่วง

 

 หากฝ่ายผู้พิทักษ์ชนะ เขาแทบไม่ต้องทำอะไร หากฝ่ายผู้บุกรุกชนะ เขาเพียงเก็บกวาดศัตรูที่ล้าจากการรบ หากทั้งสองฝ่ายเสมอและหยุดต่อสู้ เขาสามารถเลือกที่จะเข้าร่วมต่อสู้ หรือหลบหนีไปพร้อมกับรางวัลที่ชื่อว่าอาซคาลัน

 

 ร่างกายของอินกองขยับเข้าใกล้เป้าหมายอย่างสงบเงียบ แม้อาจจะมีเสียงบ้างเล็กน้อย แต่เสียงอันดังสนั่นจากการต่อสู้ก็กลบข้อผิดพลาดทุกอย่างที่เกิดขึ้น

 

 อินกองเคลื่อนที่หลบไปมาตามจุดอับ แต่ก็เข้าใกล้เป้าหมายทีละนิด จนกระทั้งมาถึงร่างของพาติซาน

 

 ร่างขนาดใหญ่พร้อมเกล็ดดำทมิฬปกคลุม  สีอันดำขลับเป็นประกายราวกับมีชีวิต จนยากจะเชื่อว่ามังกรตนนี้ได้สิ้นชีวิตมาแล้วหลายร้อยปี ทำให้อินกองอดกลืนน้ำลายไม่ได้

 

 แม้อาจจะเทียบไม่ได้กับขนาดอันมหึมาของมังกรบรรพกาล แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้อินกองเข้าใจถึงความกลัวที่เกิดขึ้นจากคำว่า ‘มังกร’

 

 อินกองดึงสติของเขากลับมา แล้วเริ่มปีนร่างของพาติซานจนกระทั่งถึงบริเวณอก เขาก็พบกับปลายของสิ่งที่เขาค้นหา

 

 รูปร่างของอาซคาลันต่างจากหอกทั่วไป ครึ่งหนึ่งของตัวหอกเป็นด้ามจับ ที่ปลายมีครีบสามซี่พร้อมอัญมณีติดอยู่ ดูคล้ายกับปลายศรธนูขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าคล้ายศรของเครื่องยิงธนูศึกบัลลิสตา อีกครึ่งหนึ่งที่ฝังอยู่ในร่างมังกรดำเป็นเกลียวปลายแหลมที่คล้ายกับหอกของอัศวินยุคกลาง

 

 อินกองใช้มือของเขาคว้าจับอาซคาลัน

 

 การเรียกใช้โลหิตมังกรอาจจะกระตุ้นบางอย่างในร่างของพาติซาน นั่นทำให้เขาต้องพึ่งพาพลังจากมัดกล้ามเนื้อเท่านั้น อินกองเคลื่อนลมปราณไปยังแขนทั้งสองแล้วเริ่มออกแรง

 

 เสียงอันดังสนั่นจากการต่อสู้ที่มาพร้อมประกายแสงสายฟ้ายังคงดังขึ้นเป็นระยะ อินกองทำได้แต่กลืนน้ำลายแล้วดึงอาซคาลันออกจากร่างพาติซานอย่างใจเย็น อาวุธปราบมังกรเผยร่างของมันออกมาให้เห็นอย่างช้าช้า

 

 แม้จะถูกทิ้งฝังอยู่ในร่างของมังกรดำมาเป็นเวลานาน แต่ตัวหอกยังคงส่องประกายสีขาวเรืองรอง

 

 มีอักขระสีทองสลักประดับอยู่ด้านปลาย อักขระเหล่านี้คือแก่นของอาวุธปราบมังกรทั้งหมด อาคมที่เพิ่มอานุภาพให้อาวุธเหล่านี้สร้างความเสียหายให้กับมังกรอย่างมาก

 

 อินกองใช้แรงทั้งหมดทุ่มตัวดึงอาซคาลันออกจากร่างของมังกรดำในที่สุด มีประกายแสงสว่างส่องวาบขึ้นมา

 

 เฟลิซีและกัมมะอุทานออกมาอย่างชื่นชมในความงดงาม แต่คารัคกลับมองไปยังทิศทางการต่อสู้อย่างวิตก

 

 [อาซคาลัน]
 [ผลงานชิ้นเอกในบรรดาอาวุธพิฆาตมังกร]
 [หอกที่ทะลวงหัวใจของมังกรดำพาติซานผู้แสนชั่วร้าย แฝงไปด้วยความเกรี้ยวกราดและเคียดแค้นของเหล่าดวอฟแห่งธันเดอร์ดูม]

 

 รายละเอียดของอาซคาลันทยอยแสดงขึ้น แต่อินกองไม่สนใจ เขารีบหนีห่างออกจากร่างของพาติซานด้วยลางสังหรณ์บางอย่าง

 

‘นายท่าน!’

 

 เสียงเตือนจากกรีนวินด์ดังขึ้น อินกองรีบนำอาซคาลันเก็บเข้าช่องเก็บของ เรื่องคิดหาข้ออ้างตบตาเฟลิซีไว้ทีหลัง การเก็บอาซคาลันให้ปลอดภัยสำคัญกว่า

 

ครือ ครืน ครืนน!

 

 มีเสียงดังขึ้นสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่ได้มาจากสายฟ้าของค้อนโกเล็มหัวหน้า เป็นเสียงที่ดังขึ้นจากร่างของพาติซาน ร่างของมังกรทมิฬที่คงสภาพมาหลายร้อยปีเกิดการเปลี่ยนแปลง ราวกับเวลาที่ถูกหยุดในอดีตได้เคลื่อนที่มาสู่ปัจจุบัน เนื้อ หนัง กระดูก พาติซานแก่ตัวลงอย่ากระทันหัน ร่างของมันล้มลงพร้อมเสียงคำรามอันโหยหวน ดึงดูดทุกความสนใจมาที่อินกอง

 

 หัวหน้าผู้พิทักษ์หยุดนิ่งประมวลผลในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่ ร่างของพาติซานล้มลงพร้อมกับการหายไปของอาซคาลัน ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ มันควรจะทำอย่างไร?

 

 หลังจากการคำนวนเสร็จสิ้น หัวหน้าผู้พิทักษ์ก็เหวี่ยงค้อนของมันใส่ผู้บุกรุกรอบตัวอย่างกราดเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม มันเข้าใจว่าที่อาซคาลันหายไปเป็นฝีมือของผู้บุกรุกตรงหน้า

 

 ส่วนท่าทีของเหล่ามือที่สามนิรนามเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน

 

 บ้างตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่ง บ้างวิ่งฝ่าผู้พิทักษ์เข้าหาอินกองอย่างไม่คิดชีวิต

 

 สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เหนือความคาดหมายของอินกองเช่นกัน หากเข้ารู้ว่าร่างของพาติซานจะกรีดร้องออกมาและล้มลงเช่นนี้ เขาคงเลือกใช้แผนการที่ต่างออกไป

 

 แต่เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว เขาได้อาซคาลันมาอย่างปลอดภัย ส่วนผู้พิทักษ์ก็ยังพุ่งเป้าจัดการศัตรูนิรนาม และหนำซ้ำศัตรูบางส่วนยังวิ่งฝ่าอันตรายมาหาเขา นั่นทำให้อินกองไม่ต้องเสียเวลาวิ่งเข้าไปยังสนามรบเอง

 

“กีวี่! ทำตามแผนที่วางไว้!”

เก ริ น เว นิ ด -์  วิธีออกเสียงของเกามันทำนองนี้ แต่ไม่ใช่อย่างนี้เป๊ะหรอก เอาเป็นว่ามันเป็นเสียงแรกของทั้งสองคำ เลยกลายเป็น กีวี่ ~

 

‘ข้าไม่ชอบชื่อนั้นสักนิด! ชื่อของข้าคือกรีนวินด์!’

 

 กรีนวินด์บ่นหงุดหงิด แต่นางก็ยังคงทำตามคำแผนที่วางไว้ ไวท์อีเกิ้ลกางปีกเหล็กของมันออก พร้อมร่อนมาบริเวณเข่าของอินกอง เขากระโดดขึ้นราวกับเล่นสเก็ตบอร์ด

 

“บินโลดดดด!”

 

‘นายท่าน! หนักมาก!’

 

 กรีนวินด์ยังคงบ่นอุบอิบ แต่นางก็ทำตามคำสั่ง ไวท์อีเกิ้ลบินทะยานขึ้นโดยมีอินกองยืนย่อตัวอยู่ข้างบน

 

 พวกศัตรูไม่สามารถเข้าโจมตี ได้แต่ยิงศรหรือขว้างอาวุธใส่อินกอง แต่ก็ไม่ได้ประโยชน์ ไวท์อีเกิ้ลสามารถบินหลบหลีกสิ่งเหล่านี้ได้โดยง่าย

 

 เฟลิซีกับกัมมะได้แต่ตะลึงกับเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ส่วนคารัคก็ตะโกนร้องออกมา หากแต่ว่าเป็นเสียงตะโกนเตือน

 

“องค์ชาย! ระวังด้วย! ไอ้พวกนั้นมันทำอะไรก็ไม่รู้!”

 

 อินกองมองย้อนกลับไป มีศัตรูเพียงบางส่วนเท่านั้นที่พยายามไล่ตามอินกอง

 

 มีส่วนน้อยที่ยืนอยู่รอบซากของพาติซาน พวกมันนำมีดผลึกบางอย่างออกมาแทงไปยังอกของพาติซาน มีดรูปทรงแปลกประหลาดที่ชโลมไปด้วยเลือดมังกรดำให้ความรู้สึกอันสยดสยอง

 มีดหน้าตาแบบตัวนี้ ㅊ กลับหัว ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร

 

 อินกองรู้สึกเหมือนมีสัญญาณเตือนภัยจากพลังพระเอกดังขึ้นในหัว แต่ก็สายไปเสียแล้ว พวกนั้นนำมีดที่ชโลมด้วยเลือดมังกรดำแทงเข้าหัวใจตนเอง ร่างของพวกมันระเบิดออกกลายเป็นแสงสีน้ำเงินพุ่งเข้าร่างของพาติซาน

 

ก๊าสสสสสสส!

 

 เสียงคำรามที่ดังขึ้นสร้างความตกใจให้กับทั้งหมด เหล่าผู้พิทักษ์ต่างหยุดนิ่ง หันมองยังที่มาของเสียงราวกับรับรู้ถึงบางอย่าง ส่วนผู้บุกรุกนิรนามต่างโห่ร้องดีใจออกมาอย่างบ้าคลั่ง

 

 มีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้นที่ร่างไร้ชีวิตของพาติซาน ร่างของมังกรดำขยับลุกขึ้นอีกครั้ง แสงสีน้ำเงินห่อหุ้มร่างลุกโชนราวกับเปลวไฟ แม้ความตายจะทำให้มันสูญเสียสติและความคิดไป แต่มันก็ยังคงเป็นอสูรกายที่ร้ายกาจ ต่างแค่เพียงชื่อเรียก

 

 ซอมบี้ดราก้อน

 

 แสงสีฟ้าที่ปกคลุมพาติซานจางหายไป กลายเป็นไอควันและนัยน์ตาสีม่วงที่ลุกโชติช่วงด้วยความแค้น

 

 คำใบ้ ขาว แดง ดำ น้ำเงิน