บทที่ 49 เยี่ยมอวยพรปีใหม่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

หลังจากผู้ดูแลเหอหนีออกจากหมู่บ้านไปแล้ว ก็ไม่ได้จากไปในทันที แต่มารอดูความเคลื่อนไหวอยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ

ดูแล้วท่านชายน้อยคงไม่รอด ไม่รู้เหมือนกันว่านายท่านคนโง่งมนั่นจะเจอเข้าให้หรือไม่

หากท่านชายน้อยตายในเงื้อมมืออีกฝ่ายจริงๆ เกรงว่าตระกูลหูคงจะไม่มีที่ให้ท่านชายใหญ่ยืนแล้วกระมัง!

ผู้ดูแลเหอกำลังแอบปรีดาอยู่เงียบๆ ก็เห็นพวกกู้เจียวสามคนออกมาจากหมู่บ้านอย่างปลอดภัยไร้เรื่องราว

เขาจึงตกตะลึงขึ้น

เกิดอะไรขึ้น

ท่านชายน้อยไม่ตายหรือ หรือว่าพวกเขาก็หนีออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้รักษาเหมือนกันกับตน

แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของพวกเขาแล้ว ไม่เหมือนอย่างนั้นเลยนะ…

ในขณะที่ผู้ดูแลเหอกำลังตื่นตะลึงนั้น พวกกู้เจียวก็ขึ้นนั่งรถม้าเคลื่อนไปทางที่พำนักอาศัยของเจ้าสำนักหลี

สาวใช้ที่ชื่ออวี้หยานางนั้นตามออกมา “ไอ้หยา! พวกหุยชุนถัง! พวกเจ้ารอก่อน!”

จนใจที่รถม้าเคลื่อนไปไกลแล้ว จึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของนาง

อวี้หยาจับเสาของซุ้มประตูเอาไว้พลางหอบหายใจ

ผู้ดูแลเหอได้สติขึ้นจึงออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ เดินมาตรงหน้านางพลางถามขึ้นว่า “แม่นาง ไม่ทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกับพวกเขาสามคนหรือ”

อวี้หยาเอ่ยว่า “พวกเขาจะเกิดเรื่องใดขึ้นได้ล่ะ เป็นท่านชายน้อยของข้า…”

ผู้ดูแลเหอดวงตาเป็นประกายทันที!

ท่านชายน้อยถูกพวกเขารักษาตายไปจริงๆ รึ

อวี้หยาหอบหายใจ เอ่ยต่อว่า “ท่านชายน้อยของข้าฟื้นแล้ว เดือดดาลขึ้นมายกใหญ่เลยด้วย!”

แต่ละถ้อยแต่ละคำนั้นผู้ดูแลเหอล้วนฟังเข้าใจ แต่พอมารวมกันแล้วกลับไม่เข้าใจ “อาการป่วยของท่านชายน้อย…”

“หุยชุนถังมีหมอเทวดาจริงๆ ด้วย! ท่านชายน้อยบ้านข้าฟื้นแล้ว! ทั้งยังมีเรี่ยวแรงอาละวาดระบายโทสะด้วย!” อวี้หยาเบิกบานใจยิ่ง ท่านชายน้อยของนางฉีกภาพโบราณสี่ภาพไปรวดเดียว เขาไม่ได้ร้ายกาจเท่านี้มาหนึ่งปีเต็มแล้ว!

ผู้ดูแลเหอแสดงออกว่าเขาตามความคิดของอีกฝ่ายไปทัน…

อวี้หยาทอดถอนใจตำหนิตัวเอง “ข้าผิดเองที่มีความสุขเกินไป ลืมให้เงินค่ารักษาพวกเขา!”

“ช้าก่อน ความหมายของเจ้าคือ…พวกเขา…” คำพูดส่วนท้าย ผู้ดูแลเหอไม่กล้าเอ่ยออกมาจริงๆ เป็นไปไม่ได้นี่นา!

นึกไม่ถึงว่าอวี้หยาจะพยักหน้าให้หงึกหงักเหมือนตำกระเทียม “อื้อ อื้อ! พวกเขารักษาให้ท่านชายน้องของข้าฟื้นได้แล้ว!”

นี่มันแมวตาบอดเจอหนูตาย[1]เข้าแล้ว!

ผู้ดูแลเหอตีให้ตายเขาก็ไม่อยากเชื่อว่าหมอในหมู่บ้านเล็กๆ จะมีฝีมือสูงส่งเช่นนี้ได้ แต่ทว่า ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเอาความดีความชอบมาใส่ตนแน่นอน!

“แน่นอน หุยชุนถังของพวกเราฝีมือยอดเยี่ยมเก่งกาจยิ่ง!”

“เกี่ยวอะไรกับเจ้าล่ะ”

อวี้หยากลอกตาใส่เขา

“ข้า…” ผู้ดูแลเหอยิ้มแหย “คนผู้นั้นเป็นเถ้าแก่รองของหุยชุนถังของเรา ท่านชายใหญ่ตระกูลหู!”

อวี้หยาเหน็บเข้าให้ว่า “แค่ชื่อเหมือนกันเท่านั้นมิใช่หรือไร พวกเขาเป็นหุยชุนถังในหมู่บ้านเล็กๆ พวกเจ้าเป็นหุยชุนถังในเมืองหลวง! ทั้งสองร้านไม่เกี่ยวข้องกัน! พวกเขากับตระกูลหูก็ไม่เกี่ยวข้องกัน! ไม่ทันไรก็ลืมคำพูดของตัวเองไปแล้วรึ เหอะ!”

……

เถ้าแก่รองรอดพ้นความตายมาได้หนหนึ่ง ไหนเลยจะยังนึกถึงเรื่องเงินค่ารักษาขึ้นมาได้ กู้เจียวกลับจำได้ แต่นางคิดว่าเถ้าแก่รองรับมาแล้ว

เมื่อรถม้ามาถึงที่พักของเจ้าสำนักหลี เจ้าสำนักหลีเพิ่งจะกลับมาจากการตกปลา เขาถอดชุดราชการของเจ้าสำนักออก เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของชาวประมง ซ้ำยังสวมหมวกสานกับเสื้อกันฝนที่ทำด้วยหญ้าหนวดมังกรของชาวประมงเอาไว้ ดูแล้วไม่แตกต่างอะไรกับชาวประมงเลย

แน่นอนว่าหากเข้าไปใกล้ ก็ยังคงสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายและการพูดจาที่ไม่ธรรมดาของเขาอยู่

กู้เจียวกับเถ้าแก่รองลงมาจากรถม้า

“พวกเจ้าคือ…” เจ้าสำนักไม่เคยพบกู้เจียวมาก่อน ส่วนเถ้าแก่รองนั้นเขายิ่งไม่เคยพบเห็นเลย

กู้เจียวเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจว่า “เซียวลิ่วหลังเป็นสามีข้า วันนี้ข้ากับน้องชายมาเยี่ยมเยือนท่านด้วยกัน น้องชายข้าอยู่ในบ้านแล้ว”

ท่าทีของเจ้าสำนักพลันเปลี่ยนไป แต่ไหนแต่ไรเขากีดกันเรื่องที่ศิษย์รักมาหาถึงบ้านมาโดยตลอด แต่หากอีกฝ่ายเป็นคนในครอบครัวของเซียวลิ่วหลังว่าที่ศิษย์รักของเขาในอนาคตล่ะก็ เช่นนั้นก็เป็นอีกเรื่อง

เถ้าแก่รอง เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าจู่ๆ เจ้าสำนักผู้นี้ก็เปลี่ยนมาใช้สายตาที่มองลูกสะใภ้แทนเล่า

เจ้าสำนักเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “ให้เรียกเจ้าว่าอย่างไรหรือ”

กู้เจียวตอบว่า “ข้าแซ่กู้ คนในหมู่บ้านเรียกข้าว่าเจียวเหนียง”

อันที่จริงคนในหมู่บ้านต่างเรียกนางกันว่าปัญญาอ่อน

กู้เจียวแนะนำพวกเถ้าแก่รองให้เจ้าสำนักอีกหน “…วันนี้พวกเขาก็มาแถวๆ นี้เช่นกัน จึงถือโอกาสพาข้ามาด้วย”

เจ้าสำนักไม่ถามอีกฝ่ายว่ามาทำอะไรแถวนี้อย่างมีมารยาท ทำเพียงขอบคุณเถ้าแก่รองที่ช่วยเหลือศิษย์รักของตนรวมถึงคนในครอบครัวเขา แล้วเชิญพวกเถ้าแก่รองให้เข้าไปนั่งด้านใน

“เจ้าสำนักผู้นี้ คือเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงรึ” เมื่อเข้าไปในเรือน เถ้าแก่รองก็กระซิบถามเสียงเบา

“อืม” สามีนางเป็นศิษย์รักสำนักบัณฑิตเทียนเซียง เจ้าสำนักของเขาก็คือเจ้าสำนักบัณฑิตเทียนเซียงมิใช่หรือไร หรือเขาเพิ่งจะมารู้ตัวเอาตอนนี้

ตลอดทั้งเช้านี้เถ้าแก่รองมัวแต่เคร่งเครียดเรื่องการรักษาท่านชายน้อย กระทั่งตัวเองแซ่อะไรชื่ออะไรก็ลืมสิ้น ไหนเลยจะมานึกได้

พอเขารู้ตัวนึกขึ้นได้ก็รู้สึกว่าเรื่องราวไม่ธรรมดาแล้ว

ชื่อเสียงในหมู่บ้านของเจ้าสำนักอาจจะยังไม่โด่งดังมาก แต่ในเมืองหลวงทุกคนต่างพากันแห่แหนกันไป

ผู้เฒ่าผู้แก่อย่างเขายังเป็นหนึ่งในสี่ของสุดยอดซิ่วไฉแห่งเมืองหลวงด้วย เถ้าแก่รองอายุน้อยกว่าเจ้าสำนักไม่กี่ปี

เขาเติบโตในเงาของเจ้าสำนัก พ่อแม่ทุกคนต่างหวังว่าบุตรชายของตัวเองจะเติบโตอย่างมีความสามารถเหมือน

เจ้าสำนัก น่าเสียดายที่ส่วนใหญ่สุดท้ายต่างโตมาเป็นคนไร้ความสามารถ

เจ้าสำนักเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตของพวกเขา

เพราะท่าทีนี้ พ่อแม่คนใดที่คิดว่าบุตรชายตัวเองไม่เอาอ่าว

หากว่าด้วยความในที่แฝงอยู่ ตระกูลหูเป็นตระกูลเก่าแก่และร่ำรวย เจ้าสำนักเป็นคนรากหญ้า แต่หากว่าด้วยเรื่องอิทธิพลแล้ว บุตรหลานทั้งหมดในตระกูลหูรวมกันแล้วยังสู้เจ้าสำนักหลีคนเดียวไม่ได้เลย

เขาเคยเป็นปราชญ์มหาสำนักในเน่ยเก๋อ ได้ยินว่าย้ายมาที่นี่เพราะมาอยู่เป็นเพื่อนแม่ที่พักรักษาตัว

เจ้าสำนักมาอยู่ที่หมู่บ้านชิงเฉวียนก่อนเถ้าแก่รอง เถ้าแก่รองตอนแรกก็เคยไตร่ตรองว่าจะไปเยี่ยมเยือนเขาสักหน่อยดีหรือไม่ แต่นึกถึงแผลใจตอนเด็กแล้วจึงยอมแพ้โดยเร็ว

แน่นอนว่าย่อมเข้าใจดีว่าเจ้าสำนักไม่เคยเห็นเขามาก่อน

“ข้าได้ยินว่า…เขาไม่รับของขวัญนะ” เถ้าแก่รองเอ่ยกับกู้เจียว เจ้าสำนักตอนเป็นขุนนางซื่อสัตย์ ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเกินคนไปไม่น้อย มาเปิดสำนักศึกษาที่นี่ยิ่งดูถูกการรับมอบของส่วนตัวมากกว่าเดิม

กู้เจียวหยิบของป่าออกจากในตะกร้า “เจ้าสำนัก นี่คือสิ่งของที่ลิ่วหลังนำมาแสดงความเคารพท่าน”

เจ้าสำนักรีบรับมา ความรวดเร็วในการกระทำคล้ายกลัวว่าจะมีคนเปลี่ยนใจอย่างไรอย่างนั้น “ลิ่วหลังมีน้ำใจนัก”

เถ้าแก่รองสีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง ไม่สิ เจ้าไม่เกรงอกเกรงใจเสียหน่อยหรือ คนไม่รู้เขาจะคิดว่า

เจ้าสำนักผู้สูงส่งอย่างเจ้าขาดของป่าอันน้อยนิดเช่นนี้ได้นะ!

เจ้าสำนัก ปากบอกว่าไม่เอา ไม่เอา แต่ร่างกายกลับซื่อตรงยิ่ง ให้ภรรยาเอาของขวัญไหว้อาจารย์มามอบให้แล้วนี่!

ภายใต้การให้กำลังใจจากกู้เจียว กู้เสี่ยวซุ่นก็มอบของขวัญปีใหม่ของตัวเองด้วยเช่นกัน…เป็นไม้แกะสลักที่เขาแกะเอง

เขาชอบแกะสลักสิ่งของมาตั้งแต่เด็ก มิฉะนั้นตอนแรกคงไม่แกะสลักชื่อของตัวเองลงบนด้ามร่มของกู้เจียวหรอก ไม้แกะสลักนี้เดิมทีเขาจะมอบให้กู้เจียว แต่กู้เจียวบอกว่ามอบให้เจ้าสำนักสำคัญกว่า จะให้นางก็ค่อยแกะสลักใหม่ให้วันหลังได้

กู้เสี่ยวซุ่นรู้สึกว่าพี่สาวเขาพูดจามีเหตุผลยิ่ง จึงได้ประสานมือมอบไม้แกะสลักนี้ให้!

เขาแกะสลักกู้เจียว กระฉับกระเฉงปราดเปรียวราวกับมีชีวิต ยอดเยี่ยมเสมือนจริง บนใบหน้าไร้ปานแดง งดงามราวเทพเซียน

แต่ว่านะ…มอบไม้แกะสลักของพี่สาวเจ้าไปให้เจ้าสำนักของพวกเจ้าจะไม่เป็นไรจริงๆ รึ

เถ้าแก่รองมุมปากกระตุก

มุมปากกู้เจียวก็กระตุกเช่นกัน นางไม่คิดเลยสักนิดว่าวิ่งที่กู้เสี่ยวซุ่นแกะสลักจะเป็นสิ่งนี้

เจ้าสำนักก็สีหน้าแปลกประหลาดขึ้นเช่นกัน วางไม้แกะสลักรูปภรรยาของศิษย์รักไว้ในห้องไม่ค่อยเหมาะกระมัง

ในขณะนั้นเอง หลีเหล่าฮูหยินก็ตื่น นางเห็นไม้แกะสลักนั้นเข้าดวงตาก็เป็นประกาย พระโพธิสัตว์!

หลีเหล่าฮูหยินหยิบไม้แกะสลักของกู้เจียวมา วางไว้บนโต๊ะในห้องของตัวเองด้วยความเคารพศรัทธา หนำซ้ำยังจุดธูปหอมสองดอกอีกด้วย

กู้เจียว “…”

เจ้าสำนัก “…”

ทุกคน “…”

—————

[1] แมวตาบอดเจอหนูตาย เปรียบเปรยว่าไม่ได้เก่งกาจ แต่ดันโชคช่วยจนทำได้สำเร็จ