”เจ้านอนต่ออีกสักหน่อย ข้าลุกไปต้มน้ำก่อน เช้านี้อยากกินอะไร” หลินซือเย่าเพิ่งตื่นเสียงยังแหบพร่ากระซิบอยู่ข้างใบหูนาง ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งจะคิดข้ามตัวเขายามนี้ก็ได้แต่นอนทับเขานิ่งอึ้ง เขาแอบขโมยจุมพิตนางทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียงไปสวมเสื้อตัวนอก
“ข้าลุกด้วย ไม่อาจให้สี่ชุ่ยเห็นข้าไม่ยอมลุกจากเตียงอย่างนี้ทุกวัน นับประสาอันใดกับวันนี้เป็นวันสุดท้าย ต้องทำให้เสร็จเร็วหน่อยจะได้วางใจ” ซูสุ่ยเลี่ยนรั้งชายเสื้อหลินซือเย่าไว้พลางกล่าวด้วยท่าทีเขินอาย
“ไหวหรือ” หลินซือเย่าสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ประคองนางขึ้นนั่งพิงหัวเตียง หันกลับไปหยิบชุดเก่าสีเขียวใบบัวออกมาจากตู้เสื้อผ้า นางเคยบอกว่าตอนปักผ้าสวมชุดเก่าจะทำให้คล่องตัวกว่า
ซูสุ่ยเลี่ยนไม่อาจฝืนความต้องการของเขาที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางได้ ได้แต่หน้าแดงลามไปถึงลำคอและใบหู ปล่อยให้เขาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางเสร็จ หวีผมเกล้ามวยเรียบร้อย
เห็นเขาไม่ได้มีทีท่าขัดเขินยามทำงานในส่วนของผู้หญิงพวกนี้แม้แต่น้อย ก็อดยิ้มมุมปากไม่ได้ ในใจแอบรู้สึกพึงใจอย่างยากจะสังเกต เขาเป็นเช่นนี้เหมือนชายเย็นเยียบผู้นั้นที่พบเจอกันในช่วงแรกตรงไหน เห็นอยู่ว่าเป็นสามีแสนดีที่ทะนุถนอมนางอย่างที่สุด บางทีป้าเหลากับป้าเถียนอาจพูดได้ถูกต้อง เขาเป็นชายชาตรีที่หาไม่ได้อีกแล้วจริงๆ
“ได้” หลินซือเย่าเกล้าผมปอยสุดท้ายเสร็จก็ปักปิ่นหยกขาวที่ใช้แหวนหยกของเขาแลกมา พร้อมกับต่างหูหยกขาว หันไปมองเห็นนางกำลังกลั้นยิ้มเต็มที่ ก็อดหยิกปลายจมูกนางไม่ได้ ยิ้มถามว่า “ใจลอยไปไหน?”
“อา! เสร็จหรือยัง ไม่…ไม่มีอะไร!” ซูสุ่ยเลี่ยนได้สติทันที จับมวยผมที่เกล้าสูงเหนือศีรษะเอาไว้ท่าทางเขินอาย กล่าวเบาๆ ว่า “ขอบคุณ” ก่อนจะประคองสองแก้มร้อนผ่าวออกไปบ้วนปากในครัว
หลินซือเย่าส่ายหน้าขำ แม้ไม่เข้าใจว่านางจะอายอะไร แต่เห็นท่าทางนางเช่นนี้ ก็คิดว่าต้องเกี่ยวข้องกับตนแน่ บางทีอาจคิดถึงเมื่อคืนวานที่เขาและนางพันพัวกันส่งเสียงครวญหลังม่านเตียง หลินซือเย่าหลุบแววตาที่ส่องประกายกลับคืน ระงับความต้องการจะดึงนางขึ้นเตียงเอาไว้ ไม่นานก็เก็บกวาดห้องนอนเสร็จ ก่อนจะรีบทะยานไปที่ท่าน้ำล้างหน้าบ้วนปากให้รู้สึกสดชื่นมีสติขึ้น
……
“อาจารย์ๆ!” พอซูสุ่ยเลี่ยนกับสี่ชุ่ยเข้ามาทำงานวันสุดท้ายในห้องปักผ้า หลินซือเย่าเพิ่งเก็บจานชามเสร็จ ตากเสื้อผ้าเสร็จก็ไปนั่งยองอยู่ที่ลานด้านหลังจัดการกองซากสัตว์ป่าที่ล่ามา เถียนต้าเป่าส่งเสียงดังตะโกนโหวกเหวกดังวิ่งมาเคาะประตู
“อาจารย์ พี่หลิน ขอพี่รับข้าเป็นศิษย์ด้วย ข้าจะตั้งใจฝึกยุทธ์ ไม่กลัวลำบาก ไม่กลัวเหนื่อย ต้องเรียนให้ร้ายกาจได้อย่างพี่แน่นอน พี่รับข้าไว้เถอะนะ” เถียนต้าเป่าเห็นหลินซือเย่าเปิดประตูมาก็รีบคุกเข่าลงหน้าประตู ไม่ยอมลุกขึ้น ต้องการให้หลินซือเย่ายอมรับคำขอของเขาจึงจะยอมลุก
หลินซือเย่าจ้องมองเขานิ่งก่อนจะไม่สนใจเขาอีก หันกลับไปทำงานตนเองต่อ
เถียนต้าเป่าเห็นดังนี้ก็สลดวูบ ในใจคิดว่าละครฉากขอฝากตัวเป็นศิษย์นี้เล่นได้ปลอมมาก ใช้การไม่ได้ ตนเองคุกเข่าเป็นนาน แต่พี่หลินก็ยังนิ่งเฉย เล่นละครฉากนี้ต่อไปแล้วอาจารย์จะรีบพยักหน้ารับ? ปลอมมาก เห็นชัดว่าเป็นเด็กน้อยเล่นละครแหกตา
คิดเช่นนี้แล้ว ในใจเถียนต้าเป่าก็แอบน้อยใจ แม้ยังคุกเข่าตัวตรงดังเดิม แต่ก็แอบเหลือบมองหลินซือเย่าที่กำลังจัดการซากสัตว์ป่าอยู่ไม่ไกล อย่างไรก็ยังเป็นเด็ก
“ต้าเป่า ต้าเป่า เจ้ามาคุกเข่าตรงนี้ทำไม” ไกลออกไป นางเถียนกับเถียนต้าฟู่พากันวิ่งมาบนถนนของหมู่บ้าน วิ่งมาถึงหน้าบ้าน กวาดตามองไปเห็นหลินซือเย่าที่กำลังจัดการซากสัตว์ป่าเงียบๆ นางเถียนแอบโมโห ดีเลย ยังเคยชมว่าเป็นชายรักภรรยา ถึงกับปล่อยให้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตนมาคุกเข่าหน้าประตู ยังคุกเข่ามานานถึงครึ่งชั่วยามกว่าแล้วด้วย นี่หากไม่ใช่นางฟางไปบอกตน ต้องคุกเข่าไปถึงเมื่อไรกัน มีอะไรผิดหนักหนาถึงต้องลงโทษลูกชายตนเองเช่นนี้กัน?
นางเถียนร้อนใจรีบปรี่จะเข้าไปถามหลินซือเย่าอย่างไม่ทันฉุกคิด แม้เถียนต้าฟู่เคยได้ไม้จากหลินซือเย่า แต่เห็นเช่นนี้ในใจก็แอบโมโหเช่นกัน กะว่าจะตามภรรยาตนเข้าไปเอาเรื่องสักหน่อย
“โอย ท่านแม่ ข้ากำลังขอฝากตัวเป็นศิษย์อยู่ ท่านกับท่านพ่อมาวุ่นวายอะไรกัน รีบไปๆ!” เถียนต้าเป่าเห็นนางเถียนพับแขนเสื้อเตรียมเข้าไปหาเรื่อง ก็รีบดึงเสื้อนางไว้พลางกล่าวอย่างรำคาญ
“หา? ฝากตัวเป็นศิษย์?” นางเถียนกับเถียนต้าฟู่ได้ยินก็อึ้งไป “ต้าเป่า เจ้าบอกแม่มาให้ชัดๆ ฝากตัวเป็นศิษย์อะไร?” นางเถียนกระชากลูกตนเองขึ้นมาจากพื้น เถียนต้าเป่ากลับแข็งขืนอย่างไรก็ไม่ยอมลุกขึ้น ไปๆ มาๆ ทำเอาสองคนหน้าแดงก่ำ จนนางเถียนทุ่มแรงกระชากคอเสื้อลูกชายขาดแควก
“เอาสิ เจ้าลูกบ้า คิดจะสู้กับแม่หรือ ตามแม่กลับไป กลับบ้านกับแม่เดี๋ยวนี้ จะมาฝากตัวเป็นศิษย์อะไรกัน” นางเถียนโมโหตวาดดัง
“เจ้าลองฟังลูกบ้างว่าจะพูดอะไร ดีไหม” เถียนต้าฟู่ตกใจที่ลูกชายตนวันๆ รู้จักแต่เล่น อยู่ๆ คิดจะทำอะไรจริงจังเช่นนี้ขึ้นมาตอนไหนกัน แอบมองไปยังหลินซือเย่าที่กำลังลอกหนังจิ้งจอกกับหนังกระต่ายหน้าตาเรียบเฉยอยู่ที่ลานหน้าบ้าน และสุนัขสองตัวที่หลับตาพักสายตาหมอบอยู่ข้างเท้าเขา เหมือนกับแอบพยักหน้ายอมให้ภรรยาตนส่งเสียงโวยวายต่อไป
“ท่านพ่อ ข้าจะขอเป็นศิษย์พี่หลิน” เถียนต้าเป่าคุกเข่าลงยืดตัวตรงกล่าว ไม่ใช่ขอร้องแต่เป็นการอธิบาย
“ทำไม?” เถียนต้าฟู่อยู่ๆ คิดไม่ทันหลุดถามออกไปทันที
“เรียนวรยุทธ์จากพี่หลินอย่างไร รอข้าโต ข้าก็จะได้เหมือนพี่หลิน ไปล่าสัตว์ในป่าเอาหนังสัตว์ไปขายในเมืองได้เงินตั้งมาก เช่นนี้ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่ต้องลำบากแล้ว” และยังจะได้แต่งภรรยาที่งามอย่างพี่เทพธิดาอีกด้วย วาจานี้เถียนต้าเป่าไม่กล้าหลุดปากพูดออกไปเปิดเผย ยังคงเก็บไว้ในใจแอบหัวเราะพึงใจเองเงียบๆ เชอะ ดูสิว่าพวกหมาน้อยจะอิจฉาเขาตายไปเลยไหม
เถียนต้าฟู่กับนางเถียนฟังจบก็ตะลึงงัน โดยเฉพาะนางเถียน คว้าเถียนต้าเป่ามากอด “ลูกรัก เด็กดี แม่ตำหนิเจ้าผิดไปแล้ว” นางเถียนแอบนึกตำหนิตนเอง จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อเถียนต้าฟู่ส่งสายตาให้เขาเข้าไปพูด อย่าให้ลูกต้องคุกเข่าตรงนี้ต่อ ในใจมิได้คิดต่อต้านความคิดที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของต้าเป่าแล้ว แน่นอนไม่ใช่เพราะคำพูดต้าเป่าที่ว่าจะกตัญญูดูแลพ่อแม่ แต่เพราะหวังให้เขาเรียนรู้วิทยายุทธ์ หนึ่ง วันๆ เขาจะได้ไม่ทำเรื่องเหลวไหลไร้สาระเหมือนลูกวานรป่าที่อยู่ไม่ติดบ้าน สอง แอบหวังว่าหากมีวิทยายุทธ์สูงเหมือนหลินซือเย่า ไม่แน่อาจจะทำให้เลือดที่คั่งในสมองของเขาที่กดทับประสาทเขาสลายไปก็ได้
เถียนต้าฟู่ย่อมเคยเห็นวิชาตัวเบาของหลินซือเย่า กระโดดทีไปไกลหลายสิบจั้ง ได้ยินว่าเวลาก้านธูปเดียวก็ไปกลับในเมืองได้ ยอดฝีมือสุดยอดเช่นนี้ แม้ไม่เข้าใจว่ายอมลดตัวมาอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ห่างไกลความเจริญไร้ชื่อเสียง มีแต่ความงามเงียบสงบ มีแต่ภูเขาและสายน้ำอย่างเช่นเมืองฝานฮัวนี่ได้อย่างไร อาจเพราะพวกยอดฝีมือชอบอิสระโดดเดี่ยวกระมัง
“ทำอะไร? ยังไม่เข้าไปอีก จะให้ลูกชายเราคุกเข่าอยู่ตรงนี้ทั้งวันหรือ” นางเถียนเห็นเถียนต้าฟู่ขมวดคิ้วอยู่ที่ประตูลังเลไม่ยอมเข้าไป ก็รีบเร่งให้เขาเข้าไป
“แค่กๆ…” เถียนต้าฟู่เข้าไปอย่างเสียไม่ได้ กระแอมไอในลำคอก่อนจะกล่าวว่า “คือว่า…น้องชาย…”
หลินซือเย่าไม่รอให้เขาพูดต่อ จัดการลอกหนังสัตว์เสร็จหมดแล้วก็ลุกขึ้นยืนกวาดกองหนังที่เปื้อนเลือดลงกะละมังไม้ กะว่าอีกสักพักจะเอาออกไปล้างที่แม่น้ำ จากนั้นเดินไปที่โอ่งน้ำตักน้ำล้างมือให้สะอาด
การกระทำที่เป็นขั้นตอนต่อเนื่องเช่นนี้ เถียนต้าฟู่ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ดี นางเถียนกับเถียนต้าเป่าที่คุกเข่าอยู่ก็ดี ล้วนจับตามองการกระทำของหลินซือเย่าหมุนไปหมุนมาไม่กะพริบ จนหลินซือเย่าเช็ดมือเสร็จ กำลังปัดรอยเลือดที่เกิดจากการลอกหลังที่ติดอยู่ตามแขนเสื้อออก
“คือว่า…น้องหลิน…ต้าเป่า…” เถียนต้าฟู่ถูกมือไปมา ไม่รู้ควรเอ่ยปากเช่นไร ตอนพวกเขาคุยกันที่หน้าประตู ใช่ว่าหลินซือเย่าจะไม่ได้ยิน หากคิดรับต้าเป่าเป็นศิษย์จริง ทำไมไม่เอ่ยสักคำ? ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้คิดจะรับ ตนเองจะดึงดันเกลี้ยกล่อมจะมีประโยชน์อันใดกัน
พอคิดเช่นนี้ เถียนต้าฟู่ก็มิได้คิดเอ่ยปากต่อ เอาแต่ถูมือไปมา มองหลินซือเย่าอย่างไม่รู้จะเอาอย่างไรดี หันกลับไปมองเถียนต้าเป่า ก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ
หลินซือเย่าเดินไปที่หน้าประตู หันมองเถียนต้าเป่าที่คุกเข่าตัวตรง เอ่ยน้ำเสียงเรียบนิ่งว่า “จากวันนี้ไปไม่อนุญาตให้เจ้าบอกว่าจะล้มเลิกก็ล้มเลิก”
เถียนต้าเป่ามองตาปริบๆ กว่าจะเข้าใจสิ่งที่หลินซือเย่าพูดก็เป็นนาน สุดดีใจพยักหน้า “ไม่ล้มเลิกๆ ตายก็ไม่ล้มเลิก อาจารย์! อาจารย์ที่เคารพสูงสุด รับการคารวะจากศิษย์!” เถียนต้าเป่าตื่นเต้นดีใจนึกถึงฉากในงิ้วที่ตอนนั้นเคยไปดูในเมืองมาตอนฝากตัวเป็นศิษย์ พูดไปก็โขกศีรษะให้หลินซือเย่าไป
หลินซือเย่าสะบัดแขนเสื้อเข้ารั้งการโขกศีรษะของต้าเป่าไว้ ใช้พลังภายในดึงตัวเขาขึ้นมา “วันหน้าอย่าได้อะไรๆ ก็คุกเข่าอีก”
“ทราบแล้วขอรับอาจารย์!” เถียนต้าเป่าดีใจยืนตัวตรงพลางลูบเข่าที่เจ็บจนชาของตนเองอย่างไม่รู้ตัว ปากก็รับคำไม่หยุด
นางเถียนเห็นแล้วก็มีความรู้สึกบอกไม่ถูกผุดขึ้นมาในใจมากมาย
ไม่ต้องพูดถึงว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนตนอยู่บ้านก็ไม่เคยให้ต้องทนทรมานเช่นนี้มาก่อน การทำตามอย่างเชื่อฟังแต่โดยดีเช่นนี้ก็ไม่เคยมีมาก่อน โอย ลูกโตแล้วไม่สนใจแม่นี่จริงเลย เพียงแต่ต้าเป่าที่สติปัญญาหยุดอยู่ที่เก้าขวบ จะทนรับการฝึกยุทธ์ที่แสนยากลำบากได้จริงหรือ แม้นางไม่รู้หนังสือ แต่ว่าฝึกยุทธ์มีหลักการที่ต้องผ่านความยากลำบากนั้นนางรู้ดี เห็นพวกแสดงฝีมือแลกเงินตามท้องถนน คนไหนไม่กัดฟันผ่านพ้นด่านความตายกันมาบ้าง ต้าเป่า…ไหวหรือ?
“เอาละ วันนี้กลับไปก่อน เข่าหายแล้วค่อยมา” หลินซือเย่ากล่าวเช่นนี้ หันหลังเดินกลับไปยังข้างกองหนังสัตว์อีกทาง คว้ากระต่ายป่าขึ้นมาตัวหนึ่ง โยนให้เถียนต้าฟู่ที่ยืนตะลึงอึ้งอยู่ กล่าวเพียงว่า “ไม่ส่ง” จากนั้นก็ยกกะละมังเดินผ่านห้องครัวออกไปที่ท่าน้ำ
ลูกหมาป่าสองตัวลืมตาขึ้นมองกระต่ายป่าในมือเถียนต้าฟู่ด้วยสายตาวาววับ จากนั้นพอคิดถึงสายตาคุกคามไร้สำเนียงของหลินซือเย่า ก็ได้แต่เป็นเด็กดีหลับตาลงอีกครั้ง นอนตากแดดสบายๆ ยามบ่ายในฤดูใบไม้ร่วงต่อไป
“นี่…พ่อต้าเป่า นี่ให้พวกเรา?” นางเถียนชี้กระต่ายป่าตัวอ้วนในมือเถียนต้าฟู่ ยิ้มยินดีถาม
“น่าจะใช่” เถียนต้าฟู่ส่ายหน้าไปมา ถือกระต่ายป่าออกจากบ้านไป เหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “น่าจะเป็นของขวัญที่รับต้าเป่าเป็นศิษย์กระมัง”
“หา? ของขวัญรับศิษย์? อย่างนั้นพวกเราก็ต้องมีค่าแสดงความเคารพอาจารย์?” นางเถียนคิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ถามเถียนต้าฟู่อย่างร้อนใจทันที
เถียนต้าฟู่ได้ยินก็กวาดตามองข้างกายตน เถียนต้าเป่าท่าทางเซ่อซ่าดีใจ จึงหันไปสั่งภรรยาตนว่า “ไว้พรุ่งนี้ เจ้ามากับต้าเป่า มอบค่าแสดงความเคารพอาจารย์ตามธรรมเนียมเข้าสถานศึกษา”
นางเถียนได้แต่พยักหน้า ในใจอดรู้สึกเจ็บปวดไม่ได้ แม้ว่าลูกชายมีคนเดียว สติปัญญายังไม่สมบูรณ์ แต่ว่าให้ควักเงินหลายสิบเหรียญทองแดงออกจากกระเป๋า รู้สึกเสียดายอยู่บ้างเหมือนกันนะ