ตอนที่ 46 จากนี้ไปจะร่วมฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันทุกปี

เก็บตกนักฆ่า มาเป็นหนุ่มบ้านนา

“รับต้าเป่าเป็นศิษย์?” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มละไมมองเขา ในที่สุดผ้าปักหงส์เกี้ยวหงส์ที่ดึงเอาใจนางไปหมดสามวันก็เสร็จสิ้นลง ในใจก็รู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย เห็นหลินซือเย่าไปล้างผักที่ริมแม่น้ำกลับมาเช็ดมือแห้งแล้วก็ถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าประตูตอนเที่ยง แม้นางได้ยินไม่ละเอียด แต่ก็เชื่อว่าเขาย่อมจัดการได้ดี ดังนั้นจึงไม่ได้หยุดปักผ้าออกมาดู แต่สุดท้ายสี่ชุ่ยก็อดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ แอบมองจากหน้าต่างดูจนจบ เหมือนว่ารับปากการขอฝากตัวเป็นศิษย์ของเถียนต้าเป่าแล้ว

“อืม” หลินซือเย่าพยักหน้า อมยิ้มกวาดตามองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพับแขนเสื้อเตรียมลงมือทำอาหารเย็น

ตอนเที่ยงยังคงเป็นอาหารที่ป้าเหลานำมาให้ เขากำลังจัดการลอกหนังสัตว์อยู่จึงไม่ได้ปฏิเสธน้ำใจป้าเหลา ได้แต่ฝากกวางชะมดตัวหนึ่งให้สี่ชุ่ยนำกลับบ้านไป

แม้ว่าครั้งนี้ล่าสัตว์มาได้ไม่น้อย มีจิ้งจอกสองตัว กวางชะมดสามตัว นากหนึ่งตัว[1] กระต่ายป่าสามตัว ลูกหมาป่าสองตัวมีท่าทางหวงอาหารพวกนี้ของตนมาก แทบจะไม่ยอมไปไหน เอาแต่เฝ้าอยู่ตรงกองสัตว์ป่าที่ล่ามาได้ แต่สู้ความดุของหลินซือเย่าไม่ไหว ก็ได้แต่มองเขาจัดการลอกหนังแยกส่วนอาหารของพวกมันตาปริบๆ ทุกครั้งที่มอบให้คนอื่นไปตัวหนึ่ง ใจพวกมันก็แหลกสลายตามไปด้วย

จนเห็นเจ้านายออกจากห้องปักผ้ามา สี่ชุ่ยนำผ้าปักหงส์เกี้ยวหงส์กับกวางชะมดตัวอ้วนกลับบ้านอย่างดีอกดีใจ ใส่กลอนประตูลานบ้านแล้ว พวกมันจึงได้ผ่อนความเฝ้าระวังลง ไปล้อมซูสุ่ยเลี่ยนอ้อนขอกินเนื้อ พวกมันอยากกินเนื้อย่าง ไม่อยากกินเนื้อสดเปื้อนเลือดไร้รสชาติแสนจืดชืดอย่างเมื่อวานอีกแล้ว

ซูสุ่ยเลี่ยนจัดวางอุปกรณ์การกินบนโต๊ะอาหาร มองหลินซือเย่าผัดผักตั้งโอ๋ไฟแดงอย่างชำนาญ ซูสุ่ยเลี่ยนแอบไม่เข้าใจ ตอนแรกได้ยินว่าเขาบอกว่าไม่มีฝีมือการทำครัวเท่าไรไม่ใช่หรือ แต่ดูท่าทางตอนนี้เหมือนว่าชำนาญมาก

ซูสุ่ยเลี่ยนแอบนึกละอาย คนที่ไม่รู้การครัวและการเพาะปลูกเลยดูเหมือนจะเป็นนางเอง

“เหม่ออะไรอีก” หลินซือเย่าวางผัดผักตั้งโอ๋ที่ผักเสร็จลงบนโต๊ะ เห็นนางนั่งเหม่ออยู่ที่โต๊ะไม่รู้คิดอะไร ก็เคาะศีรษะนางเบาๆ พลางถามอย่างนึกขำ

“โอ๊ะ!” ซูสุ่ยเลี่ยนตกใจได้สติก็เขินอาย ลูบมวยผมตนเองไปมาก่อนจะแอบลอบมองหลินซือเย่าที่กลับไปที่เตาผัดเนื้อกระต่ายไฟแดง ค่อยๆ เดินไปข้างกายเขา “อาเย่า…”

“เป็นอะไรไปหรือ” หลินซือเย่าผัดกระต่ายไปสองสามทีก่อนจะเติมเครื่องปรุง ปิดฝาอบอยู่อีกสักครึ่งชั่วยาม หันกลับไปดึงซูสุ่ยเลี่ยนให้กลับไปนั่งที่โต๊ะ ตนเองนั่งลงตรงข้ามนาง มือยังปอกกระเทียมไปด้วย กะว่าพรุ่งนี้จะดองสักหน่อย

ซูสุ่ยเลี่ยนเพิ่งจะหยิบกระเทียมขึ้นมาสองสามกลีบคิดจะปอกเปลือกตามเขา แต่กลับถูกหลินซือเย่าแย่งคืนไป “พวกนี้ข้าจัดการเอง” เขาไม่อยากให้มือนุ่มนิ่มหอมของนางต้องมาแตะต้องกลิ่นที่ไม่น่าภิรมย์เช่นนี้

“อาเย่า…” เห็นเขาไม่ยอมให้นางแตะต้องแม้แต่งานง่ายๆ พวกนี้ ซูสุ่ยเลี่ยนแอบน้อยใจ หรือว่าในสายตาเขานางไร้ประโยชน์เช่นนี้หรือ “งานบ้านข้าก็ควรมีส่วนนะ” น้ำเสียงนางฮึดฮัดอย่างรู้สึกไม่เป็นธรรม

หลินซือเย่าได้ยินก็เงยหน้ามองขอบตาแดงๆ ของนาง จึงได้รู้ว่าการกระทำของตนทำให้นางเข้าใจผิด

เขาวางกระเทียมในมือลง เช็ดมือให้สะอาดก่อนจะเข้าไปยองตัวนั่งลงตรงหน้าซูสุ่ยเลี่ยน “สุ่ยเลี่ยน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น งานพวกนี้กลิ่นไม่น่าดม ไม่เชื่อ เจ้าดมดู…” หลินซือเย่ายกสองมือขึ้นไปอังที่ปลายจมูกนาง เห็นนางขมวดคิ้วนิ่งเงียบ ก็หัวเราะโอบนางมานั่งบนตักตนเอง กอดนางไว้พลางซุกหน้าลงที่บ่านาง อธิบายน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่อยากให้สองมือเจ้าต้องเปื้อนกลิ่นไม่น่าภิรมย์เช่นนี้ นับประสาอันใดกับเรื่องพวกนี้ข้าทำเองไหว และชอบทำ”

“จริงหรือ…ชอบหรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนได้ยินก็เงยหน้าขึ้นสบแววตาดำลุ่มลึกของเขา อดถามขึ้นเบาๆ ไม่ได้

“ขอเพียงมีเจ้าข้างกาย ทำอะไรก็ชอบ” เป็นครั้งแรกที่หลินซือเย่าเปิดเผยความในใจอย่างไม่ปิดบังเช่นนี้ นางคือปมในใจที่ชีวิตนี้เขาไม่อาจปล่อยวางได้ ก่อนแต่งก็เหมือนไม่กระจ่างเท่าไรแต่ก็รู้สึกเบิกบานใจ หลังแต่งกลับมั่นใจและยึดมั่น เขาได้ตกเข้าสู่บ่วงที่นางบรรจงถักทอขึ้นอย่างถอนตัวไม่ขึ้น สลัดไม่หลุด และไม่อยากจะสลัดหลุด

……

“วันนี้เข้าเมืองด้วยกันนะ อยากซื้ออะไรไหม” ผ่านค่ำคืนหวานล้ำ หลับฝันดีมาจนฟ้าสาง หลินซือเย่า กอดซูสุ่ยเลี่ยนที่กำลังจะลุกขึ้น ให้นางนอนทับอยู่บนกายตน ลูบผมยาวอ่อนนุ่มของนางพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ดีเลย ใกล้ไหว้พระจันทร์แล้ว พวกเราซื้อไส้กับน้ำตาลกลับมาทำขนมไหว้พระจันทร์กันดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเขี่ยป้ายหยกดำที่เขาแขวนไว้ตรงหน้าอกเขาเล่นพลางเสนอด้วยน้ำเสียงร่าเริง

“ขนมไหว้พระจันทร์? เจ้าเป็น?” สองมือหลินซือเย่ารองท้ายทอยไว้พลางอมยิ้มถาม เห็นนางเอาแต่สนใจเล่นกับป้ายหยกที่เขาแขวนติดตัวมาแต่เด็ก

ซูสุ่ยเลี่ยนอึ้งไป จากนั้นก็ส่ายหน้าใสซื่อ “ไม่เป็น แต่เรียนรู้ได้นี่”

“ข้าเองก็ไม่เป็น ไหว้พระจันทร์ อา…ไม่เคยฉลองเทศกาลนี้” หลินซือเย่าเงยหน้าจ้องมองมุ้งเตียงนอน ด้านบนเอ่ยพึมพำเบาๆ สำหรับพวกนักฆ่าแล้วทุกปีไม่ฉลองเทศกาล มีแต่วันปีใหม่เท่านั้น วันนั้นพวกเขาจะมีโอกาสคลายความระแวดระวังลง ฉลองคืนส่งท้ายปีเก่าด้วยอาหารมื้อค่ำคืนอย่างสบายใจ ใช่แล้ว เพียงแค่มื้อค่ำคืนนั้น ไม่ใช่มื้อพร้อมหน้าครอบครัวแบบชาวบ้านทั่วไป พวกเขาทุกคนแทบจะตัวคนเดียวไร้ญาติมิตร ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชีวิตสุขสงบเช่นชีวิตเขาตอนนี้

“อาเย่า…” ซูสุ่ยเลี่ยนย่อมฟังน้ำเสียงสลดของเขาออก ซุกหน้าลงในอ้อมอกเขาฟังเสียงเต้นของหัวใจที่เป็นจังหวะหนักแน่นของเขา พลางปลอบใจอ่อนโยน “วันหน้าพวกเราก็ฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ด้วยกันทุกปีนะ”

“ได้” หลินซือเย่าเบนสายตากลับมากระซิบรับคำแผ่วเบา เอื้อมมือออกไปลูบไล้ใบหน้าอ่อนนุ่มของนาง เทียบกับมือใหญ่หนาหยาบของเขาเองแล้วก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น

“หลายวันนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” ซูสุ่ยเลี่ยนประคองมือใหญ่เขาไว้ คว้ามาแนบใบหน้าตนถูไถเบาๆ พลางถอนหายใจกล่าว

“ข้าบอกแล้ว ทำเรื่องเหล่านี้เพื่อเจ้า ข้ายินยอม” หลินซือเย่ากล่าวไปก็ลุกขึ้นไปพลาง พลิกตัวขึ้นคร่อมร่างซูสุ่ยเลี่ยน อดใจไม่ไหวก้มลงครอบครองกลืนกินนางลงท้องทั้งตัว

……

เมืองฝานลั่วหลายวันนี้คึกคักมาก ห่างจากวันที่สิบห้าเดือนแปดเทศกาลไหว้พระจันทร์อีกราวสามวัน ร้านขายของริมทางมีสินค้าหลากหลายวางขายเต็มริมถนนรวมทั้งตามตรอกซอกซอย

ตอนหลินซือเย่าพาซูสุ่ยเลี่ยนมาถึงตัวเมืองฝานลั่วก็ยามบ่ายแล้ว ตลอดทางมาใบหูซูสุ่ยเลี่ยนแดงก่ำไม่หยุด ช่างบ้าคลั่งเสียจริง นางและเขาถึงกับอยู่บนเตียงตรากตรำกันยามกลางวันแสกๆ เป็นนาน กว่าจะลุกขึ้นจากเตียงได้ก็สายมากแล้ว

“เหนื่อยหรือ จะหาที่ดื่มชาพักสักหน่อยไหม” หลินซือเย่าปล่อยนางลงละแวกประตูเมือง เห็นสีหน้านางยังแดงก่ำเหมือนเดิม สีหน้าดูประหลาดอยู่บ้าง หรือว่านางถูกเขาเคี่ยวกรำมากเกินไป จึงเสนอขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ข้าไม่เป็นไร ไปซื้อของกันก่อนเถอะ เกิดตลาดวายก็มาเก้อพอดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนยกมือขยี้แก้มตนเองอย่างแรง หันไปยิ้มบางกล่าวกับหลินซือเย่า

หลินซือเย่าดึงมือน้อยนางมาตบเบาๆ ไม่หยุด ก่อนจะกุมไว้ในฝ่ามือ จงใจก้าวเดินช้าๆ เข้าเมือง

———————

[1] มีชื่อเรียกทั่วไปว่าแบดเจอร์ มีส่วนหัวที่เล็ก คอสั้นหนา และมีหางที่สั้นและดวงตาขนาดเล็ก มีจุดเด่น คือสีที่มีลักษณะเฉพาะเป็นแถบสีดำและขาวบริเวณส่วนหัว และมีขนสีขาวที่ปลายสุดของหู รวมตระกูลนากและหมูหริ่ง ในที่นี้จึงได้ชื่อเรียกที่คนไทยจะรู้จักว่านาก