ตอนที่ 47 ตลาดนัด
“ได้ยินว่าคืนวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ยังมีปล่อยโคมไฟขึ้นฟ้าด้วย พวกเรากลับไปทำกันสักอันดีไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนเห็นคนเดินผ่านไปมาในมือถือวัสดุทำโคมไฟก็เสนอหลินซือเย่าอย่างตื่นเต้น
หลินซือเย่าอมยิ้มพยักหน้า ขอเพียงนางชอบ มีอะไรไม่ได้
จากนั้นทั้งสองก็ไปเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ ที่ซูสุ่ยเลี่ยนจดไว้ในกระดาษ ค่อยๆ ซื้อไปทีละร้าน
“พี่สุ่ยเลี่ยน…พี่สุ่ยเลี่ยน…”
ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่าหันกลับไปดูพร้อมกัน เห็นสี่ชุ่ยกำลังหอบหายใจวิ่งมาทางพวกเขาห่างออกไปอีกราวหลายสิบเมตรได้
“สี่ชุ่ย?” ซูสุ่ยเลี่ยนมองสี่ชุ่ยที่ก้มตัวหอบหายใจแฮกอย่างไม่เข้าใจ นางควรไปส่งมอบผ้าปักอยู่ไม่ใช่หรือ
“พี่สุ่ยเลี่ยน…ฮู่ว์ เหนื่อยมาก…” พอสี่ชุ่ยหายใจคล่องก็ดึงมือซูสุ่ยเลี่ยนมาบอกกล่าวด้วยอาการยินดียิ่งว่า “พี่สุ่ยเลี่ยน ท่านยังไม่รู้ว่าภาพหงส์เกี้ยวหงส์ เจ้าของร้านพึงพอใจมาก เถ้าแก่เนี้ยยังเพิ่มเงินรางวัลให้ข้าอีกหนึ่งตำลึง เอ้า ให้ท่าน หากไม่ใช่ท่าน ข้าย่อมไม่อาจปักสำเร็จได้” สี่ชุ่ยพูดไปพลางคว้าถุงเงินที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา ควักออกมาสองตำลึง ส่งให้ซูสุ่ยเลี่ยนพลางกล่าวเหมือนเด็กน้อย
“เด็กโง่ บอกว่าช่วยเจ้า จะรับเงินเจ้าได้อย่างไร พวกนี้เจ้าเก็บเอาไว้เองดีๆ ต้องเตรียมเงินออกเรือนไม่ใช่หรือ” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มส่ายหน้าบอกให้นางเก็บเงินกลับคืนไป “เอาละ ที่นี่คนมากหูตามาก รีบเก็บเร็ว”
“แต่ว่า…” สี่ชุ่ยรีบส่ายหน้าดึงดันจะให้ซูสุ่ยเลี่ยนรับไว้ “ข้า…ข้าจะเก็บไว้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ใช่ข้าปักคนเดียวเสียเมื่อไร หากไม่มีพี่…”
“เอาละ หากเจ้าต้องการเช่นนี้ ครั้งหน้าก็ไม่อนุญาตให้มาบ้านข้าอีก” ซูสุ่ยเลี่ยนแสร้งข่มขู่สี่ชุ่ย ในใจกลับรู้สึกเหมือนคบหากันอย่างจริงใจเพิ่มขึ้น จากเดิมแค่ตามมารยาท เมื่อก่อนนางไม่ค่อยรู้จักการคบหาสหาย แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่อยากจะมีสหายสนิท ตอนนี้นางสลัดความเป็นหลานสาวคนโตสายภรรยาเอกแห่งตระกูลผ้าปักซูซิ่วทิ้งไป ย่อมอยากจะคบสหายหญิงวัยเดียวกันที่มีใจชอบในสิ่งเดียวกันให้มากๆ
“พี่สุ่ยเลี่ยน…” เห็นคนรอบๆ หลายเริ่มหยุดมองพวกนาง ก็เริ่มอายรีบเก็บเงินสองตำลึงในมือ กล่าวขอบคุณอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณพี่สุ่ยเลี่ยน” ขอบคุณที่ยอมสละเวลาสามวันแรกของช่วงเวลาแต่งงาน ยอมทุ่มเทกำลังช่วยตนเต็มที่ ขอบคุณนางที่ไม่คิดถึงผลประโยชน์ เพียงเพราะรับปากช่วยไว้ก่อนหน้าแล้ว จึงไม่รับเงินเด็ดขาด เช่นนี้ล้วนเป็นสิ่งที่นางเองไม่มีวันทำได้ สี่ชุ่ยกำสองมือแน่น ในเมื่อตัดสินใจเรียนรู้จากนางแล้ว วันหน้าตนเองก็ต้องให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้เช่นกัน
“พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่หรือ!” ซูสุ่ยเลี่ยนยิ้มละมุนกล่าว “อย่างน้อยข้าก็คิดเช่นนี้”
“อืม” สี่ชุ่ยได้ยินก็ยินดีพยักหน้าเต็มแรง นางเห็นตนเป็นเพื่อน เป็นเกียรติยิ่ง!
“ใช่แล้ว พวกเรายังต้องหาซื้อของอีก เจ้าล่ะ มีอะไรต้องซื้อไหม” ซูสุ่ยเลี่ยนคิดถึงว่าสิ่งที่ต้องทำยังไม่เสร็จ
“ข้ามากับท่านแม่ ตอนนี้น่าจะอยู่ที่ร้านขายเนื้อ อย่างนั้นข้าไปหาท่านแม่ก่อน” สี่ชุ่ยได้ยินคำถามซูสุ่ยเลี่ยนจึงได้นึกถึงป้าเหลาที่รอตนอยู่ที่ร้านขายเนื้อ จึงไม่คิดคุยกับซูสุ่ยเลี่ยนต่อ รีบกล่าวอำลาวิ่งไปที่ร้านเนื้อทันที
“สี่ชุ่ยเป็นแม่นางที่ดี” ซูสุ่ยเลี่ยนมองร่างสี่ชุ่ยวิ่งออกไปไกลจึงกล่าวขึ้นพลางยิ้ม หวังว่าจะหาคนดีที่รักนางไปชั่วชีวิตได้ ให้เหมือนผู้ชายข้างกายตนผู้นี้ หันกลับไปลอบมองหลินซือเย่าข้างๆ ร่างสูงสง่ารูปงาม คิ้วดาบเข้มดวงตาเป็นประกาย ดึงดูดสายตาสตรีตามทางอย่างไม่รู้ตัว
ซูสุ่ยเลี่ยนคิดไปก็แอบแย้มยิ้มมุมปากไป พลางกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาเย่า พวกเราไปกันเถอะ”
“อืม” หลินซือเย่าอมยิ้มรับคำ ปัดผมที่ระใบหูนางไปทัดไว้หลังใบหู ก่อนจะเดินไปยังจุดหมายพร้อมกันกับนางด้วยท่าทีปกป้องอารักขาเต็มที่
……
ไปที่ร้านผ้าซื้อผ้าฝ้ายหนาไว้ตัวชุดตัวนอกสำหรับหน้าหนาวมาสองผืน
ผืนหนึ่งสีดำ นางเลือกให้เขา แม้ว่าไม่อยากให้เขาสวมชุดสีเข้มหม่น แต่เสื้อผ้าหน้าหนาว สีสันเข้มหน่อยจะได้ไม่เลอะง่าย นับประสาอันใดกับนางไม่อาจปฏิเสธได้ว่า สีดำพออยู่บนร่างเขาแล้วดูเป็นธรรมชาติและเหมาะสมที่สุด ราวกับสีเข้มพวกนี้มีมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
อีกผืนสีแดงลูกอิงเถา เขาเลือกให้นาง สีเหมือนลูกอิงเถาแดงสุก ทำให้เขาอดนึกถึงผลลูกอิงเถาจากต้นอิงเถาใหญ่หน้าบ้านต้นนั้นไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นแม่สื่อระหว่างเขากับนาง ริมฝีปากเขากดลึกยิ้มเล็กน้อย
จากนั้นก็ไปร้านขายของจิปาถะ เลือกด้ายหลากสีที่ขาดไป และยังซื้อเข็มใหญ่ไว้เย็บพวกหนังสัตว์มาด้วยอีกสองสามเล่ม หลินซือเย่าได้บอกนางเรื่องวิธีการนำหนังสัตว์ตากแห้งเหล่านั้นมาใช้แล้วว่าให้นางเอาไว้ตัดอุปกรณ์หน้าหนาวเช่นพวกที่หุ้มแขนหรือข้อเข่า นางรับคำอย่างดีใจ และกะว่าจะตัดให้เขาหนึ่งชุด เพียงแต่เช่นนี้จะทำให้เวลาจากนี้ของนางคงต้องยุ่งวุ่นวายอีกสักพัก แผนที่วางไว้ว่าจะไปร้านปักผ้ารับงานกับสี่ชุ่ยก็ได้แต่ยืดเวลาออกไปอีกสักสองสามวันไปก่อน คิดถึงเงินสิบกว่าตำลึงที่เหลือที่บ้าน ก็น่าจะพอให้เขาสองคนผ่านหน้าหนาวนี้ไปได้และยังก้าวข้ามไปสู่ปีหน้าได้อย่างสบาย
พอฤดูใบไม้ผลิมาถึง พื้นที่สองผืนในบ้านก็ต้องไถหว่านเมล็ดพันธุ์แล้ว ก็หมายความว่าปีหน้าพวกนางก็จะมีธัญพืชและดอกฝ้ายไว้ทำเครื่องนุ่งห่มให้เก็บเกี่ยว แน่นอนว่ายังต้องอาศัยความเมตตาจากสวรรค์เรื่องฟ้าฝน หากว่าปีหน้าเกิดน้ำท่วมฝนแล้งอะไรขึ้นมา ความหวังพวกเขาก็ย่อมพังทลายหมดสิ้น
ซูสุ่ยเลี่ยนจำคำหลินซือเย่าได้ว่า ไม่เคยฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ ไม่เคยกินขนมไหว้พระจันทร์ จึงดึงเขาไปร้านขายขนมด้วยกัน
เดิมคิดจะซื้อไส้ขนมไหว้พระจันทร์กลับไปลองทำขนมไหว้พระจันทร์เอง ไม่คิดว่าคนงานที่ร้านบอกว่าขายแค่ขนมไหว้พระจันทร์ ไม่ขายไส้ ยังว่าไส้พวกนี้แม่บ้านแต่ละครัวเรือนล้วนทำกันเป็น ที่ยากคือการอบขนมไหว้พระจันทร์ต่างหาก หากที่บ้านไม่มีเตาสำหรับอบก็ทำไม่ได้
ซูสุ่ยเลี่ยนฟังคนงานร้านขนมว่ามาก็มีเหตุผล หันกลับมาคิดถึงตนกับหลินซือเย่าที่แม้แต่ขนมไหว้พระจันทร์ก็ทำไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอบขนม ผู้ใดจะรู้ว่าพวกป้าเหลาทำเองหรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจจะซื้อเหมือนกัน
จึงซื้อมาทั้งหมดเก้าชิ้น มีไส้ถั่วเหลืองบด ไส้พุทราแดงและไส้ถั่วรวมอย่างละสามชิ้น ยังซื้อขนมดอกกุ้ยอีกหนึ่งชั่ง ขนมโก๋ธัญพืชอีกหนึ่งชั่ง รวมทั้งหมดหนึ่งตำลึงกว่า ความปรารถนาที่คิดจะเรียนทำขนมพวกนี้ก็เริ่มผุดขึ้นมาในใจมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายไปร้านขายแป้งและข้าวสาร ซื้อข้าวสารห้าสิบเซิง แป้งสาลีห้าสิบเซิง[1] หลินซือเย่าถือมือเดียวสบายๆ หากเป็นซูสุ่ยเลี่ยนคงยกไม่ขึ้นแม้แต่กระสอบเดียว เดินออกมานอกถนน ก็อุ้มนางทะยานกลับบ้าน
……
“เอ๋ นั่นมัน…” ซูสุ่ยเลี่ยนกับหลินซือเย่ามาถึงปากทางก็เห็นสตรีในชุดม่วงเดินออกมาพลางส่งยิ้มละไม มองมายังสองคนยังอยู่ไกลออกไปอย่างไม่ยอมขยับ
“เร็วหน่อย พี่หว่านเอ๋อร์ ถ้ายังไม่รีบจะไปสายนะ” ห่างออกไปหลายเมตรมีดรุณีตระกูลฟางอีกนาง สองนางแต่งกายงดงามเช่นกันยืนอยู่ ดรุณีน้อยสวมเสื้อผ้างดงามส่งเสียงร้องเรียกอย่างร้อนใจ ดูพระอาทิตย์แล้ว น่าจะใกล้ได้เวลานัดหมายแล้ว หากยังไม่รีบไปอีก ก็คงพลาดโอกาสชิดใกล้กับบุตรชายเจ้าเมืองแล้ว
ลู่หว่านเอ๋อร์จึงได้สติ ใช่แล้ว นางคือบุตรสาวแสนรักของตระกูลลู่นามลู่หว่านเอ๋อร์ นางได้พานพบชายเย็นชาราวน้ำแข็งที่นางเฝ้าคะนึงหาอยู่ไม่คลายอีกครั้ง
ทิศทางนี้ออกนอกเมือง หรือว่าเขาเป็นชาวนาละแวกนี้ มิน่าตนเองสอบถามไปหลายแห่งก็ไม่ได้ข่าวคราวอันใดเกี่ยวกับเขาเลย ยามนี้ได้เห็นใบหน้ารูปงามที่ตนคลั่งไคล้พร้อมกับร่างสูงสง่าที่ตนอยากเขาไปยืนเคียงข้างอย่างที่สุด มองไม่ออกสักนิดว่าเขาเป็นเพียงแค่ชาวนา จะว่าไปเป็นชาวนาแล้วอย่างไร คิดถึงบิดาตนเองก็มาจากเมืองเล็กๆ อย่างเมืองฝานฮัวเช่นกัน อย่างมากก็ให้เขาแต่งเข้าตระกูลลู่เหมือนกับบิดานาง
พอในใจคิดเช่นนี้ ลู่หว่านเอ๋อร์ก็ยิ้มมุมปากอย่างพึงใจ ละเลยซูสุ่ยเลี่ยนข้างกายหลินซือเย่าไปหมดสิ้น ในใจนางคิดเสมอว่าไม่มีชายใดไม่หลงรักรูปกายงดงามอรชรและใบหน้าหวานงามของนางอย่างแน่นอน กอปรกับนางยังมาจากตระกูลลู่ที่แสนร่ำรวย ชายทั้งหลายโดยเฉพาะจากตระกูลชาวบ้านชาวนาจะตัดสัมพันธ์นางนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ นางรู้สึกมั่นใจขึ้นมาอีกครั้ง
———————-
[1] หนึ่งเซิงเท่ากับหนึ่งลิตร