บทที่ 56 คนละโลก

บทที่ 56 คนละโลก

“เหยียนเอ๋อร์ เธอก็น่าจะรู้ความรู้สึกฉันที่มีต่อเธอนี่!” ข่งไห่หลินพูดกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ “ทำไมเธอถึงไปชอบผู้ชายคนอื่นได้กัน?”

“แล้วทำไมจะไม่ได้ล่ะ?” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไม่มองตอบข่งไห่หลิน “เรื่องของฉันทั้งนั้น ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับคนอื่น”

“แต่ว่านะ พ่อกับแม่เธอคาดหวังให้พวกเราได้คู่กัน!” ข่งไห่หลินยังคงพูดต่อ “พวกท่านย่อมไม่ยินดีที่เห็นเธอคบหากับคนที่ไม่มีที่ยืนในสังคมแน่”

“ฉันพูดไปแล้ว เรื่องของฉัน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น!” ท้ายที่สุดหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ก็มองข่งไห่หลิน ใบหน้าอันงดงามของเธอราวกับมีชั้นน้ำแข็งปกคลุม “ต่อให้เป็นพ่อแม่ของฉันก็ไม่มีสิทธิ์!”

“แต่เธอก็ไม่ควรคบหากับคนแบบนี้” ข่งไห่หลินตอบกลับ

“ผมก็ไม่ได้อยากจะพูดหรอกนะครับ” อู๋ฝานอดไม่ได้ที่จะเข้าร่วมการสนทนา “แต่ความหมายของคุณคืออะไร? คนอย่างผมมันเป็นยังไง? มีขาหรือแขนน้อยกว่าคุณงั้นหรือ? หรือจะบอกว่าผมควรมีสามมือสองหัวดีล่ะ?”

“เหอะ! นายไม่เคยส่องกระจกมองตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเป็นได้แค่คางคกตัวหนึ่ง แต่กลับคิดอยากจะกินเนื้อหงส์!” ข่งไห่หลินตอบกลับมา

“ผมได้ค้นพบอะไรอย่างหนึ่ง ว่าคนรวยอย่างพวกคุณเอาแต่คิดว่าตัวเองถูกต้อง” คำของข่งไห่หลินทำให้อู๋ฝานนึกถึงคืนก่อนที่หลี่ปิงวางตัวอย่างยโสโอหัง “นอกจากพ่อแม่ของพวกคุณจะร่ำรวยกว่าผมแล้ว พวกคุณมีอะไรบ้างกันล่ะ?”

“เพียงแค่นั้น ก็มากพอให้ฉันบดขยี้แมลงอย่างนายตายได้!” ข่งไห่หลินตอบกลับ

“ข่งไห่หลิน! ถ้าหากยังกล้าเสียมารยาทกับเขา ก็อย่าได้โทษว่าฉันเสียมารยาท!” หลิ่วเหยียนเอ๋อร์จ้อง มองข่งไห่หลิน ก่อนจะลุกขึ้นยืนและพูดกับอู๋ฝาน “กลับกันได้แล้ว”

“ไปแล้ว? ยังไม่ได้ทานเลยไม่ใช่หรือ?” อู๋ฝานตอบกลับอย่างนึกเสียดาย

หลังช่วงกลางวันที่หมดเวลาไปกับการออกกำลังกาย อู๋ฝานทั้งเหนื่อยล้าและหิวโหย จึงคิดว่าจะได้ทานมื้อเย็นให้มากหน่อย แต่เพิ่งทานได้ไม่กี่คำก็ต้องกลับแล้ว

เพียงแต่เมื่อพบเห็นท่าทีของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ อู๋ฝานก็ทราบดีว่าอาหารมื้อนี้เกินกว่าจะได้กินแล้ว

“อู๋ฝาน!” ข่งไห่หลินตะโกนชื่อเสียงดัง “ขอแนะนำให้นายสำเนียกตนเองเสียบ้าง นายและหลิ่วเหยียนเอ๋อเป็นคนที่อยู่คนละโลก ถ้าหากยังไม่ยอมรับความจริง สุดท้ายแล้วคนที่โชคร้ายก็เป็นนายเอง!”

“ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ” อู๋ฝานประสานมือยิ้มแย้มตอบรับ “ข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผม ก็คือการที่ผมรู้ตัวเองดี”

“เหอะ!” ข่งไห่หลินแค่นเสียงตอบรับเย็นชา “ดื้อรั้นและหน้าโง่! โลกนี้เป็นโลกที่พูดคุยกันด้วยอำนาจ และต่อหน้าพวกเรานายก็เป็นได้แค่มดปลวก”

อู๋ฝานเลิกคิ้วขึ้นพลางตอบ “บางครั้ง มดก็ฆ่าช้างได้นะครับ”

สิ้นคำกล่าว อู๋ฝานจึงหันกลับและเดินออกจากห้องส่วนตัวไปพร้อมหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ โดยทิ้งข่งไห่หลินผู้มีสีหน้าดำมืดยืนนิ่งเอาไว้ด้านหลัง

เพียงไม่นานภายหลังอู๋ฝานออกไปพ้นจากสายตา ข่งไห่หลินจึงนำโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายโทรออก

“ว่าไง นายน้อยหวังใช่ไหม? ฉันต้องการให้คุณช่วยตรวจสอบคนคนหนึ่งให้หน่อย มันชื่ออู๋ฝาน! เป็นอาจารย์พละที่เคยแข่งทำอาหารกับเชฟใหญ่ของคัลเลอร์แมนเมื่อคืนก่อน! ฉันต้องการข้อมูลทั้งหมดที่จะหาได้!” ข่งไห่หลินบอกปลายสาย

ภายหลังวางสาย ข่งไห่หลินจึงพึมพำกับตัวเอง “กล้าดีแย่งผู้หญิงของฉันงั้นหรือ? อู๋ฝาน ฉันจะทำให้นายรู้เองว่าสังคมมันโหดร้ายขนาดไหน!”

เมื่อวันก่อนที่ได้พบอู๋ฝาน ข่งไห่หลินไม่ได้มีความประทับใจเด่นชัดอะไรต่ออู๋ฝาน แม้ว่ากล่าวคำชมเชยเพราะฝีมือทำอาหารของอู๋ฝาน แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้พบกันอีกรวดเร็วถึงขนาดนี้ อีกทั้งยังดำเนินจนความสัมพันธ์เกินเลยจนถึงระดับนี้ด้วยเช่นกัน

เพียงแต่แม้เป็นเช่นตอนนี้ ข่งไห่หลินก็ไม่คิดเก็บอู๋ฝานมาใส่ใจจริงจัง ดังที่เขากล่าวไป อู๋ฝานและพวกเขาอยู่คนละโลก คิดสังหารหรือกำจัดไม่ใช่เรื่องยากเกินทำได้

อีกฝั่งหนึ่ง อู๋ฝานกำลังทบทวนถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ พร้อมกับพึมพำอยู่ในใจ “ไม่นึกเลยว่าข่งไห่หลินจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง”

ตอนที่อู๋ฝานได้ตระหนักว่าตนเองต้องเป็นโล่ และอาจต้องเป็นศัตรูของข่งไห่หลิน เขาจึงลอบใช้วิชาตรวจสอบกับข่งไห่หลิน เพื่อดูว่าอีกฝ่ายเป็นเช่นไร รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ในเมื่อต้องกลายเป็นศัตรูต่อกัน ย่อมต้องการได้ทราบข้อมูลของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนถือเป็นเรื่องที่ดีกว่าอยู่แล้ว

เพียงแต่ อู๋ฝานก็ต้องประหลาดใจกับข้อมูลที่ได้รับมา

[ชื่อ : ข่งไห่หลิน]

[ประชากรของจีน อายุยี่สิบหก เรียนรู้เคล็ดวิชามวยเงามืด มีความภาคภูมิ ลงมือทำเพราะมีจุดประสงค์ และลงมือหนัก]

แม้ว่าข้อมูลที่ได้รับจะมากกว่าของหลิ่วเหยียนเอ๋อร์อยู่บ้าง แต่ก็ถือว่าน้อยกว่าคนอื่น เป็นการบ่งบอก ว่าพละกำลังของข่งไห่หลินในปัจจุบันเทียบเท่า หรือว่าแข็งแกร่งกว่าอู๋ฝานอยู่ระดับหนึ่ง

ในบรรดาข้อความทั้งหลาย มันมีสิ่งหนึ่งที่กระตุ้นความสนใจของอู๋ฝาน

“เรียนรู้เคล็ดวิชามวยเงามืด”

มันถือเป็นครั้งแรกที่อู๋ฝานได้เห็นคำอธิบายถึงศิลปะการต่อสู้ในโลกความเป็นจริง เดิมนั้นอู๋ฝานคิดว่าสิ่งพวกนี้จะได้เห็นก็ต่อเมื่ออยู่อีกโลกหรือในเกม ไม่นึกคิดว่าในความเป็นจริงจะได้พบเห็นกับตา

มันเป็นการแสดงให้เห็น ว่าโลกที่เขาอาศัยมันไม่ได้เรียบง่ายดังเช่นที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ บางทีศิลปะการต่อสู้ที่เคยมีบรรยายเอาไว้ตามนิยาย มันอาจมีอยู่จริง

“ไม่แปลกใจ ที่ข่งไห่หลินบอกว่าเขาและเราอยู่กันคนละโลก เพราะคิดว่าคนอื่นเป็นเพียงคนธรรมดา และพวกเขาคือตัวตนระดับที่คนธรรมดาไม่อาจแตะต้องได้นี่เอง” อู๋ฝานครุ่นคิดกับตัวเอง พลางมองยัง หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้งหนึ่ง

เขายังจำครั้งก่อนที่ใช้วิชาตรวจสอบกับหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ได้ ข้อมูลที่ได้รับรู้มามีอย่างจำกัด หมายความถึงอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าตัวเขาเอง บางทีเธออาจได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้บางประการ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจทราบรายละเอียดข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเธอได้

“ไม่รู้เลยว่าพวกเขามีชีวิตอยู่กันในโลกแบบไหน บางทีเราในอดีตอาจไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับโลกนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” อู๋ฝานคิดกับตัวเองอยู่ภายในใจ

การที่สามารถเทเลพอร์ตไปยังอีกโลกหนึ่ง การได้เสริมความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องด้วยการเพิ่มเลเวล ความเป็นไปได้ของอู๋ฝานจึงไร้ที่สิ้นสุด บางทีตัวเขาตอนนี้อาจยังอ่อนแอ แม้แต่ข่งไห่หลินก็ยังไม่อาจเอาชนะ แต่อู๋ฝานเชื่อ ว่าตราบเท่าที่มีเวลาให้มากกว่านี้ การจะข้ามผ่านข่งไห่หลิน หรือกระทั่ง หลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไปได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง

ดังนั้น ปัจจุบันอู๋ฝานจึงไม่ได้รู้สึกกดดันจนหนักหนาแต่อย่างใด

“รอเดี๋ยว!”

แต่ขณะที่อู๋ฝานกำลังเดินตามหลิ่วเหยียนเอ๋อร์ไปยังประตูของร้าน เสียงที่อู๋ฝานรู้สึกคุ้นเคยก็เรียกหยุดคนทั้งสองเอาไว้

ทั้งสองคนหันกลับ พบเห็นบุคคลที่อยู่ด้านหลัง อู๋ฝานค่อนข้างประหลาดใจ เพราะอีกฝ่ายที่เรียกหยุดพวกเขาเอาไว้ ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเชฟใหญ่หลิวที่เพิ่งประลองแข่งขันกันไปเมื่อคืนที่ผ่านมา

“คุณอู๋ ผมมีอะไรอยากจะบอกคุณ” เชฟใหญ่หลิวพูดกับอู๋ฝาน

หลิ่วเหยียนเอ๋อร์มองอู๋ฝานก่อนจะพูดขึ้นมา “ฉันรอที่ด้านนอกนะ”

เพราะไม่ใช่ข่งไห่หลิน ดังนั้นหลิ่วเหยียนเอ๋อร์จึงไม่ต้องกังวลใด

“ครับ” อู๋ฝานตอบรับ