บทที่ 12 แกล้งปลอมตัวเป็นเด็ก

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 12 แกล้งปลอมตัวเป็นเด็ก

เมื่อเดินออกมาจากร้านขายวัตถุดิบ ไป๋ชิวหรานก็มองขึ้นไปบนฟ้าพร้อมบ่นพึมพำกับตัวเอง

“น่าสนใจ น่าสนใจจริง ๆ”

ของที่เขาต้องการจะซื้อนั้น เดิมทีมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหมดจากคลัง เนื่องจากพวกมันถูกใช้กับบางอาคม หรือสำหรับพวกมารที่ใช้กลั่นโอสถในการบ่มเพาะพลังเท่านั้น

ไป๋ชิวหรานรู้ดีว่าสถานการณ์ของเขาพิเศษอย่างไร ในช่วงสามพันปีที่ผ่านมา เขาได้ลองใช้หลากหลายวิธีเพื่อเข้าสู่ขั้นสร้างรากฐาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เศษซากเซียนที่เซียนเจียตงฟู่หลงเหลือเอาไว้ วัตถุโบราณที่พบในซากปรักหักพังของสำนักบ่มเพาะพลังที่ถูกทำลายก่อนศักราชต้าชาง แม้แต่ศพจากศัตรูตัวฉกาจของห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมที่เป็นวิชามาร เขาก็ยังศึกษาพวกมันมาแล้ว

มันแตกต่างจากการบ่มเพาะพลังทั่วไปของผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะที่จะก้าวไปทีละขั้น พวกมารนั้นจะมุ่งเน้นไปทางอิสรเสรี ความตั้งใจ ความไม่เกรงกลัว และความหมั่นเพียร ทุกสิ่งในโลกพวกเขาล้วนคิดว่าสามารถใช้ได้ ดังนั้นทักษะของพวกเขาจึงเหนือกว่าในหลาย ๆ ด้าน แน่นอนว่าในการหลอมยาด้วย

วัตถุดิบที่พวกฝ่ายมารเหล่านี้ใช้จะมีประสิทธิภาพสูงหลังจากได้รับการกลั่น แต่มันก็มีผลข้างเคียงที่สูงอย่างมากเช่นกัน ยกเว้นแค่ไป๋ชิวหรานที่รับมือได้ เพราะพวกฝ่ายมารจะสามารถรับมือกับการบิดและหักงอกระดูกได้มากกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป ดังนั้นคราวนี้เขาจึงคิดจะใช้ทักษะของสำนักมารเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบรรลุขั้นพลัง

ยกตัวอย่างเช่นสำนักมารระดับต้น ๆ เมื่อโอสถธรรมดาไม่เพียงพอต่อพลังของพวกเขา สำนักเหอฮวน*[1] มักจะใช้ยาบางชนิดเร่งพลัง สำนักวิญญาณหยินจะไปขุดซากศพจากสงครามเพื่อดูดซับพลังวิญญาณ สำนักอสูรสวรรค์จะไปดูดซับไอธาตุดินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และสำนักโลหิตเทวะผู้ใช้วิธีที่โหดเหี้ยมที่สุด สำนักนี้จะเลือกการสังหารมนุษย์เพื่อใช้โลหิตสังเวยโดยเฉพาะ

การสังเวยโลหิตเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้มนุษย์ประมาณหนึ่งหมู่บ้าน ดังนั้นในบรรดาสำนักมาร สำนักโลหิตเทวะจึงไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบมากเท่าไหร่ พวกสำนักมารปกติจะไม่โจมตีมนุษย์โดยไร้เหตุผล แต่ศิษย์ของสำนักโลหิตเทวะนั้นต้องใช้ชีวิตผู้บริสุทธิ์หลายพันคนในการสังเวย ดังนั้นสำนักหลักของห้าพันธมิตรวิถีปราณเที่ยงธรรมและสำนักโลหิตเทวะจึงเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันตลอดมา

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแล้วว่าผู้ฝึกตนทั่วไปก็สามารถใช้วัตถุดิบเหล่านี้ได้เช่นกัน เขาจึงลองเขียนวัคตถุดิบพิเศษครั้งที่สองให้เถ้าแก่ร้านดู ซึ่งมันเป็นวัตถุดิบพิเศษที่สำนักมารใช้กันมากที่สุด และวัสดุเหล่านี้ก็ยังคงหมดคลัง

มันจึงเป็นเรื่องแปลกมาก

ดูเหมือนว่าจะมีผู้ฝึกอาคมอยู่ในซ่างเสวียน เมื่อนึกถึงทัศนคติของถังรั่วเวยที่มีต่อผู้ฝึกตนและข่าวลือของจักรพรรดิแห่งซ่างเสวียนแล้ว ไป๋ชิวหรานจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องสงสัยมหาราชครูของรัฐซ่างเสวียน

โดยเฉพาะมหาราชครูที่ใช้ชื่อของสำนักกระบี่ชิงหมิงเป็นฉากบังหน้า

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดตลอดทางจนมาถึงโรงเตี๊ยมระดับสูงในเมืองหลวงของซ่างเสวียน หลังจากจ่ายเงินไปหลายสิบตำลึง เขาก็เข้าพักห้องที่อยู่ชั้นบนสุด จากนั้นจึงเดินไปยังหน้าต่างของห้องและใช้ทักษะการฟังที่เหนือมนุษย์เพื่อฟังบทสนทนาของคนในโรงเตี๊ยม แน่นอนว่ามันยังไม่พอ เขาจึงเปิดใช้สัมผัสเทวะกวาดไปทั่วเมืองหลวง

แต่หลังจากค้นหา ไป๋ชิวหรานก็ยังไม่พบเบาะแสใดในเมือง นอกจากนั้นเขายังมุ่งเน้นไปที่การสอดแนมราชวังของรัฐซ่างเสวียน ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ องค์ชาย มหาราชครู หรือองครักษ์สูงสุดอย่างซือหม่าอิงป๋อ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติใดจากพวกเขา

มหาราชครูและซือหม่าอิงป๋อไม่ได้ปรากฏวิญญาณชั่วร้ายให้เห็นขณะบ่มเพาะพลัง ดังนั้นพวกเขาจึงคงจะเป็นผู้ฝึกตนธรรมดา

ระหว่างการใช้กระบวนการนี้ ไป๋ชิวหรานได้เห็นถังรั่วเวยกลับไปยังที่พักของนางเรียบร้อย เมื่อไป๋ชิวหรานเห็นนาง เวลานี้องค์หญิงผู้มีอคติกับผู้ฝึกตนได้เปลี่ยนเป็นชุดของสตรีแล้ว นางดูมีเสน่ห์ไม่น้อย ไป๋ชิวหรานเห็นว่านางกำลังยืนอยู่หน้ากระจกและยัดบางอย่างลงในเสื้อตรงหน้าอกเพื่อให้มันดูโป่งออกมา

ลักษณะของมันทำให้ไป๋ชิวหรานนึกถึงตัวเองในอดีต ก่อนที่เขาจะพบกับเซียนชิงหมิง เขาได้ตระเวนไปทั่วสนามรบเพื่อเก็บสิ่งของจากคนตายและนำไปขายแลกเงิน

บางครั้งหากโชคดี เขาจะพบอาหารแห้งที่ยังไม่ได้กินจากศพทหาร ในเวลานั้นเขาจะยัดมันลงไปไว้ใต้เสื้อผ้าและกางเกงเพื่อเก็บให้ได้มากที่สุด

แต่เขาไม่เข้าใจว่าถังรั่วเวยกำลังยัดสิ่งใดลงใต้เสื้อ

เป็นไปได้หรือไม่ว่ารัฐซ่างเสวียนนั้นยากจน แต่ก็ไม่น่าเป็นเช่นนั้น…

เขาหัวเราะกับความคิดที่เป็นไปไม่ได้อยู่ชั่วครู่ จากนั้นไป๋ชิวหรานจึงถอนสัมผัสเทวะออกจากบริเวณราชวัง

เมื่อคิดว่าตอนนี้ยังไม่มีเงื่อนงำใดในราชวัง เขาจึงพยายามหาที่จุดอื่น

ในเวลานี้หูของไป๋ชิวหรานได้จับการสนทนาของผู้คนที่โต๊ะชั้นล่าง

“เฮ้อ พิธีบวงสรวงสวรรค์ครั้งนี้ลำบากจริง ๆ พิธีครั้งก่อนไม่ใช่ว่าเป็นของพวกคนในวังงั้นหรือ? เหตุใดจู่ ๆ ถึงต้องการให้เราชักชวนเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจากทุกครอบครัวไปเข้าร่วมด้วย?”

“หืม?”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘เด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย’ และ ‘พิธีบวงสรวงสวรรค์’ ไป๋ชิวหรานจึงมุ่งเน้นจิตไปทางต้นตอของเสียงอย่างรวดเร็ว

มันเป็นการสนทนาของชายวัยกลางคนสองคนที่ชั้นล่าง ตามเครื่องแต่งกาย พวกเขาคงเป็นองครักษ์ระดับกลางของรัฐซ่างเสวียน

“เฮ้อ จักรพรรดิและมหาราชครูคิดอะไรอยู่ ผู้น้อยอย่างพวกเราจะทราบได้อย่างไร?”

หนึ่งในชายวัยกลางคนตอบ “บางทีพวกเขาอาจจะใช้พรของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงเพื่อพลิกชะตารัฐซ่างเสวียน บางทีเด็กบริสุทธิ์อาจจะมีผลดีมากกว่า ที่ผ่านมาสถานการณ์ในรัฐก็ไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่”

“กุญแจสำคัญก็คือสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่เมืองอื่น แม้แต่คนส่วนใหญ่ในเมืองหลวงก็ไม่ต้องการให้ยืมลูกหลานของตัวเองเพื่อไปทำพิธีบวงสรวงสวรรค์กันมากนักหรอก” ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงข้ามกล่าว

“หากต้องการหาครอบครัวที่เต็มใจจะให้ยืมลูกหลาน เจ้าก็ต้องไปหาในพื้นที่ที่ห่างไกลและลำบาก จากนั้นก็ต้องส่งเงินตอบแทนให้ เช่นนั้นพวกเขาถึงจะให้ยืม…แต่นั่นก็ยุ่งยากเกินไป มันไม่มีเด็กกำพร้าตามท้องถนนบ้างเลยหรือไงกัน?”

“หุบปากของเจ้าเดี๋ยวนี้!” ชายวัยกลางคนที่กล่าวคนแรกรีบเตือนอีกคนทันที “ที่นี่เป็นเมืองหลวงของรัฐซ่างเสวียน หากเจ้าอยากให้มีคนไร้บ้านอยู่ที่นี่ มันจะไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงงั้นหรือ? ระวังหัวของเจ้าจะหลุดจากบ่า!”

“อา ข้าผิดไปแล้ว” องครักษ์อีกคนรีบหยิบแก้วขึ้นมา “มา ๆๆ ดื่มกันต่อ ดื่มกันต่อ”

เมื่อเห็นว่าคนทั้งสองชนจอกสุราและเริ่มสนทนาเรื่องอื่น ไป๋ชิวหรานจึงถอนสัมผัสเทวะก่อนจะแตะนิ้วที่คางพลางคิด

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เผยรอยยิ้มออกมานิด ๆ หลังจากวางจอกสุราลงบนโต๊ะ ไป๋ชิวหรานก็เดินออกจากร้านอาหารไปยังหัวมุมใกล้ ๆ

หลังจากใช้สัมผัสเทวะตรวจดูแล้วว่าบริเวณโดยรอบไม่มีผู้คน ไป๋ชิวหรานจึงกระทำบางอย่างกับร่างกาย มันส่งเสียงเหมือนถั่วกำลังผุ จากนั้นร่างกายของเขาก็หดเล็กลง ใบหน้านั้นเปลี่ยนไป นอกจากนี้เส้นผมเองก็เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำ

ขณะนี้ไป๋ชิวหรานได้หายไป และกลายเป็นเด็กผู้ชายผมสีเข้มแทน

……………………………………………………………….

เชิงอรรถ [1] สำนักเหอฮวน*

เหอฮวน คือต้นไหมเปอร์เซีย เป็นไม้ยืนต้นประดับสวนที่สวยงาม