บทที่ 50 ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

บทที่ 50 ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด

บทที่ 50 ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด

อำมาตย์ผู้หนึ่งลูบเคราพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด “ดูอย่างไร การที่พวกเขาถอนกำลังพลกะทันหันก็แปลกเกินไป ฝ่าบาททรงวางอุบายรับมือไว้เสียแต่เนิ่น ๆ ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ เผื่อว่าพวกซยงหนูป่าเถื่อนมีแผนร้ายอันใด”

เหล่าขุนนางโต้เถียงกันไม่หยุด พร้อมทั้งยกตัวอย่างความเป็นไปได้ทั้งหมดให้เห็น

หนานกงสือเยวียนหันมองพระโอรสสองคนผู้เงียบเป็นเป่าสากของตน

“องค์ชายใหญ่ องค์ชายรอง พวกเจ้ามีความเห็นใดหรือไม่”

ขุนนางอาวุโสบางคนมองพวกเขาด้วยสายตาผิดหวังเต็มประดา

องค์ชายในอดีตล้วนแล้วแข่งกันแสดงความสามารถ พวกท่านสองพระองค์นี่สิ ไม่รีบร้อนแต่งภรรยา ซ่องสุมอำนาจ บ่มเพาะพรรคพวกของตนไม่พอ โอกาสอันดีเช่นนี้อยู่ตรงหน้าแล้ว ยังไม่รู้จักแสดงตนอีกหรือ

องค์ชายสมัยนี้ความสามารถไม่สมตำแหน่งเอาเสียเลย

ท่ามกลางสายตาที่ทุกคนจับจ้องมองมา หนานกงฉีซิวเอ่ยปากขึ้นก่อน อย่างไรก็เป็นพี่ใหญ่ ซ้ำยังถูกเสด็จพ่อตรัสเรียก ย่อมต้องเอ่ยวาจาออกไปบ้าง

“แม่ทัพน้อยเซี่ย เจ้าทราบเหตุการณ์ที่พวกป่าเถื่อนถอนกำลังพลโดยละเอียดหรือไม่”

เซี่ยสุยอันพยักหน้า เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดที่เขาได้เห็นครั้งนำทัพเข้าสนับสนุนพร้อมผู้เป็นบิดา

“ขุนพลผู้นำกองทัพมีนิสัยใจคออย่างไร รู้บ้างหรือไม่”

เซี่ยสุยอันเอ่ย “เขามีนามว่าฮาร์บาลาพ่ะย่ะค่ะ เรี่ยวแรงมหาศาล เชี่ยวชาญการบุก มีทหารม้าล้อมรอบมากมาย จากที่เคยประมือกับเขามา คนผู้นี้มีนิสัยบุ่มบ่าม ซ้ำยังเผด็จการ มิใคร่ฟังความเห็นผู้อื่นเท่าใดนัก”

อีกนัยหนึ่งคือ คงไม่มีบุคคลระดับกุนซือคนใดที่เขายอมฟังความเห็น

หนานกงฉีซิวพยักหน้าประสานมือ “ขอบใจมาก”

“เสด็จพ่อ ลูกคิดว่า จากสถานการณ์ที่แม่ทัพน้อยเซี่ยอธิบาย เป็นไปได้สูงว่าสาเหตุที่ฮาร์บาลาถอนกำลังพลเพราะเกิดปัญหาภายใน ทว่าถึงขั้นที่เป็นผลให้ผู้ฝักใฝ่สงครามเช่นนี้ออกคำสั่งถอนกำลังพลได้ ซ้ำยังเป็นช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน คงมิพ้นเป็นขุนนางผู้อยู่ใต้บัญชาเขาโดยตรง หรือไม่ก็เป็นองค์ชายเผ่าซยงหนู และอาจเป็นหัวหน้าเผ่าของพวกเขา เพราะอย่างนั้น เป็นไปได้ว่าจะเกิดปัญหาภายในราชวงศ์ซยงหนูพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงฉีซิวสาธยายการคาดการณ์ของตนได้เป็นลำดับชัดเจน ทั้งยังสมเหตุสมผลมากอีกด้วย

ขุนนางเฒ่าลูบเคราพยักหน้า ความเก่งกาจขององค์ชายใหญ่เผยให้เห็นตั้งแต่ครั้งยังทรงพระเยาว์ อนิจจา…

เขาเหลือบมองขาขององค์ชายใหญ่ด้วยสายตาเสียดาย นึกเสียใจอย่างอดมิได้ องค์ชายใหญ่เยี่ยมยอดถึงเพียงนี้ กลับต้องประสบเคราะห์ร้ายเช่นนั้น

หนานกงฉีซิวรับสายตาพินิจพิเคราะห์จากผู้คนรอบด้านด้วยสีหน้าปกติ หลุบสายตาลงเล็กน้อย มิได้เอ่ยคำใดต่อ

หนานกงสือเยวียนพยักหน้าเบา ๆ “องค์ชายรอง เจ้าว่าอย่างไร”

ดวงตาจิ้งจอกของหนานกงฉีโม่แย้มยิ้ม “เสด็จพี่ใหญ่อธิบายได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง กระหม่อมเห็นด้วยกับคำกล่าวของเสด็จพี่ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”

ทุกคน “…”

ท่านปล่อยทุกอย่างให้เป็นไปตามยถากรรมใช่หรือไม่!

เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดจะแสดงความเห็นจริง ๆ บรรดาขุนนางที่ลอบสนับสนุนเขาก็ร้อนใจขึ้นมาในบัดดล พยายามส่งสายตาให้เขากันถ้วนหน้า

หนานกงฉีโม่แสร้งทำทีใสซื่อ “ใต้เท้าหลิว ไยตาท่านจึงกระตุก ไปให้หมอหลวงตรวจดูเสียหน่อยดีหรือไม่”

ใต้เท้าหลิว “…”

หมดหนทางแล้ว!

ขุนนางที่เหลือมิกล้าส่งสายตาอีก

หนานกงฉีโม่ไม่เอาอ่าว ทว่าหนานกงสือเยวียนไม่คิดปล่อยเขาไปทั้งอย่างนี้ เขาเคาะนิ้วบนโต๊ะอักษรเบา ๆ

“วิธีแก้ไข”

หนานกงฉีโม่เอ่ย “…ไปสืบหาข่าวคราวให้รู้เรื่องเป็นพอ หากราชวงศ์ซยงหนูมีปัญหาจริง ยามนี้คงมีการรบราภายในกันอย่างดุเดือด ทหารฝ่ายเราส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปคงมิใช่เรื่องยาก และอาจปั่นป่วนพวกเขาจนโกลาหลยิ่งขึ้นได้ด้วย

หากปัญหาที่นั่นมิได้ใหญ่หลวงเท่าใด ทหารฝ่ายเราควรรีบสร้างป้อมปราการขึ้น ชะล่าใจมิได้เด็ดขาด เผื่อว่าซยงหนูอาจจู่โจมกะทันหัน แน่นอนว่า ถือโอกาสนี้ล้างบางชนเผ่าป่าเถื่อนอย่างซยงหนูได้ยิ่งดี”

นี่อย่างไร ก็พูดเก่งมิใช่หรือ

เหล่าขุนนางปรายตามองเขากันหมด เพียงแต่คิดมากเกินไป

แม้ว่าซยงหนูจะเป็นชนเผ่าป่าเถื่อน กระนั้นก็ถือเป็นแคว้น ไหนเลยจะล้างบางได้ง่าย ๆ

หนานกงสือเยวียนเอ่ย “ดี”

หลังได้ยินสิ่งที่เขาตรัส ไม่รู้เพราะเหตุใด เหล่าขุนนางในที่นี้จึงตากระตุกขึ้นมาฉับพลัน สังหรณ์ใจไม่ดีเป็นอย่างมาก

ตามคาด ชั่วอึดใจต่อมา พวกเขาก็ได้ยินราชันผู้ฝักใฝ่สงครามของพวกเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า

“ใต้เท้าทั้งหลายคิดว่า เรานำทัพเองดีหรือไม่”

สิ้นเสียง คนทั้งหมดแทบคุกเข่าลงพร้อมกัน

“มิได้ มิได้ ฝ่าบาททรงทำเช่นนั้นมิได้เด็ดขาด!”

“ฝ่าบาท แผ่นดินมิอาจไร้กษัตริย์แม้เพียงหนึ่งวัน”

หนานกงสือเยวียนว่า “องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองโตแล้วทั้งคู่ เป็นผู้สำเร็จราชการได้”

ทั้งหนานกงฉีซิวและหนานกงฉีโม่ต่างเงียบงัน “…”

ไม่ได้ พวกเขาเป็นมิได้!

อำมาตย์ฝ่ายราชเลขาธิการย้ำเตือน “แต่ทั้งสองพระองค์หาได้เคยทรงราชกิจมาก่อนนะพ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียน “เช่นนั้นก็จงหัดซะ”

“ฝ่าบาท พระวรกายของท่านคือสิ่งสำคัญที่สุด มีดดาบในสมรภูมิไม่มีตา ซ้ำยังยืนยันมิได้ว่านี่เป็นกลอุบายของซยงหนูหรือไม่ ท่านเสด็จไปมิได้พ่ะย่ะค่ะ”

หนานกงสือเยวียนตวัดสายตาเย็นยะเยือก

“เราแก่มากนักหรือ”

ขุนนางใต้บัลลังก์พากันโบกมือ “หามิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง ไฉนเลยจะแก่ชรา”

หนานกงสือเยวียนตอบอืมไปหนึ่งเสียง ก่อนจะถามเสียงเนิบนาบ “เช่นนั้น ยังมีปัญหาอีกหรือไม่”

ฝูงชน “…”

ฝ่าบาท ท่านจะเอาแต่ใจเช่นนี้ไม่ได้!

ขณะที่ขุนนางทั้งหลายเค้นสมองหาหนทาง หนานกงฉีซิวพลันกล่าวขึ้น

“เสด็จพ่อ น้องหญิงของเรายังเล็ก ซ้ำยังติดท่านแจ นางเพิ่งกลับมา หากท่านอยู่ห่างจากนาง แล้วนางจะทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”

เหล่าขุนนาง “…”

องค์ชายใหญ่ เวลาอย่างนี้ท่านตรัสถึงองค์หญิงเล็กเพื่ออันใด มีประโยชน์ที่ไหน…

จากนั้น พวกเขาต้องค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า ราชันผู้หมายมั่นอยากออกไปรบราให้ได้กลับ…เงียบลง!

ไม่…ไม่ใช่กระมัง

หนานกงสือเยวียนทอดพระเนตรมองพระโอรสทั้งสอง “พวกเจ้าดูแลนางได้”

หนานกงฉีโม่ “ไม่ได้เห็นท่าน นางอาจร้องไห้”

หนานกงสือเยวียนขมวดคิ้ว เรื่องนี้เป็นปัญหาจริง ๆ หากเป็นไปได้ เขาอยากพาเสี่ยวเป่าเสด็จประพาสด้วยกัน

ทว่านี่มิใช่การเที่ยวเล่น หากแต่เป็นการออกรบ เขาไม่ยอมให้เสี่ยวเป่าตกอยู่ในอันตรายเด็ดขาด

ใบหน้าแก่ชราของเหล่าขุนนางกระตุกขึ้นลง พับผ่าสิ พวกเขาเกลี้ยกล่อมกันจนน้ำลายเหือดแห้ง ราชาผู้นี้ยังโต้กลับได้ทุกข้อ ยามเอ่ยถึงองค์หญิงเล็ก ท่านกลับเงียบไป ซ้ำยังมีท่าทีสับสนเช่นนี้ ท่านหมายความว่าอย่างไร!

หนานกงสือเยวียนอ้าปากหมายจะเอื้อนเอ่ยบางอย่าง ทว่าตอนนั้นเอง เจ้าก้อนแป้งขยี้ตา วิ่งออกมาจากตำหนักบรรทมด้วยเท้าเปล่า เบะปากด้วยความน้อยใจ

นางสะลึมสะลือ ไม่ทันเห็นผู้อื่นในที่นี้ เพียงแต่มุ่งตรงไปหาหนานกงสือเยวียน อีกทั้งกระตุกอาภรณ์ท่านพ่อ ปีนป่ายขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว

ระหว่างนั้นเพราะยังตื่นไม่เต็มตา มือเล็ก ๆ นั่นจึงยังอ่อนอยู่ จับคว้าสิ่งอื่นได้ไม่มั่นคงจนเกือบหล่นกระแทกพื้น ดีที่หนานกงสือเยวียนคว้าตัวนางไว้ทัน

“ท่านพ่อ นอนกันเถิด”

เสี่ยวเป่าเอ่ยเสียงนุ่ม ขดตัวในท่าสบาย ทั้งยังดุนศีรษะกับอ้อมอกของเขา มือเล็กทั้งสองข้างนั้นจับอาภรณ์ของเขาแน่นไม่ยอมปล่อย

ก้อนนุ่มนิ่มก้อนหนึ่งนอนกลิ้งบนเตียงจนหล่นลงไปใต้เตียง แล้วถึงพบว่าท่านพ่อมิได้อยู่ข้างกาย จึงได้วิ่งตามหามาถึงที่นี่ตามสัญชาตญาณ ด้วยยังเมาค้างอยู่นิดหน่อย กอปรกับสะลึมสะลือ จึงไม่ทันรู้ตัวว่าที่นี่มีผู้อื่นอยู่มากมาย

ทันใดนั้น…ทั้งท้องพระโรงเงียบสงัด บรรดาขุนนางเบิกตากว้างเสียจนราวกับลมหายใจต่อไป ลูกตาของพวกเขาจะหลุดออกมา