บทที่ 51 เรื่องเสด็จนำทัพด้วยตนเองนั้น…ช่างเถิด
บทที่ 51 เรื่องเสด็จนำทัพด้วยตนเองนั้น…ช่างเถิด
มือของหนานกงฉีซิวที่จับที่เท้าแขนบนเก้าอี้เข็นของตนกระตุก สีหน้าเรียบนิ่งพลันผงะในตอนนั้นเอง
พัดของหนานกงฉีโม่ก็เกือบร่วงลงพื้น มองเสด็จพ่อผู้เคลื่อนไหวตอบโต้คล่องแคล่วแล้วสูดปากเบา ๆ
หนานกงสือเยวียนก้มมองเจ้าก้อนแป้งที่เอาแต่ขดตัวอยู่ในอ้อมอกของเขา สะลึมสะลือหลับไปอีกครั้งโดยไม่รู้ตัวเลยว่าการกระทำของตนเองสร้างความตกใจให้ผู้อื่นมากเพียงใด ก่อนจะเงียบลง
“เรื่องเสด็จนำทัพด้วยตนเองนั้น…”
บรรดาขุนนางรีบเบนสายตากลับมา หัวใจลงไปอยู่ที่ตาตุ่มอีกครั้ง
“ช่างเถิด”
เหล่าขุนนาง “…”
ไม่รู้ว่าควรต้องดีใจหรือไม่ ทรราชพระองค์นี้เดาพระทัยยากจริง ๆ
ผู้ใดเล่าจะคิด ฮ่องเต้ในอดีตนั้นไม่หลงใหลในนารี ก็หมกมุ่นในการหลอมยาอายุวัฒนะ
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของพวกเขาสิดี หลงใหลในการเลี้ยงพระธิดา
นี่คืองานอดิเรกที่ไม่เอาอ่าว ไร้ระดับที่สุดในประวัติศาสตร์ที่พวกเขาทราบมา!
หนานกงสือเยวียนมิได้สนใจสายตาของเหล่าขุนนาง จดจ้องแต่กับรอยกัดบนแก้มนวลเนียนของเจ้าก้อนแป้ง
ฝีมือผู้ใดกัน?!
“เสด็จพ่อ”
หลังหนานกงฉีโม่ตั้งสติได้ เขาก็ลุกยืน “ในเมื่อเสด็จพ่อไม่ทรงยกทัพไปด้วยพระองค์เองแล้ว เช่นนั้น ให้ลูกได้ไปเถิด”
“องค์ชายรอง!”
คนกลุ่มหนึ่งร้อนใจขึ้นมาทันที แทบอยากปรี่เข้าไปอุดปากเขาไว้
“มิได้เด็ดขาดฝ่าบาท องค์ชายรองไร้ประสบการณ์ออกรบ ผลีผลามเสด็จไปเช่นนี้อันตรายเกินไปพ่ะย่ะค่ะ ท่านมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชาย จะเอาตัวพระองค์ไปเสี่ยงได้อย่างไร!”
“ใช่แล้ว องค์ชายรอง ท่านยังเยาว์วัยนัก มีดดาบในสนามรบไม่มีตา อย่าทรงเสี่ยงเลยพ่ะย่ะค่ะ…”
ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวาย หนานกงสือเยวียนปรายตามองโอรสคนรองของตน
ใบหน้าของเขาไม่เหลือเค้าแย้มยิ้มอย่างปกติ มิใช่การล้อเล่น
“เสด็จพ่อ ท่านเสด็จไปยังเมืองหน้าด่านเพื่อเคี่ยวกรำตนเองตั้งแต่พระชนมายุได้สิบสามชันษา บัดนี้ลูกอายุสิบแปดแล้ว อยากออกไปเห็นโลกภายนอกบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงสือเยวียนเงียบไป ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เราอนุญาต”
“ฝ่าบาท…”
หนานกงสือเยวียนกลับโบกมือราวกับไม่ได้ยิน “หมดเรื่องแล้วก็กลับไปเสีย”
การว่าราชการครั้งนี้จบลงท่ามกลางสีหน้าอัดอั้นตันใจของเหล่าขุนนาง
หลังออกจากตำหนักฉินเจิ้ง เหล่าขุนนางยังคงหว่านล้อมหนานกงฉีโม่ด้วยความขุ่นเคืองหวังให้เขาพิจารณาตนใหม่
“องค์ชายรอง พระองค์ผลีผลามเช่นนี้ได้อย่างไร สมรภูมิหาใช่สถานที่อยู่สุขสบายไม่”
หนานกงฉีโม่มองเขาด้วยใบหน้ากึ่งยิ้ม “เป็นอะไรไป หรือใต้เท้าทุกท่านอยากให้เสด็จพ่อถอนรับสั่ง ข้าผู้นี้มิกล้าไปกราบทูล หากใต้เท้าทุกท่านคิดว่าไหว โปรดลองดูเถิด”
ลองดูเท่ากับลองตายสิไม่ว่า!
ท่านกล่าวขึ้นเองมิใช่หรือ มาตอนนี้แล้วมัวเสแสร้งอะไรอยู่!
พวกเขาเดือดดาลจนสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
หนานกงฉีโม่สงบสีหน้า ยามไร้ผู้คน เขาถึงกลับไปเป็นตัวเองที่แท้จริง
ท่าทางเกียจคร้านไม่ใส่ใจสิ่งใด นัยน์ตาเฉยชาห่างเหิน ใบหน้าปราศจากรอยยิ้มแม้แต่น้อย
“เสด็จพี่ใหญ่ ดูละครสนุกหรือไม่”
หนานกงฉีโม่พิงกายกับต้นไม้ต้นหนึ่ง เอ่ยเสียงเอื่อยเฉื่อย
องครักษ์ประจำกายเข็นหนานกงฉีซิวออกมาจากทางด้านหลังภูเขาจำลอง
“เพราะเหตุใด”
ใบหน้าสะอาดสะอ้านไร้มลทินของหนานกงฉีซิวเผยแววเคร่งเครียด
หนานกงฉีโม่หัวเราะพรืด “เสด็จพี่ใหญ่คงไม่คิดว่าข้าทำเช่นนี้เพราะท่านกระมัง”
น้ำเสียงของเขาเจือแววเย้ยหยัน “ท่านอยู่ในสภาพนี้แล้ว ข้ามีสิ่งใดต้องกลัวอีก ท่านเดินไม่ได้ ข้าเดินได้ ข้ายังเยาว์นัก ไม่คิดเป็นเพียงกบก้นบ่อในเมืองหลวงนี้ไปตลอด ไม่ถือโอกาสนี้ออกไปท่องเที่ยวเสียบ้าง วันหน้าคงหมดโอกาสแล้ว”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงปัญหาสุขภาพขาขององค์ชายใหญ่อย่างเป็นนัย องครักษ์ประจำกายของหนานกงฉีซิวจึงอดโมโหขึ้นมาไม่ได้
“ในเมื่อเสด็จพี่ใหญ่ไม่มีธุระอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
พูดจบ เขาก็หมุนกายจากไป อาภรณ์สีแดงฉานพลิ้วสะบัด แฝงไว้ด้วยความจองหองระคนเจิดจ้า แต่กลับเจิดจ้าเสียจนคล้ายว่าไม่อาจกลมกลืนไปกับโลกนี้
หนานกงฉีซิวจ้องมองแผ่นหลังของเขาอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน
“องค์ชายรองทรงทำเช่นนี้ได้อย่างไร!”
องครักษ์ประจำกายผู้นั้นโอดครวญอย่างอดมิได้ “พระองค์เป็นถึงพระเชษฐาของเขา”
หนานกงฉีซิวเม้มปาก นิ้วเรียวยาวที่พาดอยู่บนเข่าค่อย ๆ กำเป็นหมัด
“เขามิใช่คนเช่นนี้”
“องค์ชาย ถึงขั้นนี้แล้วยังตรัสเข้าข้างเขาอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีซิวส่ายหน้า ถอนหายใจราวกับเหนื่อยอ่อนนักหนา “กลับกันเถิด”
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มเปลี่ยนไป
ในฐานะองค์ชายสองพระองค์ที่มีอายุไล่เลี่ย ฉีโม่คือสหายเพียงคนเดียวของเขาในวังก่อนองค์ชายพระองค์อื่นจะประสูติ
เมื่อครั้งเป็นเด็ก จิตใจใสซื่อบริสุทธิ์เป็นที่สุด และมีความรู้สึกซื่อตรงที่สุด
ฉีโม่เริ่มเข้าเรียนที่ห้องหนังสือหลวงตั้งแต่สองขวบ ตั้งแต่วิธีจับพู่กัน จนถึงการอ่านหนังสือ ล้วนเรียนรู้จากเขาผู้เป็นพี่ชายทั้งสิ้น กระทั่งยามอีกฝ่ายคิดถึงเสด็จแม่ในยามราตรี ก็เป็นเขาที่กอดน้องกล่อมนอน
คราวนั้น ฉีโม่ติดตัวเองเป็นที่สุด
เรียกได้ว่า เขาเป็นผู้เลี้ยงน้องรองจนเติบใหญ่ ความผูกพันธ์ที่มีย่อมไม่ธรรมดา
ทว่า…มันเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกัน
บางทีอาจเป็นเมื่อครั้งเขาเสียขาไปสองข้าง เพื่อแก้แค้นให้เขา หลังน้องรองสืบทราบว่าเป็นอุบายของผู้ใด ก็คว้าแส้พุ่งเข้าไปในตำหนักฉู่ซิ่ว โบยพระสนมนางนั้นแทบตาย
รอจนเขาตื่นมาได้ยินเรื่องนี้ อยากไปพบหนานกงฉีโม่ กลับได้รับข่าวว่าเขาถูกพระสนมซีเฟยลงโทษ กักบริเวณสำนึกผิด ห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเยี่ยม
ต่อมา หลังพบกันอีกครั้ง ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาจะจืดจางลงไป จนกระทั่งเริ่มหันเขี้ยวคมใส่กัน
บางอย่าง…ไม่อาจย้อนคืนกลับไปเป็นดังเดิมได้อีก
…
“องค์ชาย พระสนมเรียกท่านเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ”
หนานกงฉีโม่ไม่ทันได้ก้าวเข้าไปในตำหนักของตน ก็ถูกหมัวมัวท่านหนึ่งเรียกไว้
ราวกับเขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว มิได้แปลกใจกับผู้มาเยือนสักนิด เพียงแต่ตอบด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ข้ารู้แล้ว”
ก่อนจะหมุนตัวเดินไปหาเสด็จแม่
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในตำหนัก สตรีผู้เลอโฉมบนที่นั่งประมุขก็เอ่ยเสียงเย็น
“คุกเข่า”
หนานกงฉีโม่มิได้ขัดขืน เพียงเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย
“หนานจูเล่าว่า เจ้าตบนางเพื่อนางชั้นต่ำในวังผู้นั้น”
มือสองข้างซึ่งทิ้งตัวขนาบข้างกายของหนานกงฉีโม่กำเป็นหมัดทันที เขาตอบเสียงขรึม
“นางเป็นองค์หญิง เป็นน้องสาวของข้า”
กึก!
ทันทีที่เขาตอบออกไป ถ้วยชาซึ่งมีน้ำชาร้อนกรุ่นอยู่ภายในก็กระเด็นมาตกอยู่ข้างกายเขา เศษกระเบื้องถ้วยแตกกระจาย หนึ่งในนั้นกระเด็นบาดหน้าเขาจนเป็นแผล
น้ำชาร้อนเปรอะอาภรณ์ของเขาจนเปียกชุ่มในเสี้ยวพริบตา
หนานกงฉีโม่กลับไม่แม้แต่จะหลบ เพียงแต่หลุบสายตา ไม่ยอมมองผู้ที่นั่งอยู่เหนือหัว
“เจ้าเก่งกล้าสามารถยิ่ง”
หลี่เซียงอี๋ก้าวเข้ามาช้า ๆ โดยมีนางกำนัลและหมัวมัวประคอง อาภรณ์เครื่องประดับหรูหราอันหนักอึ้งไม่ได้ดูจืดชืดนักเมื่ออยู่บนตัวนาง กลับยิ่งขับให้เห็นถึงความเย้ายวนสง่างาม
นางโปรดปรานสีแดง และต้องเป็นสีแดงชาดด้วย
เพราะนั่นคือสีที่มีเพียงสตรีผู้สูงศักดิ์ที่สุดในพระราชวังแห่งนี้เท่านั้นที่สวมใส่ได้ แต่นางสวมใส่มิได้
เพราะอย่างนั้น อาภรณ์ส่วนใหญ่ของนางจึงเลือกใช้สีแดงอมชมพูซึ่งใกล้เคียงสีแดงชาดที่สุด หรูหราประเจิดประเจ้อ ทั้งยังเจิดจรัสแยงตา ไม่เคยปกปิดความทะเยอทะยานของตนเฉกเช่นสตรีนางอื่นในวังหลัง
ในเมื่อตำแหน่งนั้นยังไม่เป็นของผู้ใด แล้วไยจึงเป็นนางมิได้ ซ้ำนางยังมีข้อได้เปรียบอย่างยิ่งยวด โอรสของนางมิได้ด้อยไปกว่าองค์ชายใหญ่
หลี่เซียงอี๋ก้าวไปอยู่ข้างกายโอรสของตน เล็บสีแดงบีบคางเขา ดวงตาคู่งามทอประกายดุดัน
“อะไรกัน เจ้าเห็นยายหนูนั่นเป็นน้องสาวของตัวเองจริง ๆ หรือไร”
หนานกงฉีโม่เงียบไม่ตอบ เหมือนเป็นการยอมรับกลาย ๆ
อี๋กุ้ยเฟยเอ่ยเสียงเข้ม “ไร้เดียงสา โง่เขลานัก!”