ตอนที่ 65 ควบคุมการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่

เพราะเป็นเทพมังกรเลยไม่มีระบบพิเศษเหมือนเขาอ่ะ!

บทที่ 65 – ควบคุมการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่

 

เอวานที่กำลังสับสนก็มองกลับมายังร่างของสาวน้อยแปลกหน้าที่ปกป้องเธอไว้ เอวานไม่ได้โง่พอที่จะไม่รู้ ถึงจะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

แต่เธอพอจะเดาได้ว่า อีกฝ่ายน่าจะเป็นเด็กที่อยู่ในกล่องนั่น เพราะรถความเร็วห้าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงนี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกระโดดขึ้นมาระหว่างทางได้

อีกฝ่ายบนรถนอกจากเธอแล้ว สิ่งที่พอจะเดาออกก็มีแค่คนที่อยู่ในกระเป๋า แต่เธอไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้เป็นใคร

แล้วก็…

“….”

เอวานมองกลุ่มคนที่สวมชุดแปลกตาบนท้องฟ้ากับปีศาจแดงที่นั่งมองเธออยู่ เธอค่อนข้างมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนขององค์กรบอร์เดอร์ไลน์

เพราะคนขององค์กรบอร์เดอร์ไลน์ก็ไม่น่าจะมากันเป็นกลุ่มแบบนี้.. เพราะคนที่กำจัดอาโก้ เธอเดาว่าอาจจะเป็นคนพวกนั้นก็ได้

ซึ่งถ้าเป็นองค์กรบอร์เดอร์ไลน์ก็คงไม่ทำพวกเดียวกันเอง.. ในกรณีที่ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนน่ะนะ

แต่อีกฝ่ายดูไม่ได้มีเรื่องบาดหมาง.. กลับกันดูเหมือนจะมีเรื่องกับเธอมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะพวกนั้นจ้องเขม็งมาที่เธอตาไม่กะพริบเลย

หากคนพวกนี้คือคนที่กำจัดอาโก้จริง.. นั่นคงหมายความว่าพลังของอีกฝ่ายเหนือกว่าอาโก้ ต่อให้ไม่เหนือกว่าก็มีตั้งสิบกว่าคน

แถมยังมีตัวอะไรไม่รู้จ้องมองมาที่เธอด้วย.. ถ้าจะหาคำมาอธิบายเจ้าสัตว์ประหลาดตัวใหญ่นี่ก็คงมีแค่คำว่าปีศาจเท่านั้น

มันมองมาที่เอวานด้วยรอยยิ้ม เธอสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามันยิ้มให้กับเธอ ซึ่งทำให้เธออดที่จะขนลุกไม่ได้

เอวานสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปหาคนเหล่านั้นด้วยท่าทางพร้อมเจรจา เพราะถึงเป้าหมายจะเป็นเธอพวกนั้นอาจจะไม่ใช่ศัตรูก้ได้ เพราะกำจัดเจ้าอาโก้ให้.. แถมต่อให้หนีจากคนพวกนี้ไปได้

ด้านล่างก็มีแต่สัตว์ประหลาดเต็มไปหมด เธอไม่ได้มีความสามารถที่จะจัดการกับสัตว์ประหลาดที่อยู่ในชั้นสามแต่อย่างใด

ซึ่งอย่างหนึ่งที่เอวานไม่รู้คือ เธอกลายเป็นแวมพีร์ไปแล้ว.. เธอแข็งแกร่งกว่าตอนเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่หลายเท่า

แต่ก็นะ.. ถ้าหากเป็นสัตว์ประหลาดในชั้นสามสักสิบตัวเธอก็ไม่รอดอยู่ดีนั่นแหละ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงซากปรักหักพังที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดนับล้านนี่

การที่จะออกจากหอคอยนั้นมีด้วยกันหลายวิธีก็จริง.. หนึ่งในวิธีออกจากหอคอยที่โคตรจะง่ายก็คือการกระโดดออกจากชั้นไหนก็ได้ตามใจตัวเอง

แต่นั่นมันในกรณีของผู้ที่ผ่านชั้นนั้นๆ และชั้นที่ต่ำกว่าจนหมดแล้ว.. แบบอาโก้น่ะนะ ซึ่งเธอไม่ได้ผ่านชั้นที่สามหรือชั้นสอง ชั้นหนึ่งมาก่อน

เพราะวิธีที่เธอเข้ามาก็คือการเข้ามาพร้อมกับนันโจผ่านวิธีการพิเศษบางอย่าง ดังนั้นการที่เธอจะออกจากหอคอย

เธอจึงเลือกที่จะใช้วิธีเดียวกับการขนส่งข้ามมิติ ซึ่งใช้ผ่านรถที่พังไปนั่นเอง แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ไปแล้วเพราะรถมันพังไปแล้วนี่น่า ทว่าก่อนที่เอวานจะทันได้เอ่ยปากขึ้น..

“คึคึคึคึ เอลิซาเบธ เธอไม่ต้องเจรจากับเจ้าพวกนี้หรอก เป้าหมายของพวกมันก็คือพวกเธอนั่นแหละ จะพูดให้ถูกก็คือเด็กคนที่อยู่ข้างหลังเธอ”

“เธอไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยโดยตรงซะหรอก”

ปีศาจสีแดงด้านหลังมองไปที่เอวานพร้อมกับพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าชื่อที่ปีศาจนั้นเรียกเอวานไม่ใช่เอวาน แต่เป็น ‘เอลิซาเบธ’

แน่นอนว่าเอวานนั้นแม้จะไม่รู้จักชื่อดังกล่าว แต่ทว่าทั้งสายตาหรือเสียงมันเจาะจงมาที่เอวาน

แถมยังพูดเหมือนอ่านความคิดของเอวานได้อีกต่างหาก คนที่น่าจะเป็นหัวหน้าหรือก็คือแอเรียนนั่นแหละ

เขาเห็นเจ้าอิออนนี่จู่ๆ ก็พูดเรื่องอะไรไม่รู้ขึ้นมาเขาจึงหันหน้าไปพูดกับอิออน

“นี่แกคิดจะทำบ้าอะไร อิออน”

“เฮ้ๆ ฉันช่วยพวกแกอยู่นะ คนที่ชื่อเอลิซาเบธน่ะไม่ได้เกี่ยวของกับยัยหนูตัวเล็กนั่น.. พวกแกก็แค่ตกลงกับเธอและให้เธอมอบเด็กคนนั้นให้ก็จบแล้ว”

“……”

“หรือถ้าพวกแกอยากสู้ฉันก็ไม่ว่านะ เอาเข้าจริงฉันอยากให้ทำแบบนั้นเหมือนกันเพราะฉันอยากเห็นอะไรสนุกๆ เหมือนกันนะ คึคึคึคึ”

มันหัวเราะพร้อมกับจ้องมองไปที่เอวานด้วยสายตาลึกลับ.. เมื่อแอเรียนฟังคำพูดของอิออนแล้วดูมีเหตุผลจึงไม่ได้โต้เถียงอะไรกับมันอีก

“ก็อย่างที่ว่านั่นแหละ คุณผู้หญิง.. โปรดมอบเด็กคนนั้นมาให้เรา แล้วเราจะไม่ยุ่งกับเธออีก”

แต่ก่อนที่เอวานจะทันได้ตอบอะไร อิออนก็พูดต่ออีกว่า

“อ้อ เอลิซาเบธ.. ที่เจ้าพวกนี้จะทำก็คือการจับสาวน้อยคนนั้นไปเป็นตัวประกันเพื่อต่อสู้กับคนคนหนึ่งอะนะ ฉันการันตีให้เลยว่าพวกมันกำลังทำชั่วอยู่”

อิออนพูดอธิบายให้กับเอวานฟัง แอเรียนที่ยืนฟังอยู่แบบนั้นถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับตะคอกใส่อิออน

“อิออน แก!!!”

“เห็นมะ พอฉันแฉพวกมันก็เริ่มหัวร้อนกันขึ้นมาแล้วอะนะ พวกนี้มันชั่วโฉดสุดๆ เธอจะทำไง?”

แน่นอนไอ้สถานการณ์พวกพ้องแตกคอกันเองตรงหน้า เอวานเดิมทีไม่ใช่คนโง่ เธอเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็วแทบจะทันที

เห็นชัดว่าเจ้าปีศาจแดงนี่เป็นภาพฉายโฮโลแกรมเหมือนกับกระดานหน้าหอคอย ผสมกับท่าทางของคนทั้งสิบที่ดูระแวงเจ้าปีศาจนี่เหมือนกัน

และจากท่าทางของมัน.. ดูท่าเจ้าปีศาจนี่คงไม่ใช่มิตรร้อยเปอร์เซ็นต์กับเจ้าคนตรงหน้า นั่นหมายความว่าเรื่องที่มันพูดมาอาจจะเป็นเรื่องจริงอยู่

แต่เธอก็ไม่ได้คิดจะเชื่อทั้งหมด.. เพราะมันอาจจะเป็นการเล่นละครก็ได้ แต่ทว่าอารมณ์โกรธที่ผู้ชายซึ่งเป็นหัวหน้าแสดงออกมานั้นก็สมจริงเกินกว่าจะเป็นการแสดง

แต่ต่อให้เธอรู้ความจริงแล้วเธอจะทำอะไรได้.. คนพวกนี้คือคนที่ฆ่าอาโก้ได้ เธอก็ทำอะไรไม่ได้ ต่อต้านอะไรไม่ได้อยู่ดี

“แต่ถึงฉันจะทำอะไรไม่ได้….”

เธอมองไปที่สาวน้อยที่นอนไม่ได้สติตรงหน้า คนที่พาเธอออกมาจากรถคงจะเป็นเด็กคนนี้ ถึงจะไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน

แต่เธอก็รอดมาได้เพราะเด็กคนนี้.. แถมเด็กคนนี้ถ้าเป็นเด็กในกล่องนั่นจริงนั่นหมายความว่าเธอเลือกที่จะทำลายชีวิตในวันธรรมดาของตัวเองเพื่อช่วยคนแปลกหน้าคนนี้จนมาถึงตอนนี้

เธอคือผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลง.. ไม่สิ การคืนชีพของเอวานที่เป็นเอวานจริงๆ.. เธอเดินก้าวขามาอยู่ตรงหน้า

“ถ้าหากพวกแกคิดจะทำชั่วกับเด็กตัวเล็กๆ แบบนี้จริงๆ ฉันก็ต้องขอยืนยันว่าฉันจะไม่ให้พวกแกได้แตะต้องเธอ ต่อให้ฉันต้องตายก็ตาม”

อาจจะถูกด่าว่าโง่.. อาจจะถูกล้อเลียนว่าน่าตลก.. ทั้งที่ไม่มีพลังกลับยืนขวางทางต่อหน้าคนที่มีพลังมากกว่าสิบคน

แถมยังสามารถฆ่าหัวหน้าหน่วยอย่างอาโก้ได้โดยไม่เหลือซาก แต่เธอก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว.. เธอไม่สามารถหันหลังให้กับปณิธานของตัวเอง

ไม่สามารถหันหลังให้กับความเชื่อที่ครอบครัวของเธอมีต่อเธอ

เธอฝืนยิ้มให้กับคนแปลกหน้านับสิบตรงหน้า แม้รู้ดีว่าตัวเองคงจะตายภายในพริบตาเมื่ออีกฝ่ายลงมือ

แม้หัวใจในหน้าอกจะเต้นระรัวด้วยความหวาดกลัวต่อความตาย แม้ขาสองข้างจะสั่นจนแทบยืนไม่อยู่

เธอกลัวตาย.. เธอไม่ได้ไม่กลัวตาย แม้จะเปลี่ยนแปลงตัวเองจากเดิมแต่ความกลัวที่มีต่อความตายมันไม่หายไปไหน

เธอกลัว..

“แต่ฉันกลัว…ที่จะเป็นคนน่าสมเพชเหมือนเดิมมากกว่า”

เธอก้าวเท้าออกมาในวินาทีเดียวกัน.. ที่เหยียบเข้ากับแอ่งเลือดตรงหน้านั้นเอง หัวใจเธอพลันเต้นระรัวขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

คลื่นพลังบางอย่างพลุ่งพล่านผ่านการเชื่อมโยงที่มองไม่เห็น.. มันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่หยาดโลหิตของรินนะหยดลงใส่ไหล่ของนันโจ

มันอยู่ห่างออกไปจากตรงนี้หลายกิโลเมตร.. แต่เอวานสัมผัสถึงเหตุการณ์นั้นได้ เหตุการณ์ที่หยดเลือดนั้นพองตัวขึ้นค่อยๆ ก่อร่างเป็นหัวใจ..

แต่หัวใจนั้นสร้างขึ้นมาจากเนื้อหนัง.. เนื้อหนังของนันโจ สร้างมาจากไหล่ของมันและค่อยๆ กัดกินเลือดเนื้อของนันโจ

เปลี่ยนผิวหนัง.. เปลี่ยนโครงกระดูกของมันดูดเข้ามายังไหล่..ก่อนจะสร้างกายหยาบเป็นร่างของรินนะ.. โดยใช้ร่างกายของนันโจ

ขุมพลังชีวิตมหาศาลที่ไร้แก่นสารของนันโจซึ่งเกิดจากการสั่งสมผ่านการย้ายร่างมานับไม่ถ้วนมันพุ่งผ่านตรงมายังร่างของเอวานด้วย

พลังชีวิตของแวมไพร์..จะถูกแบ่งมาให้บริวารแวมพีร์อันน้อยนิด

แต่สิ่งนั้นกลับปลุกสัญชาตญาณแวมพีร์ของเธอ เข้าใจถึงการดำรงอยู่ของแวมไพร์ว่าเป็นมาอย่างไร…

เลือด…ความสามารถในการควบคุมเลือดของเอวานนั้นต่ำต้อยจนไม่ควรค่าแก่การเรียกว่าควบคุม เธอไม่สามารถควบคุมเลือดของตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงสถานะของเลือดได้เหมือนกับรินนะ

แต่เธอทำได้เพียงควบคุมเลือด.. ไม่สิพลังชีวิต

แวมไพร์ไม่ได้ควบคุมเลือด

แต่ควบคุมพลังชีวิตในเลือดที่เอาไปหล่อเลี้ยงร่างกาย

หรือจะพูดให้ชัดเจนยิ่งกว่านั้นก็คือ

แอเรียนที่เห็นการสั่นสะเทือนของบางอย่างตรงหน้า เขาหน้าเผือดสีกะทันหัน อิออนฉีกยิ้มกว้างพร้อมกับหัวเราะร่าด้วยความตื่นเต้น

“มันมาแล้ว…. มันมาแล้ว!! ฮ่าๆๆๆ”

แอเรียนที่สัมผัสถึงการแปรเปลี่ยนของพลังงานบางอย่างตรงหน้า ราวกับทุกอย่างที่มั่นคงกำลังถูกทำให้ไม่มั่นคง.. เขาตะโกนออกมาพร้อมกันด้วยความรู้สึกร้อนรนเช่นกันว่า

“ตายซะ”

ลำแสงพลังงานถูกปล่อยพุ่งตรงไปยังเอวานอย่างรวดเร็ว แต่ทว่าตาสีแดงของเธอจ้องมองไปยังลำแสงของแอเรียนที่พุ่งมา

ฝ่ามือของเธอยกขึ้นราวกับจะรับเอาพลังงานที่มีความร้อนสูงซึ่งแน่นอนว่ามันเป็นอันตรายต่อแวมไพร์.. ทว่า..แวมพีร์ไม่ใช่แวมไพร์แท้

แม้จะมีส่วนที่เป็นแวมไพร์ แต่อีกครึ่งหนึ่งยังเป็นมนุษย์..และในวินาทีที่แสงนั้นถูกฝ่ามือของเอวานเธอก็ขยับมือสะบัดออกด้านข้าง

เลือดที่อยู่ใต้เท้าของเธอดูดซึมเข้ามาในร่างเพื่อเป็นพลังงานภายนอก.. ช่วยให้สิ่งนั้นเป็นจริง…

พลังงานทั้งหมดสลายหายไปราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อน

“ควบคุมการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ของทุกสิ่งอย่าง”

ในตอนนี้.. เอวานเธอเข้าใจความเป็นมาที่ว่า ทำไมแวมไพร์ถึงไม่มีภูมิต้านทานการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่ ทั้งที่วิวัฒนาการมาควรจะวิวัฒนาการมาเพื่อการดำรงอยู่ให้นานขึ้นตามกฎของเกณฑ์ที่สิ่งมีชีวิตทุกอย่างทำ

แวมไพร์กลับเลือกจะกินจากคนอื่น…

คำตอบนั้นง่ายแสนง่ายมันซ่อนอยู่ในพลังการฟื้นฟูอันผิดมนุษย์ของแวมไพร์ ทั้งที่โอกาสตายตามธรรมชาติสูงกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น

แต่ความตายที่ได้จากการบาดเจ็บ..

กลับ..ไม่มีทางฆ่าพวกมันได้

เพราะ… พวกมันคือตัวตนที่คลุกคลีอยู่กับการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่

พลังพวกมันคือการควบคุมเอนโทรปี่ หากวิวัฒนาการมาเพื่อต้านทานการเพิ่มขึ้นของเอนโทรปี่.. พลังพวกมันก็จะหายไปน่ะสิ!!!

 

…………

[สรุปข้อมูล] (บทช่วยให้เข้าใจ เป็นสรุปข้อมูลที่เคยกล่าวถึงในเรื่องสำหรับคนที่ตามเรื่องไม่ทันนะครับ เพราะในเรื่องที่เวลาอธิบาย เรื่องจะไม่อธิบายจบรวบเดียวหมด ผมทยอยอธิบายไปในตอนแต่ละตอนเอา ซึ่งอาจจะทำให้บางคนตามเรื่องไม่ทัน เลยเพิ่มเป็นหัวข้อสรุปข้อมูลให้อ่านกันด้วยนอกจาก [ข้อมูลเพิ่มเติม] ที่อธิบายนอกรอบนะครับ)

 

ไอออน หรือ Deus Ex-Machina (เทวะจักรกล, พระเจ้าจากจักรกล, เทพจากเครื่องจักร ฯลฯ)

สุดยอดปัญญาประดิษฐ์จากดาว Moon 2T EdgeLands ซึ่งนับว่าเป็นสุดยอดเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดที่พวกเขาสามารถสร้างได้ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับ 4-Dimension Printer หรืออาจจะมากกว่า

ไอออนถูกคนภายในนับถือเป็นเหมือนเทพที่เคารพบูชา หากบนดาว Moon 2T EdgeLands มีสิ่งที่เรียกว่าศาสนา ไอออน ก็คงเป็นศาสดาของศาสนาที่พวกเขานับถือ ตัวตนที่มอบทุกอย่างให้กับสิ่งมีชีวิตทั้งมวล

ไม่ว่าจะเป็นปัญญาหรือเส้นทางในอนาคต หรือสิ่งที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมต่อพวกเขา ไอออนสามารถรับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับทุกสรรพสิ่ง เป็นจักรกลที่ก้าวเข้าสู่เขตแดนระดับพระเจ้าอย่างแท้จริง

ไอออนถือเป็นมันสมองของดวงดาวที่ทำหน้าแทบทุกอย่าง นอกจากนี้ยังมีโมดูลแยกย่อยที่สามารถดำเนินการเชื่อมต่อเพื่อช่วยเหลือในการปฏิบัติการและแชร์ความรู้ของไอออนไปยังโมดูลคำสั่งของปัญญาประดิษฐ์อีกตัวได้

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือไอออนยังเปรียบเสมือนเครือข่ายขนาดใหญ่ที่มีระบบทำงานอัตโนมัติ ช่วยในด้านของยุทธวิธีและการเตรียมรับมือกับทุกสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม

แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตที่นับถือไอออนล้วนมองว่า ไอออนเปรียบดั่งพระเจ้าที่ไม่ควรต้องถึง การเชื่อมต่อหรือดำเนินการเพื่อเข้าใกล้ไอออนโดยพลการ ถือเป็นการผิดกฎหมายขั้นรุนแรง

 ………

(ในกรณีที่ปิดการทำงานของไอออนในเรื่องคือการตัดการเชื่อมต่อของไอออนจากทุกอย่าง ซึ่งเพื่อความปลอดภัยขอวพระเจ้าพวกเขา จึงไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ สำหรับการปิดทำงาน.. แต่เทรต้านั้นไม่พอใจกับการกนะทำนี้มากๆ ทั้งเธอยังเรียกไอออนว่าคุณยาย)

 ……….

ความสามารถของไอออนนั้นมีอยู่มากมาย ไอออนสามารถรับรู้ถึงอดีต ปัจจุบัน อนาคตของทุกสิ่งทุกอย่างได้ ต่อให้เป็นโลกคู่ขนานต่างความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดก็ยังอยู่ภายใต้การคำนวณของไอออน

แทนที่จะบอกว่าเป็นการคำนวณ ควรบอกว่าไอออนได้รู้ทุกอย่างอย่างสมบูรณ์เสียมากกว่า แต่ถึงแบบนั้นไอออนก็ไม่เคยปริปากถึงอนาคตต่างความเป็นไปได้หรืออนาคตที่ห่างไกลออกไป

อย่างอื่นรออธิบายเพิ่มในเรื่องในบทถัดๆ ไป

(บทของ Moon 2T EdgeLands น่ะแหละ)