ตอนที่ 41 สาวดอกไม้ปลอม
วันที่ดวงตะวันสาดแสงจ้า
ฉินปู้เข่อใช้เวลาเลือกเสื้อผ้าในตู้อยู่นาน นางก็เลือกกระโปรงสีแดงตัวใหญ่ เสื้อแขนยาวสีเขียวตัวหลวมโคร่งและผ้าคาดเอวสีเหลืองหม่น
หลังจากสวมเสื้อผ้าแล้วนางก็มานั่งอยู่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วชี้ไปที่ปิ่นปักผมในกล่องเครื่องประดับ “ซวงหวน วันนี้นำปิ่นปักผมทั้งหมดมาปักให้ข้า”
“ทั้งหมดเลยหรือเพคะ?!” ซวงหวนมองนางด้วยความรู้สึกที่สับสน มีทั้งความสุขผสมผสานกับความทุกข์
ความสุขก็คือในที่สุดพระชายาก็เต็มใจหันมาสนใจเรื่องความสวยความงามของตน ด้วยการตื่นมาค้นหีบผ้าและตู้เสื้อผ้าที่จัดชุดเอาไว้แล้วตั้งแต่เช้าตรู่ อีกทั้งยังเป็นผู้ออกปากขอให้นางช่วยปักปิ่นปักผมให้อีกด้วย
ความทุกข์ก็คือรสนิยมการแต่งกายของพระชายาเปลี่ยนเป็นจัดจ้าน เดิมทีเสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้าก็เข้าชุดกันตามสีแล้ว แต่นางต้องการแยกเสื้อผ้าเหล่านั้นออกจากกัน
สีแดง สีเขียว และสีเหลืองนั้นช่างฉูดฉาดบาดตาเสียจริง
บัดนี้นางต้องการปักปิ่นปักผมทั้งหมด นางไม่กลัวหนักคอแย่หรือ?!
“ใช่ ปักให้หมด!” ฉินปู้เข่อหยิบชาดสีแดงขึ้นมาทาที่โหนกแก้มของนาง จากนั้นจึงทาที่ปากเรียวงามให้กลายเป็นปากแดงขนาดใหญ่
สมบูรณ์แบบ!
ฉินปู้เข่อมองไปที่การแต่งหน้า ‘อัปลักษณ์’ ในกระจกแล้วเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ซวงหวน สิ่งที่ข้าขอให้เจ้าเตรียมจะถูกส่งไปให้ท่านอ๋องในภายหลัง” ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นแล้วเผลอโยกซ้ายโยกขวา
มีปิ่นปักผมบนศีรษะมากเกินไป หนักไปหน่อยจึงยืนได้ไม่ค่อยมั่นคงนัก
ซวงหวนมองนางอย่างไม่เชื่อสายตา “พระชายาต้องการไปพบท่านอ๋องด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้หรือเพคะ?”
“ทำไมเล่า? ข้าไม่สวยหรือ?” ฉินปู้เข่อกะพริบตาถี่ ด้วยความที่ไม่มีอายแชโดว์ นางจึงใช้วัสดุใกล้ตัวอย่างผงอัญชันมาทาลงบนเปลือกตาของนาง
ซวงหวนส่ายหน้าแล้วกลืนความจริงลงไปในท้องของตน ก่อนจะตอบด้วยสีหน้าประหม่าว่า ”งดงามนักเพคะ”
งดงามเสียจนท่านอ๋องคงไล่ตะเพิดออกมาทันทีที่เห็น…
ฉินปู้เข่อจูงมือซวงหวนเดินไปยังห้องอ่านหนังสือแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ท่านอ๋องเพคะ วันนี้อากาศแจ่มใส หม่อมฉันได้ปรุงขนมพิเศษให้แก่ท่านเพคะ”
“อืม” บุคคลตรงหน้าของนางยังคงนั่งก้มมองโต๊ะโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเลย
ถือหนังสืออยู่ได้ทั้งวันโดยไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉินปู้เข่อหยิบขนมในกล่องออกมาวางลงบนโต๊ะเพื่อเตือนให้เขาเงยหน้ามองขึ้นมาที่นาง
“น้องสาวของพี่ เจ้าทำขนมมาหรือ? ข้าชักจะหิวขึ้นมาแล้วสิ” หมี่ฉงเดินเข้ามาจากด้านนอก เมื่อเห็นภาพนี้จึงเดินตรงไปด้านข้างของฉินปู้เข่อแล้วหยิบขนมชิ้นหนึ่งใส่ปาก
“พี่ชายสาม อร่อยหรือไม่เพคะ?” ฉินปู้เข่อหันหน้ามาถาม
“พรูดดดด”
ร่างของหมี่ฉงแข็งทื่อ ต่อมาขนมในปากของเขาทั้งหมดก็ถูกพ่นออกมา
ฉินปู้เข่อหันหลังกลับแล้วพูดด้วยความรังเกียจ “พี่ชายสาม ท่านช่างน่ารังเกียจนัก ท่านพ่นน้ำลายเต็มหน้าหม่อมฉันเลยเพคะ”
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวเช่นนั้น หมี่โม่หรู่ก็เงยหน้าขึ้นจากม้วนตำรา มุมปากของเขาก็กระตุกเล็กน้อย สตรีผู้นี้เป็นคนปกติหรือไม่?
ฉินปู้เข่อรีบกะพริบตาถี่พลางขยิบตาให้หมี่โม่หรู่แล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องเพคะ~ ที่ท่านให้หม่อมฉันเป็นพระชายาของท่านต่อก็แสดงว่าท่านโปรดปรานหม่อมฉัน ดังนั้นต่อไปนี้หม่อมฉันจะมาคอยปรนนิบัติท่านทุกวันดีหรือไม่เพคะ?”
การแต่งหน้าอัน ‘งดงาม’ และการดัดเสียงเช่นนั้นทำให้หมี่โม่หรู่ขนลุกไปทั้งตัว
เขายกมือขึ้นกุมหน้าผาก “อู๋เหิน มาไล่พระชายาออกไป”
การแต่งหน้าที่อุตส่าห์บรรจงแต่งที่สุดจะใช้การได้เพียงแค่ชั่วครู่เช่นนี้ได้อย่างไร ฉินปู้เข่อเอื้อมมือไปดึงเสื้อของเขาแล้วบิดตัวก่อนจะพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “ท่านอ๋องเพคะ ให้พระชายาของท่านได้รับใช้ท่านเถิดเพคะ หม่อมฉันได้แต่เฝ้าตำหนักโดยครองเพียงตำแหน่งและไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ถือว่าท่านอ๋องเลี้ยงหม่อมฉันเสียข้าวสุกไปเปล่า ๆ นะเพคะ ท่านอ๋อง~~”
“พานางออกไป!” หมี่โม่หรู่กัดฟัน เขาเกรงว่าตนจะเผลอยืนขึ้นแล้วเตะนางออกไป
ไม่ใช่ว่าเขาตัดสินคนจากรูปลักษณ์ แต่รูปร่างหน้าตาของนางที่นางจงใจประดิษฐ์ขึ้นทำให้เขาทนไม่ได้จริง ๆ
“พระชายา ออกไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ” อู๋เหินคว้าคอเสื้อของฉินปู้เข่อแล้วโยนนางออกไป
“ท่านอ๋อง~ ท่านอ๋อง~” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นแล้วทุบประตูห้องหนังสือด้วยกำลังทั้งหมดที่มี
“เอาตัวนางออกไปนอกสวนชิงอวี้ แล้วตราบใดที่นางมาในสภาพเช่นนี้อีกก็อย่าปล่อยให้นางเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ในที่สุดด้านนอกห้องอ่านหนังสือก็เงียบลง หมี่ฉงปรบมือแล้วหัวเราะเสียงดังลั่น “น้องเจ็ด พระชายาของเจ้าช่างน่าขันเหลือเกิน”
ฉินปู้เข่อผู้ถูกขับไล่ออกจากสวนชิงอวี้ยืนอยู่ที่นั่น พลางกรีดร้องเสียงแหบแห้งสองครั้งแล้วเดินจากไปอย่างสบายใจ
“พระชายา ข้าน้อยซื้อทุกอย่างตามที่ท่านต้องการแล้วเพคะ” ซวงหวนรีบกลับมาพร้อมถุงใบใหญ่และถุงใบเล็ก
ฉินปู้เข่อเช็ดคราบมันออกจากปากของตนด้วยผ้าเช็ดหน้าผ้าไหม นางหยิบเสี่ยวหลงเปาขึ้นมากินสองคำแล้วพูดอย่างร่าเริงว่า “ไปกันเถอะ ไปดูกันว่าคนสวยกำลังทำอะไรอยู่”
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะสานสัมพันธ์กับเหล่านางสนมในตำหนักเพียงเพราะอาหารมื้อเดียว
วันนั้นเฉิงจือเซียงและฮวาจิ่นชุนบอกว่าพวกนางต้องการจะมาทักทายนาง แต่แท้ที่จริงแล้วพวกนางต้องการจะแสดงอำนาจของพวกนางต่อหน้านาง แต่นางก็แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้
พวกนางจำเป็นต้องคิดร้ายกับนางไว้ก่อน ซึ่งการใช้พวกนางอย่างเหมาะสมนั้นดีต่อสุขภาพกายและจิตใจ