บทที่ 42 กลุ่มเปลี่ยนใจท่านอ๋อง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

ตอนที่ 42 กลุ่มเปลี่ยนใจท่านอ๋อง

ภายในสวนหงอวี้

ฉินปู้เข่อกระโดดขึ้นไปหาเฉิงจือเซียงที่กำลังปักกระเป๋าอยู่ “เซียงเซียงน้อย เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?”

“ผีหลอก!” เฉิงจือเซียงจ้องไปที่ใบหน้าซีดขาวที่มีแก้มสีแดงก่ำตรงหน้า ดวงตาของนางก็เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว นางกรีดร้องเสียงหลงจนกระเป๋าในมือของนางถูกโยนทิ้งจนกระเด็นไป

ฉินปู้เข่อปิดหูของตน “หยุดกรีดร้องได้แล้ว เจ้าทำให้ขี้หูของข้าสั่น”

“พระ พระชายา!” เฉิงจือเซียงปิดปากและจมูกของนาง “ท่านจะไปหลอกใครให้ตกใจเช่นนี้ในเวลากลางวัน?!”

“ข้าเพิ่งไปหาท่านอ๋อง แต่ถูกอู๋เหินไล่ออกมา” ฉินปู้เข่อเอ่ยอย่างขุ่นเคือง

“ฮ่า ฮ่า” เฉิงจือเซียงบุ้ยปาก การถูกไล่ออกมาเป็นสิ่งที่สมควรอยู่แล้ว

ปราศจากการประจบสอพลอใด ๆ

ฉินปู้เข่อแสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาดูถูกเหยียดหยามของนาง แล้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “เซียงเซียง หากข้ามีทรวดทรงแบบเดียวกับเจ้า ท่านอ๋องก็คงจะไม่รังเกียจข้าอย่างแน่นอน”

เฉิงจือเซียงกระแอมในลำคอ แล้วก้มเหลือบมองหน้าอกของคนที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เหมือนจะกล่าวว่า ‘เจ้าพูดถูก’ ก่อนจะพูดว่า “พระชายาอยู่ในวัยเจริญพันธุ์แล้ว บางสิ่งนั้นมีมาตั้งแต่กำเนิด และไม่ว่าท่านจะเสวยสูตรลับใดก็ไม่อาจช่วยให้เปลี่ยนแปลงได้ภายในเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

“อืม ข้าคิดว่าเซียงเซียงพูดถูก” ฉินปู้เข่อพยักหน้าเห็นด้วย “เมื่อข้าแต่งงาน แม่ของข้าสอนข้าว่าข้าต้องรู้วิธีเป็นนายหญิงที่ดีและอย่าอิจฉาผู้อื่น ทุกสิ่งล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของท่านอ๋อง เมื่อมีคนเช่นเจ้าคอยอยู่เคียงข้าง ท่านอ๋องก็คงจะมีความสุขนัก”

“จริงเพคะ” เฉิงจือเซียงชะงักไปเล็กน้อย แล้วเหตุใดท่านอ๋องจึงไม่มาเยี่ยมนางและพักที่นี่สักคืนเล่า

ดวงตาของนางฉายแววเศร้าโศก เฉิงจือเซียงยกมุมปากยิ้มอีกครั้ง “ขอบพระทัยพระชายาสำหรับคำชมเพคะ”

“นี่ เมื่อกี้ข้าบอกให้ซวงหวนออกไปซื้อเฉาก๊วยข้างนอก แม้ว่าตอนนี้จะไม่ใช่ช่วงฤดูร้อนก็ตามแต่ตอนเที่ยงก็ยังคงร้อนจัด ข้าเก็บไว้ให้เจ้าชามหนึ่ง” ฉินปู้เข่อหยิบเฉาก๊วยมาวางตรงหน้านางแล้วเหลือบมองดูกระเป๋าที่ถูกปักลายครึ่งหนึ่งบนพื้น

นางหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วกล่าวชมเชย “เซียงเซียง งานปักของเจ้าช่างวิจิตรบรรจงนัก ข้าคิดว่าหากเจ้าปักลายนกเป็ดน้ำสองตัวนี้ให้กับท่านอ๋อง ท่านก็คงจะพึงพอใจมากแน่นอน”

“จริงหรือเพคะ?” ความเขินอายปรากฏบนใบหน้าของเฉิงจือเซียง นางรื้องานปักมาหลายวันแล้ว และนางอายที่จะนำมันไปให้หมี่โม่หรู่

“อันที่จริงวันนี้ท่านอ๋องอารมณ์ไม่ดีนัก หากเจ้านำกระเป๋าใบนี้ไปถวายในวันพรุ่งนี้ เขาต้องรับไว้อย่างแน่นอน” น้ำเสียงของฉินปู้เข่อนั้นดูจริงใจราวกับว่านางเป็นภรรยาแสนประเสริฐ

“แล้วหม่อมฉันจะแก้ไขเพิ่มอีกสักหน่อยเพคะ” เฉิงจือเซียงหยิบกระเป๋าขึ้นมาแล้วปักมันต่ออย่างมีความสุข

ฉินปู้เข่อโบกมือให้ซวงหวนเพื่อให้นางออกไปก่อนแล้วพูดเสียงเบาว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไม่รบกวนเจ้าแล้ว”

“อืม อืม”

หลังออกจากห้องของเฉิงจือเซียงแล้ว ฉินปู้เข่อก็มองสิ่งของในมือของซวงหวนแล้วโบกมือ “ไปหาแม่นางคนต่อไปกัน”

เมื่อนางเดินไปเยี่ยมชมตำหนักของนางสนมทุกคนก็เป็นเวลามืดค่ำแล้ว โดยนางได้แสดงใบหน้าที่นางไปหาหมี่โม่หรู่ให้ทุกคนได้เห็น

ขณะที่นางเดินไปยังสวนเฉินอวี้ นางก็ดึงปิ่นปักผมสีทองบนศีรษะของตนออกพลางบ่นไม่หยุดว่า “คอของข้าแทบจะหักอยู่แล้ว”

ซวงหวนหยิบปิ่นปักผมสีทองออกมาไว้ในมือทีละอันแล้วเอ่ยอย่างสงสัยว่า “พระชายาเพคะ เหตุใดวันนี้ท่านจึงไปเยี่ยมเยียนสตรีเหล่านั้นทีละคน ในแง่ของสถานะแล้ว พวกนางควรเป็นฝ่ายขอมาทักทายท่านทุกวัน พระชายาจะเป็นผู้ให้ของกำนัลแก่นางสนมได้อย่างไรเพคะ”

“เจ้าไม่เห็นหรอกหรือว่าข้ากำลังจัดตั้งกลุ่มเพื่อเปลี่ยนใจท่านอ๋องอยู่” ฉินปู้เข่อเหลือบมองซวงหวน เมื่อเห็นท่าทางสับสนเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของนาง “ซวงหวนน้อย ข้าชอบมองเจ้าเสียจริง เจ้าดูน่ารักมาก~”

ใบหน้าของซวงหวนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้นางจะเขินอายและประหม่าเล็กน้อย แต่ก็พูดด้วยท่าทางสุภาพว่า “พระชายารีบเสด็จกลับเถิดเพคะ ท่านน่าจะหิวแล้วหลังจากที่ยุ่งมาทั้งวัน”

วันรุ่งขึ้น ฉินปู้เข่อได้นอนเต็มตื่น หลังจากแต่งหน้า ‘อัปลักษณ์’ แล้ว นางก็ยืดตัวแล้ววิ่งไปยังสวนชิงอวี้

อู๋เหินปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการหยุดนางไว้ที่หน้าประตูสวนชิงอวี้ โดยไม่ปล่อยให้นางก้าวเข้าไปได้แม้แต่ครึ่งก้าว

“ท่านอ๋อง ให้หม่อมฉันเข้าไปรับใช้ท่านเถิดเพคะ ท่านอ๋อง—” ฉินปู้เข่อทรุดตัวลงนั่งอยู่หน้าประตูแล้วคร่ำครวญ

เสียงเอะอะลอยเข้ามาในห้องอ่านหนังสือ หมี่โม่หรู่ยกมือปิดหูแล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขาต้องการดูว่าสตรีผู้นี้จะสร้างปัญหาได้อีกนานเพียงใด

หลังจากที่นางร้องไห้คร่ำครวญที่หน้าประตูอยู่ครู่หนึ่ง เฉิงจือเซียงก็เดินนวยนาดอย่างมีเสน่ห์ผ่านนางไป แล้วเข้าไปในสวนชิงอวี้โดยปราศจากผู้ใดที่มาขัดขวาง

เสียงคร่ำครวญของฉินปู้เข่อดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย “ท่านอ๋อง เหตุใดท่านไม่สนใจหม่อมฉันเลย หม่อมฉันเสียใจ! หม่อมฉันเศร้า! หม่อมฉันอกหัก! หม่อมฉันหัวใจสลาย!”

อู๋เหินที่ตอนแรกหันหน้าเข้าหานางทนไม่ไหวอีกต่อไปจึงค่อย ๆ หันหลังกลับเพื่อหันหลังให้นาง

ซวงหวนที่ยืนอยู่ข้างนางรู้สึกอับอายจนอยากจะขุดหลุมแทรกแผ่นดินหนี

ฉินปู้เข่อมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงกับตะโกนใส่อู๋เหินว่า “อู๋เหิน ดูเอาเถิดว่าพระชายาเช่นข้าน่าหลงใหลเพียงใด ให้ข้าเข้าไปเถิด…”

อู๋เหินก้มศีรษะลงแล้วเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ต้องพูดถึงท่านอ๋องเลย ต่อให้เป็นเขาที่เห็นสตรีที่ ‘งดงาม’ และ ‘น่าหลงใหล’ เช่นนี้ เขาก็คงจะวิ่งหนีไป

ไม่นานนักเฉิงจือเซียงก็เดินก้มหน้าแดงก่ำออกมา เมื่อนางเดินผ่านฉินปู้เข่อก็รู้สึกผยองเล็กน้อย น้ำเสียงของนางเย่อหยิ่งเป็นพิเศษ “ท่านอ๋องรับกระเป๋าของหม่อมฉันไปแล้ว ส่วนท่านพี่ก็คร่ำครวญต่อไปเถิดเพคะ”