บทที่ 37 โรงเตี๊ยมหลังมรณา

น้ำเสียงของคนผู้นั้น นางจำได้ดี

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไร นางก็ไม่มีวันลืมเสียงคนผู้นี้

เยี่ยนหนิงลั่วพลันผุดลุกขึ้น ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้อวี้เซียวหนิงนั่งทำหน้ามึนงง

ที่ภายนอกเรือ อวี้จิงจั๋วและซวนหยวนเช่อกำลังมองหน้ากันด้วยความตกตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้เห็น

“เขาอยู่ที่ใด!?” เยี่ยนหนิงลั่วแสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาเล็กน้อย

“ใคร?” อวี้จิงจั๋วสับสน

“คนที่พูดเมื่อครู่!” เยี่ยนหนิงลั่วแผดเสียงแหลม “คนที่แผ่แรงกดดันออกมาเมื่อครู่! เขาอยู่ที่ใด?”

อวี้จิงจั๋วพลันได้สติ เอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่ของนาง “หายไปแล้ว จู่ ๆ ก็หายไปพร้อมกับเรือสำราญลำยักษ์! คงจะใช้วิชาเคลื่อนย้ายอะไรสักอย่างเป็นแน่”

นัยน์ตาเยี่ยนหนิงลั่วพลันมืดลง

คนผู้นั้นหายตัวไปอีกแล้วหรือ? นางจะได้พบเขาอีกครั้งหรือไม่?

บุรุษที่นางเก็บไว้ในใจนานถึงแปดปี

ซวนหยวนเช่อย่อมสังเกตเห็นความกระวนกระวายใจของนางเมื่อครู่ได้ หลังจากได้ยินประดยคสุดท้ายเธอก็พลันมีสีหน้าหดหู่ยิ่งนัก เขาจึงเอ่ยขึ้น “เจ้าดูจะสนใจชางไห่อ๋องมาก?”

“ชางไห่อ๋อง?” เยี่ยนหนิงลั่วขมวดคิ้วมุ่น “เรื่องนี้เกี่ยวพันอันใดกับชางไห่อ๋อง?”

ซวนหยวนเช่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา “เห็นเจ้าทำหน้าตาผิดหวังมากขนาดนั้น บุรุษในเรือสำราญลำนั้นคือชางไห่อ๋อง เขาเดินทางมายังแคว้นชิงหลานก่อนกำหนดแต่ไม่เผยตัว ทว่าพวกเรากลับเห็นองค์หญิงเก้าอยู่บนเรือลำนั้น”

“ว่าอย่างไรนะ?” เยี่ยนหนิงลั่วเบิกตากว้าง

เขา….. คือชางไห่อ๋องที่ผู้คนร่ำลือกันหรือ?

——————–

“นี่ เจ้าได้ยินหรือไม่? เมื่อวานที่ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวมีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นด้วย!”

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

“เมื่อวานมีคนไปพักผ่อนหย่อนใจที่ทะเลสาบอยู่มาก ทันใดนั้นพวกเขาก็เห็นนักฆ่าชุดดำจำนวนมากปรากฏตัวขึ้น ทุกคนล้วนมีขั้นพลังบำเพ็ญเพียรสูงส่งนัก มีคนบาดเจ็บหลายคนด้วยกัน”

“เกิดเรื่องเช่นนั้นจริงหรือ? ใครกันที่พวกนักฆ่ามากมายขนาดนั้นหมายจะสังหาร?”

“ได้ยินมาว่าพวกนักฆ่าหมายจะสังหารบุรุษผู้หนึ่ง หากแต่เขาแข็งแกร่งเกินไป ซัดพลังออกมาเพียงครั้งเดียวก็สามารถสังหารพวกนักฆ่าฝีมือสูงส่งทั้งหมดได้ กระทั่งใบหน้าก็ไม่เปิดเผยให้เห็น!”

“เจ้าต้องนึกภาพฉากนั้นไม่ออกเป็นแน่ ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวที่ผืนน้ำไกลสุดลูกหูลูกตากลับกลายเป็นน้ำแข็งจนหมด พวกนักฆ่าเหล่านั้นกลายเป็นมนุษย์น้ำแข็ง หลังจากน้ำแข็งปริแตกก็ไม่เหลือชิ้นส่วนใด น่าสงสารยิ่งนัก”

“มีคนที่มีพลังน่าเกรงขามขนาดนั้นอยู่ด้วยหรือ? ข้าว่าคนในดินแดนเราไม่น่าจะมีผู้ที่มีพลังสะท้านชั้นฟ้าขนาดนั้นได้หรอกกระมัง!”

“หรือจะเป็นคนจากต่างแคว้น?”

หลังจากกินอาหารเสร็จ คนหลายคนนั่งรวมกลุ่มจิบชา พูดคุยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวอย่างสนุกปาก

……….

เนื่องจากน้ำเลี้ยงวิญญาณที่นางใช้รดสวนสมุนไพรหมด ชิงอวี่จึงออกมานอกจวนเพื่อหาซื้อเพิ่ม หากแต่หูกลับได้ยินบทสนทนาถึงเหตุการณ์แปลกประหลาดที่เกิดขึ้นเข้าพอดี

นางเลิกคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัวยามได้ยินเหตุการณ์น่าสนใจที่คนพูดคุยกัน น่าเสียดายที่นางไม่ได้เห็นด้วยตาตนเอง มิเช่นนั้นคงได้ชมการต่อสู้ระหว่างผู้มีฝีมือสูงส่งให้เป็นบุญตาไปแล้ว

หากแต่คนที่แช่แข็งทะเลสาบผู้นั้น ลงมือโหดเหี้ยมและไม่สละสลวยเอาเสียเลย สังหารศัตรูเพียงการโจมตีเดียวเช่นนั้นจะหลงเหลือความสนุกอันใดเล่า?

หากเป็นนาง นางจะเลือกทรมานอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ เสียมากกว่า เช่นนั้นถึงจะน่าสนใจ

“วิธีของคนผู้นั้น….. เหตุใดจึงรู้สึกคุ้นยิ่งนัก…..” นิ้วเรียวงามกุมคางตนพร้อมรำพึงออกมาด้วยนัยน์ตาหรี่ลงกว่าครึ่ง

ผืนน้ำในทะเลสาบจันทร์เสี้ยวนั้นกว้างใหญ่นัก การแช่แข็งน้ำทั้งทะเลสาบไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาสามารถทำได้ หากเชื่อคำผู้ที่โชคดีรอดชีวิตจากเหตุการณ์มาได้ละก็ น้ำแข็งนั้นหนาพอให้คนหนึ่งร้อยคนขึ้นไปยืนโดยไร้รอยแตกได้เลย

ทั้งยังเรื่องที่สั่งให้น้ำในแม่น้ำ แข็งและละลายในทันทีตามใจสั่งอีก การทำเช่นนั้นเป็นพลังที่ควบคุมได้ยากยิ่ง เว้นเสียแต่คนผู้นั้นอาจจะฝึกเคล็ดวิชาลับจนถึงขั้นสุด เพราะหากพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจถูกพลังตีกลับตัวผู้ใช้ได้

แน่นอนว่านางไม่มีทางเชื่อว่าจะมีคนอยากแสดงฝีมือให้โลกได้เห็นจนเตรียมตัวรับพลังที่ถูกตีกลับได้อย่างหน้าชื่นตาบานได้

เว้นเสียแต่ว่าคนผู้นั้นมีกำลังแข็งแกร่งอยู่แล้ว

ชิงอวี่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ได้แต่ส่ายหัวตน “ลืมมันไปเสียดีกว่า ข้าคิดมากเกินไปแล้ว”

ตั้งแต่ที่นางหลุดมายังโลกใบนี้ นางเป็นวิญญาณล่องลอยอยู่หลายปี นางจำไม่ได้ว่ายาวนานเท่าไหร่ หลังจากวิญญาณเข้าร่างเด็กสาวคนนี้มาเวลาก็ผ่านมาแล้วกว่าหกปี

ส่วนคนผู้นั้น หากยังไม่ตาย ตอนนี้ก็คงจะแก่ชรามากแล้ว

เมื่อนึกภาพว่าคนผู้นั้นป่านนี้คงจะมีผมขาวและเคราสีดอกเลา ใบหน้าเหี่ยวย่นแก่ชราแล้ว ชิงอวี่ก็หัวเราะเสียงดังออกมา

ออกจากจวนครั้งนี้ นางแปลงโฉมเสียใหม่ ก่อนหน้านี้นางปรับแต่งใบหน้าเพียงเล็กน้อย ทว่าใบหน้ายังคงมีเสน่ห์ดึงดูดคนมามากเกินไปถึงนางจะเปลี่ยนเป็นชุดคุณชายแล้วก็ตามที

ครั้งนี้นางแต่งผิวหน้าให้เข้มขึ้น ทำคิ้วให้หนากว่าเดิม ขับให้หน้าตาดูหล่อเหลาคมคายแต่ไม่สะดุดตามากนัก ดังนั้นจึงดึงความสนใจจากผู้คนได้น้อยกว่าครั้งก่อน

หลังจากซื้อของเสร็จ นางก็เดินกลับจวนอ๋องทันที สายตานางเหลือบไปมองหอเมฆาเคลื่อนเล็กน้อย พบว่าประตูหน้าปิดสนิท ทั้งหอล้วนว่างเปล่าไร้ผู้คน ส่วนทางข้างหน้าหอมีชายชราในชุดสีเทานั่งกอดอกสัปหงกอยู่ ปากก็พึมพำบางสิ่งจับใจความไม่ได้

ชิงอวี่เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้สนใจชายชราผู้นั้นมาก เดินหันหลังกลับจวนไปในที่สุด

ที่เบื้องหลังของเด็กสาว ชายชราในชุดสีเทาไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ นัยน์ตาไร้ซึ่งความง่วงงุนของคนที่เพิ่งตื่นนอน นัยน์ตานั้นจ้องมองแผ่นหลังบางนิ่ง ประกายแสงวาบผ่านในดวงตา

……….

ทะเลสาบจันทร์เสี้ยวเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจที่มีชื่อเสียงในแคว้นชิงหลาน

และเพราะเหตุนั้น สถานที่แห่งนี้จึงยังมีโรงเตี๊ยมที่ทั้งหรูหราโอ่อ่าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ ชื่อว่า “โรงเตี๊ยมหลังมรณา”

ทว่าอย่าได้ตกใจกับชื่อโรงเตี๊ยมแห่งนี้มาก เหตุผลที่สถานที่นี้ได้ชื่อว่าโรงเตี๊ยมหลังมรณาเป็นเพราะที่นี่มีเหล้าอยู่ชนิดหนึ่ง

เหล้าชนิดนั้นมีนามว่า “น้ำหลังมรณา”

ถึงมันจะถูกเรียกว่าน้ำ แต่แท้จริงแล้วคือเหล้า หากแต่มันไม่เหมือนเหล้าธรรมดาทั่วไป สองสามอึกแรกอาจไม่รู้สึกได้ถึงความแรงของเหล้า ยามเมื่อเหล้าชนิดนี้สัมผัสลิ้นในคราแรกจะไร้รสชาติดั่งน้ำเปล่า หากแต่เมื่อผ่านไปหลายจอกเข้าความแรงของเหล้าจะเริ่มออกฤทธิ์ กระทั่งวัวตัวใหญ่ยังไม่อาจต้านทานได้

ดื่มน้ำหลังมรณาเมามายไปสามวันสามคืน หลังจากสร่างจะรู้สึกราวกับได้เกิดใหม่ ความกังวลความทุกข์ทั้งหลายก่อนหน้าพลันเลือนหายไปสิ้น

นับเป็นคุณสมบัติพิเศษของเหล้าชนิดนี้ หากแต่สูตรหมักเหล้าเป็นความลับไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นจึงสามารถหาดื่มได้จากโรงเตี๊ยมหลังมรณาเท่านั้น

มีผู้คนนับไม่ถ้วนที่มายังสถานที่แห่งนี้เพราะอยากลิ้มลองเหล้าที่ชื่อเสียงที่เล่าลือไปไกล น้ำหลังมรณา

และโรงเตี๊ยมหรูหราอันดับต้น ๆ ของแคว้นแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชายแดนแคว้นชิงหลาน

นอกจากมีที่พักและอาหารแล้ว ที่นี่ยังมีสถานบันเทิงต่าง ๆ รวมอยู่อีกด้วย อาทิเช่น สถานที่ประมูล ลานประลอง และยังมีการร่ายรำและร้องบรรเลงเพลงผ่อนคลายกายา มีพื้นที่สำหรับเหล่าบัณฑิตให้ได้ร่ายกลอนบรรจงวาดภาพ รวมทุกความบันเทิงทุกอย่างเข้าไว้ในสถานที่เดียว

ภายในห้องโถงใหญ่ซึ่งเป็นชั้นแรกของโรงเตี๊ยมคือชั้นที่เหล่าผู้คนในยุทธจักรมารวมตัวกัน ทั้งปลาตัวน้อยและมังกร ทั้งคนดีคนชั่วผสมปนเป

โรงเตี๊ยมหลังมรณามีทั้งหมดเก้าชั้น ห้าชั้นแรกเปิดให้ทุกคนเข้าได้ หากแต่ชั้นต่อ ๆ ไปเป็นสถานที่ที่ต่อให้มีเงินก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ ถูกจับจองไว้ให้เหล่าคนผู้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ผู้ที่มีพลังสูงส่ง หรือผู้ที่มีฐานะไม่ธรรมดาทั้งสิ้น

หากแต่ไม่ว่าจะเป็นชั้นใดในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ คนที่คิดจะเหยียบเข้ามาที่นี่จำต้องกำเงินไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงเงินเข้ามาด้วย โรงเตี๊ยมหลังมรณาไม่เพียงแตกต่างจากโรงเตี๊ยมแห่งอื่น ค่าใช้จ่ายไม่ว่าสิ่งใดก็สูงกว่ามาก ดังนั้นเหล่าคนที่มีเงินอยู่น้อยนิดมักจะอยู่แต่เพียงชั้นหนึ่งที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มีราคาถูกที่สุด หากแต่ก็เป็นชั้นที่มีผู้คนหนาแน่นที่สุดเช่นกัน

ผู้ที่สามารถเข้ามายังโรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้ได้ไม่ใช่เพียงคนธรรมดา การที่สามารถเข้ามาอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นดั่งเครื่องแสดงฐานะอย่างหนึ่ง

หากแต่ลูกค้าโรงเตี๊ยมแห่งนี้ เรื่องเพียงเล็กน้อยก็สามารถต่อสู้กันได้ทุกวัน จนเป็นภาพที่เห็นจนชินตา

ดังนั้นจึงมีคนตายอยู่ทุกวันเช่นกัน

ทางโรงเตี๊ยมไม่อนุญาตให้ลูกค้าเข้ามาก่อเรื่องภายในโรงเตี๊ยมหลังมรณา มิเช่นนั้นจะถูกสั่งห้ามไม่ให้เหยียบที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง

หากแต่เหล่าคนที่อยากต่อสู้กันมักจะมาประลองกันที่สนามประลอง เป็นพวกคนอารมณ์ร้อนบ้าคลั่ง พวกเขาจะลงสัญญาเป็นตาย จากนั้นไม่ตายก็บาดเจ็บหนัก เป็นโลกที่ผู้คนก้มกราบผู้แข็งแกร่ง ชีวิตมนุษย์ธรรมดาไร้ค่า

หากไร้ซึ่งพลัง ก็มีเพียงความตายรออยู่

ยังมีผู้หลบหนีจากการไล่ล่าที่มีชื่ออยู่ในรายการล่าค่าหัว พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อหาเงินมาเข้าโรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้เพื่อรักษาชีวิต

เป็นเพราะที่โรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้ มีกฎข้อหนึ่ง ไม่ว่าผู้ใดที่อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะได้รับความคุ้มครอง เหล่าคนที่ตามไล่ล่าคนมาเกรงกลัวอำนาจและอิทธิพลของโรงเตี๊ยมหลังมรณาจึงไม่กล้าเข้ามาไล่ล่าคนถึงที่นี่ ได้แต่เฝ้ารอให้คนผู้นั้นออกมาจากโรงเตี๊ยมเอง

หากคนผู้นั้นไม่ก้าวเท้าออกจากโรงเตี๊ยมหลังมรณา เขาก็จะได้รับการคุ้มครองไปจนสิ้นชีวิต

รถม้าคันหนึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูหลักโรงเตี๊ยม ชายสายตาไวผู้หนึ่งรีบเข้าไปต้อนรับในทันที คนขับรถม้าหนุ่มหน้าตาชวนมองจัดแจงยกผ้าม่านสีอ่อนขึ้น ก่อนเอ่ยขึ้นน้ำเสียงเคารพนบน้อม “นายท่าน คุณหนูเก้า ถึงแล้วขอรับ”

นิ้วมือเรียวงามขาวดั่งกระเบื้องเคลือบยื่นออกมาจากด้านในรถม้า จากนั้นร่างในชุดสีน้ำเงินก็ก้าวเท้าลงมา

ใบหน้างามหาใครเทียบม นัยน์ตาสีน้ำเงินราวกับท้องฟ้ากลมโตสดใส เรือนผมยาวถึงเอวถักเป็นเปียเล็กๆ ไว้หลายเปีย ข้างขมับสองข้างมีปอยผมสีน้ำเงินทิ้งตัวลงมา นับเป็นเสน่ห์แปลกตา ทุกท่วงท่าของนางแผ่ถึงกลิ่นอายอันสูงศักดิ์ มองเพียงปราดเดียวก็สัมผัสได้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

ผู้ที่ตามหลังนางมาคือบุรุษผอมสูงผู้หนึ่ง

เขาอยู่ในชุดคลุมยาวสีหมึก ตอนที่ก้าวเท้าลงมา เรือนผมสีเงินก็ทิ้งตัวลงลงมาเช่นเดียวกัน มองแล้วเป็นภาพชวนให้หลงใหล

บุรุษผู้นั้นสวมหน้ากากหมาป่าน่าเกรงขาม เผยให้เห็นเพียงนัยน์ตาสีเขียวน่าหวาดกลัวและขากรรไกรแกร่ง

ทันทีที่เขาก้าวเท้าลงมา กลิ่นอายที่ไม่อาจมองข้ามของเขาก็ดึงสายตาของทุกคงในห้องโถงให้มาหยุดลงบนตัวเขาในทันที

“ผมของคนผู้นั้น เหตุใดจึงเป็นสีเงินเล่า?” คนผู้หนึ่งเอ่ยถามคนที่อยู่ข้างกายตนเสียงเบา

“เขาอาจจะมาจากแคว้นอื่นก็เป็นได้ ได้ยินว่าคนจากแคว้นอื่นหน้าตาไม่เหมือนพวกเรา มีสีผมสีตาแปลกประหลาด”

“งั้นหรือ….. แม่นางผู้นั้นก็มีหน้าตางดงามนัก แต่บุรุษข้าง ๆ นั่น….. ดูเป็นคนที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยเลย”

“แข็งแกร่งเยียบเย็นเช่นนี้ แม่นางผู้นั้นยังกล้ายืนอยู่ข้างเขาอยู่อีกหรือ?”

“ชู่ววว เบาเสียงลงหน่อย”

เยว่ซินเหยียนหันมองสายตาคนรอบข้างนางแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นด้วยความรังเกียจ นี่มันอะไรกัน? เหตุใดคนพวกนี้จึงกล้าจ้องพี่เยี่ยหลีราวกับจ้องมองปีศาจตนหนึ่งเช่นนี้! พวกคนอวดดี!

ชิงเยี่ยหลีชินชากับสายตาเช่นนี้มานานแล้ว นัยน์ตาเขาไม่สั่นไหวแม้เพียงนิด เขาเดินเข้าไปยังโต๊ะต้อนรับใหญ่ที่ตั้งอยู่ตรงกลางห้อง จากนั้นวางผลึกแก้วรูปหยดน้ำลงบนโต๊ะ

ชายหนุ่มหลังโต๊ะต้อนรับหรี่ตาลงทันที รีบเดินเข้ามาด้วยท่าทางนบน้อมยิ่ง “เรือนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วอยู่ที่ชั้นแปด ชื่อว่าเรือนจันทราวารี ตามข้าน้อยมาได้เลยขอรับ”

ชิงเยี่ยหลีพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นเดินตามชายหนุ่มไป เยว่ซินเหยียนและอาจิ่นเดินตามหลังเขาไปเช่นเดียวกัน

จนกระทั่งคนทั้งสามเดินจากไป ทั่วทั้งห้องโถงพลันเกิดเสียงพูดคุยอึกทึกครึกโครมในทันที

“สวรรค์ ข้าได้ยินถูกต้องหรือไม่? ชั้นแปด!? บุรุษผู้นั้นมีเบื้องหลังเช่นไรกันแน่!!?”

“แขกผู้มีเกียรติสูงสุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ ล่าสุดยังขึ้นไปถึงเพียงชั้นหก หากแต่บุรุษผู้นี้ได้ขึ้นไปถึงชั้นแปด!”

“ทางโรงเตี๊ยมต้อนรับขับสู้เขาดีกว่าฮ่องเต้ชิงหลานของเราเสียอีก!”

“ดูจากท่าทางและกลิ่นอายของบุรุษผู้นั้นแล้ว คงจะเป็นผู้มียศสูงมากเป็นแน่! พวกเจ้าเห็นผลึกแก้วที่เขานำออกมาเมื่อครู่หรือไม่?”

“ข้าเห็น ว่าแต่มันคือสิ่งใดรึ?”