บทที่ 38 นางคือคนที่อยู่ในใจเจ้าหรือ

สาวงามตัวร้าย : ท่านจอมมารได้โปรดโดนตกซะทีเถอะ!

บทที่ 38 นางคือคนที่อยู่ในใจเจ้าหรือ?

“นั่นไม่ใช่ผลึกแก้วธรรมดา หากแต่เป็นผลึกของอสูรระดับสูง แก่นผลึกเหยี่ยวพายุ!”

“เฮือก! “จริงหรือ? เหยี่ยวพายุเป็นอสูรระดับสูงเชียวนะ! ผู้มีฝีมือมากมายเอาชีวิตไปทิ้งภายใต้กรงเล็บมันนับไม่ถ้วน เจ้าว่าอย่างไรนะ แก่นผลึกของมันงั้นหรือ!?”

“ข้าจะหลอกเจ้าไปเพื่ออะไร? ข้าสะสมเชี่ยวชาญแก่นผลึกอสูรประเภทนี้ มองครั้งเดียวก็รู้แล้ว”

“เช่นนี้สะเทือนสวรรค์ยิ่ง!”

“ข้าสงสัยจริงว่าเขาเป็นใคร หากไม่ใช่ว่าเขาดูน่าเกรงขามเกินไปละก็ ข้าคงไปทำความรู้จักแล้ว มีมิตรเช่นนั้นไว้คบหา แค่เอาไปโอ้อวดกับผู้อื่นก็ภูมิใจมากแล้ว”

“เจ้าน่ะหรือ? ฮ่า ๆ เจ้าลืมมันไปเสียเถอะ คนไร้ชื่ออย่างเจ้าจะไปคบหากับผู้ทรงพลังงั้นหรือ? เลิกพูดพล่ามได้แล้ว”

“ก็จริงอย่างเจ้าว่า ฮ่า ๆ…..” หัวทั้งห้องโถงใหญ่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ บรรยากาศมีชีวิตชีวายิ่งนัก

บนชั้นแปดของโรงเตี๊ยมยังมีเรือนสองเรือนที่แยกออกจากกันอยู่ เรือนหนึ่งชื่อเรือนจันทราวารี อีกเรือนชื่อเรือนไม้หอม

แต่ละเรือนมีขนาดใหญ่ มีห้องพักด้านในเรือนละสามถึงสี่ห้อง

ชายหนุ่มที่นำพวกเขามาถึงเรือนหันกลับมาโค้งคำนับเก้าสิบองศา “เรือนจันทราวารีมีทุกสิ่งที่ท่านต้องการตระเตรียมไว้แล้วอยู่ด้านใน หากต้องการสิ่งใดเพิ่ม ใส่พลังวิญญาณของท่านลงในนี้ ข้าจะขึ้นมารับคำสั่งอย่างรวดเร็วขอรับ” ชายหนุ่มกล่าวก่อนส่งตราหยกแดงให้ชิงเยี่ยหลี

อาจิ่นยื่นมือไปรับตราหยกมาก่อนกล่าว “ขอบใจมาก เจ้าไปเถอะ”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ จากนั้นค่อย ๆ ถอยออกไป

“พี่เยี่ยหลี เรามาทำอะไรที่นี่หรือ?” เป็นตอนนั้นเองที่เยว่ซินเหยียนเอ่ยถามขึ้น

ถึงที่นี่จะเป็นโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในแคว้นชิงหลาน หากแต่ชิงเยี่ยหลีไม่ใช่ผู้ที่ชอบสถานพักผ่อนเริงรมย์อย่างเช่นที่นี่ ตอนที่นางเอ่ยคำถามนี้ขึ้นมา กระทั่งอาจิ่นที่รับใช้พวกเขามานานหลายปีก็ยังแสดงสีหน้าสงสัยเช่นเดียวกัน

“พวกเขาอยู่ที่นี่” ชิงเยี่ยหลีเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง จากนั้นหันออกไปมองด้านนอกแล้วเอ่ยขึ้น

“อะไรหรือ?” เยว่ซินเหยียนชะงักไป

พริบตาต่อมา นางก็เห็นเงาร่างของคนหลายคนกำลังเดินตรงเข้ามา ย่างก้าวของชายในชุดเสื้อคลุมยาวสีขาวที่เดินนำกลุ่มคนมาแปลกกว่าใคร ย่างแต่ละก้าวเงาร่างจะพลันพร่ามัว จากนั้นพริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าพวกนาง

“แขกจากแดนไกล พวกข้ามาทักทายล่าช้าเสียแล้ว”

ชายชุดคลุมยาวสีขาวใช้มือซ้ายหุ้มกำปั้นขวาคำนับให้ นัยน์ตาเจือรอยยิ้ม ดวงตางามเผยอารมณ์ระยิบระยับดั่งดาวพร่างฟ้า มันส่องประกายระยับราวกับในดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่ชวนให้ใจคนสั่นไหว

นัยน์ตาสีน้ำเงินของเยว่ซินเหยียนเบิกกว้างยามเห็นชายผู้นี้ นางเติบโตมาจนถึงตอนนี้ เพิ่งจะเคยเห็นผู้ที่สามารถสวมชุดสีขาวบริสุทธิ์แล้วดู….. มีเสน่ห์มีชีวิตชีวาเช่นนี้

แล้วยังเป็นบุรุษผู้หนึ่งอีกด้วย!?

“แม่นางน้อยผู้งดงามท่านนี้ เหตุใดจึงมองข้าด้วยสายตาเช่นนั้นเล่า?” นัยน์ตาเขาเบนมาทางนางเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนโยนนิ่งสงบของเขาเล่นเสียงขึ้นลงอย่างพอเหมาะน่าฟัง

เยว่ซินเหยียนที่ตกอยู่ในภวังค์เกือบจะโดนชายตรงหน้าล่อลวงไป มุมปากนางกระตุกเล็กน้อย “สวมชุดสีขาวเช่นนี้….. ไม่เหมาะกับท่านเลยสักนิด….”

ชายหนุ่มหน้าหวานดั่งสตรีทั้งเย้ายวนมีเสน่ห์ท่านนี้ กระทั่งสตรีเองยังมองแล้วต้องอาย

“พอเถอะ หยุดแกล้งนางได้แล้ว” ชิงเยี่ยหลีมองชายชุดขาวนัยน์ตาเรียบเฉย ชายชุดขาวจึงเก็บท่าทางหยอกล้อบนใบหน้า เดินไปนั่งยังที่นั่งด้านข้าง รินชาให้ตนเองถ้วยหนึ่งก่อนยกขึ้นจิบ

“ข้าได้ยินเรื่องลอบสังหารแล้ว คนโง่พวกนั้นช่างรนหาที่ตาย” ชายในชุดขาวเอ่ยขึ้นด้วยริมฝีปากเหยียดตรง จากนั้นเบนสายตาขึ้นมองคนตรงหน้า “ตอนสังหารพวกเขาก็ไม่ต้องคิดถึงข้าเล่า ถึงข้าจะเคยเป็นหนึ่งในพวกนั้น แต่ข้าได้ถอนตัวออกมาแล้ว ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป พวกเขารนหาที่ตายเอง จะให้โทษผู้อื่นคงไม่ได้”

“ข้าไม่ได้ต้องการคุยเรื่องนี้”

“เป็นไปอย่างที่ข้าคิดเลยจริง ๆ ข้าว่าแล้วว่าเจ้าคงไม่เคยเป็นห่วงข้า”

“เป็นห่วงเจ้า?” ชิงเยี่ยหลีเลิกคิ้ว “ข้าไม่เคย”

“……”

เยว่ซินเหยียนมองใบหน้าเศร้าสร้อยของชายหนุ่มชุดขาวแล้วก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “คิก”

ชิงเยี่ยหลีไม่สนใจนัยน์ตาโศกของอีกฝ่าย เอ่ยปากขึ้นในทันที “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยตามหาคน”

ชายชุดขาวมองชิงเยี่ยหลีด้วยสายตาประหลาดใจ “ตามหาคน? ใครไปเหยียบหางเจ้าเลยจะตามตัวไปแก้แค้นงั้นหรือ??”

ชิงเยี่ยหลีไม่ตอบ หากแต่ยื่นมือออกไป ภาพม้วนหนึ่งพลันปรากฏบนฝ่ามือ ชิงเยี่ยหลีส่งม้วนภาพนั้นให้เขา “ช่วยข้าตามหาคนในภาพวาด”

ได้ยินดังนั้น ชายชุดขาวก็รับม้วนภาพไป ค่อย ๆ คลี่ภาพออกดู นัยน์ตามีเสน่ห์พลันเบิกกว้าง “ผู้หญิงหรือ?!”

สิ้นเสียงร้องนั้น สายตาของเยว่ซินเหยียนและอาจิ่นก็หันมามองชิงเยี่ยหลีในทันที

สตรีในม้วนภาพอยู่ในชุดสีขาวน่าเกรงขาม รูปร่างผอมบาง เรือนผมยาวถูกมัดขึ้นด้วยผ้าผูกผม ข้างขมับมีปอยผมยาวทิ้งตัวลงเคลียแก้มเล็กน้อย นางกำลังยืนกอดอกพิงต้นไม้ใหญ่ ท่าทางผ่อนคลายและเกียจคร้านยิ่ง

ใบหน้านางงดงามประณีต มีรูปลักษณ์โดดเด่น สิ่งที่มีเสน่ห์ที่สุดเห็นจะเป็นนัยน์ตาเรียวยาวแฉลบขึ้นเล็กน้อยที่ดูฉลาดเจ้าเล่ห์ราวกับจิ้งจอกสาว หางตาที่เอียงโค้งขึ้นนั้นดูเย้ายวนใจ ที่มุมปากสีชมพูอ่อนโค้งขึ้นเล็กน้อยเป็นรอยยิ้มบางเจือแววขี้เล่น

นางดูจะกำลังจ้องมองอะไรบางอย่างอยู่ ไม่ทันรู้ตัวว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังจ้องมองนางอยู่เช่นกัน

ภาพวาดม้วนนี้พรรณนาทุกสิ่งอย่างออกมาได้ดียิ่ง โดยเฉพาะอารมณ์ของหญิงสาว ท่าทางของนางถ่ายทอดออกมาได้เหมือนจริงยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าผู้รังสรรค์ภาพนี้ขึ้นมาจะต้องมีฝีมือเป็นเลิศ

อาจิ่นรับใช้ชิงเยี่ยหลีมาเป็นเวลานาน เขารู้ดีว่าชิงเยี่ยหลีวาดภาพเป็น

หากแต่เขาไม่รู้ว่าชิงเยี่ยหลีวาดภาพที่งดงามเช่นนี้ออกมาเมื่อใด

ดังนั้นตอนนี้เขาจึงยิ่งประหลาดใจ

สิ่งที่ทำให้เยว่ซินเหยียนตกตะลึงที่สุดคือ พี่เยี่ยหลีที่นางรู้จักมักจะเว้นระยะห่างกับสิ่งมีชีวิตทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเพศหญิง แล้วเหตุใดจึงวาดภาพผู้หญิงขึ้นมาได้?

แค่มองก็รู้ได้ว่าเป็นภาพวาดที่ผู้วาดตั้งใจเป็นอย่างมากเสียด้วย

ที่นางสามารถพูดคุยและใกล้ชิดกับพี่เยี่ยหลีได้เช่นนี้ เป็นเพราะนางชอบทำตัวติดกับเขาตั้งแต่ยังเล็ก แล้วยังเพราะความสัมพันธ์ของเขากับเสด็จพี่ของนาง ดังนั้นนางจึงสามารถอยู่ใกล้ชิดเขาได้

ดังนั้นในตอนนี้ นางจึงอดสงสัยไม่ได้ สตรีในภาพคือใครกัน! เยว่ซินเหยียนไม่ใช่คนที่เก็บความสงสัยไว้กับตัวให้หมองใจ ดังนั้นเมื่อในใจสงสัย นางจึงถามออกไปตามที่ใจคิด “พี่เยี่ยหลี นางเป็นใครหรือ?”

เป็นคำถามเดียวกับสิ่งที่อาจิ่นและชายชุดขาวสงสัยอยู่ในใจพอดิบพอดี

ชิงเยี่ยหลีมองสตรีบนม้วนภาพ นัยน์ตาอ่อนโยนลงเล็กน้อย “นางเป็นคนสำคัญมาก”

สิ้นประโยคนั้น คนหลายคน ณ ตรงนั้นต่างก็ชะงักค้างไป

ชิงเยี่ยหลีละสายตาจากรูปภาพ หันไปมองชายชุดขาว “นางอาจจะแปลงรูปโฉมตนเอง หากแต่นัยน์ตาคู่นั้นของนางไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถมีได้ ตามหาคนที่มีดวงตาเช่นนี้ และมีกลิ่นอายเฉพาะเช่นนาง นางเป็นคนที่หากได้พบหนึ่งครั้ง จะไม่ลืมตลอดกาล”

“น่าหลงใหลขนาดนั้นเลยหรือ?” ชายในชุดขาวเม้มริมฝีปากตน สีหน้าครุ่นคิด “ข้าไม่เคยเห็นเจ้าพูดถึงใครเช่นนี้มาก่อน หรือว่านางจะเป็นคนในใจเจ้างั้นหรือ? ทั้งยังมีรูปโฉมงดงามนัก ดวงตาคู่นั้นของนางเย้ายวนกว่าข้าเสียอีก…..”

“เอาล่ะ ข้าไม่พูดแล้วก็ได้ เจ้านี่ขี้งกจริง ข้าแค่จะขอดูให้ชัดหน่อยเท่านั้นเอง” เมื่อเห็นว่าชิงเยี่ยหลีเก็บม้วนภาพกลับไป ชายชุดขาวก็บ่นออกมา

“ฝากเจ้าด้วย” ชิงเยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบาและแหบเล็กน้อยออกมา นัยน์ตาสีเขียวเข้มฉายแววจริงจังเจือแววขอร้องจาง ๆ

ชายชุดขาวชะงักไป เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นบุรุษตรงหน้าทำท่าทางเช่นนี้ เป็นท่าทางที่อาจเรียกได้ว่าอ่อนไหว ดังนั้นเขาจึงยิ้มมุมปากน้อย ๆ ก่อนเอยขึ้น “ก็ได้ ข้ายังไม่ได้บอกปฏิเสธเลย พวกเราเป็นเพื่อนกันมานานหลายปี แค่ตามหาคนให้เจ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าหรอก”

“ขอบใจมาก” ชิงเยี่ยหลีพยักหน้า

“เอาล่ะ พวกเจ้าคงจะเดินทางกันมาเหนื่อย ข้าไม่รบกวนพวกเจ้าแล้ว พักผ่อนเถอะ!” ชายชุดขาวพูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม จากนั้นลุกขึ้นก้าวเท้าออกไป เขาใช้วิชาเดียวกับตอนที่เดินเข้ามา สิบก้าวดั่งก้าวเท้าเพียงครั้งเดียว พริบตาเดียวเขาก็ก้าวไปถึงประตูและหายไปแล้ว คนที่เหลือก็หายตัวไปเช่นกัน

“คนผู้นั้นแข็งแกร่งมาก” อาจิ่นเอ่ยขึ้นพร้อมถอนหายใจ

“พี่เยี่ยหลี เขาเป็นเพื่อนท่านหรือ?” จากนั้นเยว่ซินเหยียนพลันนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่เพิ่งเข้ามา เขาเอ่ยเรื่องลอบฆ่าขึ้นมา “แล้วเขาเกี่ยวข้องอันใดกับนักฆ่าพวกนั้น?”

ชิงเยี่ยหลีหันไปมองนางเล็กน้อย ก่อนเอ่ยขึ้น “เขาเป็นบุตรบุญธรรมของเจ้าหุบเขาไร้กังวล หากแต่เมื่อหลายปีก่อนได้แยกตัวออกมา โรงเตี๊ยมหลังมรณาแห่งนี้ก็เป็นของเขา”

เยว่ซินเหยียนกะพริบตาใบหน้าประหลาดใจ “เยี่ยมไปเลย เขาเป็นเจ้าของที่นี่หรือนี่?”

“อืม แท้จริงแล้วเขาคือคุณชายจากสี่ตระกูลใหญ่จากแดนธาราขาว ถึงตอนนี้จะรู้แล้วว่าตนมาจากตระกูลฝ่ายใด หากแต่ด้วยนิสัยรักอิสระของเขาทำให้เขาต้องเดินทางไปมาระหว่างสองดินแดนอยู่เป็นนิจ”

“เบื้องหลังไม่ธรรมดา!” เยว่ซินเหยียนพยักหน้า เข้าใจเรื่องราวเพียงครึ่งเท่านั้น หากแต่สิ่งที่นางสงสัยใคร่รู้กว่าเรื่องนั้น…..

นัยน์ตาสีน้ำเงินจ้องเขานิ่ง “พี่เยี่ยหลี พี่สาวท่านนั้นเป็นสตรีในใจท่านจริงหรือ? เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้ยินท่านเอ่ยถึงนางมาก่อน?”

นัยน์ตาชิงเยี่ยหลีพลันหม่นแสงลง “นางตายไปแล้ว”

เยว่ซินเหยียนเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าตนจะได้รับคำตอบเช่นนั้น นางกัดปากตนเล็กน้อยเป็นเชิงรู้สึกผิด “ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่รู้…..”

“ก่อนหน้านี้นางสิ้นใจไปแล้ว หากแต่ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกนี้”

เยว่ซินเหยียนชะงักค้างไม่รู้จะตอบอะไรไปชั่วครู่หนึ่ง หากแต่พลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เสด็จพี่เคยเล่าให้นางฟังว่าพี่เยี่ยหลีเป็นคนจากโลกอื่น และมายังโลกของนางเมื่อยี่สิบปีก่อน

เช่นนั้นแล้ว พี่สาวท่านนั้นต้องเป็นคนรักของเขาจากโลกใบนั้นเป็นแน่!

คิดได้ดังนั้น ในใจยิ่งมีแต่ความสงสัย คนที่สามารถมีอิทธิพลต่อจิตใจพี่เยี่ยหลีที่มีอำนาจทรงพลังได้เช่นนี้ สตรีผู้นั้นย่อมเป็นคนที่มีอำนาจแข็งแกร่งไม่แพ้กันเป็นแน่!

…………

แดนเมฆาสวรรค์ในช่วงนี้ไม่ค่อยสงบสุขสักเท่าไหร่

ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นดินแดนระดับบนหรือระดับล่าง การนองเลือด การฆ่าฟัน การแย่งชิงเขตแดนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอดไม่มีเปลี่ยนแปลง

หากแต่เรื่องเหล่านั้น หากเทียบกับดินแดนระดับล่างแล้ว การแย่งชิงบนแดนเมฆาสวรรค์นั้นดุดันโหดร้ายกว่ามาก

กว่าร้อยปีที่ผ่านมา แคว้นมารถูกขุมอำนาจอื่น ๆ ตามไล่ล่าสังหารมาโดยตลอด สถานการณ์ปัจจุบันของแคว้นตกอยู่ในอันตรายยิ่งนัก โดยเฉพาะสมาพันธ์นักล่าที่ไล่สังหารคนจากแคว้นมารราวกับปีศาจอาฆาต กัดไม่ปล่อยโดยแท้จริง หากพบว่าที่แห่งใดมีร่องรอยคนจากแคว้นมาร สมาพันธ์นักล่ายอมสังหารผู้บริสุทธิ์กว่าพันชีวิตเพื่อตามล่าคนจากแคว้นมารเพียงคนเดียว

เหตุผลที่คนจากสมาพันธ์นักล่าไล่สังหารฆ่าฟันคนแคว้นมารอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ เป็นเพราะผู้มีอำนาจสูงสุดในสมาพันธ์นักล่าเคยเป็นคนจากแคว้นมาร เขาไม่อาจทำให้ท่านจอมมารโปรดปรานได้ ทั้งยังถูกจอมมารแห่งแคว้นค่อนแคะเหยียดหยามมาครั้งหนึ่ง

เรื่องนั้นทำให้เขาซึ่งมีอัตตาในตนสูงรู้สึกว่าตนถูกลบหลู่เกียรติ เขาจึงละทิ้งแคว้นมารมาก่อตั้งสมาพันธ์นักล่า สาบานตนว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับแคว้นมารไปจนสิ้นชีวิต

หากแต่ใบหน้าของคนต้นเหตุนั้นเรียบเฉยยิ่ง เขาเคยพูดดูถูกเหยียดหยามผู้ใดด้วยหรือ?

คนรอบข้างทั้งซ้ายและขวาได้แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าทอดถอนใจไร้คำพูด นายท่าน ไม่เพียงเป็นท่านที่ทำเช่นนั้น ทั้งยังทำเรื่องเช่นนั้นมากกว่าหนึ่งครั้งด้วยท่านรู้ตัวหรือไม่?

ที่น่าแค้นใจที่สุดคือท่านเป็นคนทำเช่นนั้นอยู่ทุกคนรู้เห็น หากแต่กลับทำราวกับตนเป็นผู้บริสุทธิ์ ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่างที่ตนเคยกระทำ!

ในตอนนั้น โหลวจวินเหยาไม่ได้ควบคุมอารมณ์ตนและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเช่นตอนนี้ เขาเป็นจอมมารที่มีความทระนงตัวเป็นเลิศทั้งยังกดขี่ข่มเหงลูกน้องยิ่งนัก สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างรู้ดีนั่นก็คือเขาไม่เพียงเป็นคนเจ้ายศอย่างเหลือเชื่อ แต่ยังมีฝีปากเป็นเลิศ คำพูดธรรมดาประโยคหนึ่งจากเขาสามารถทำให้คนอับอายจนอยากแดดิ้นตายเสียตรงนั้นได้

หากจะกล่าวตามคำของไป๋จือเยี่ยนแล้ว ก็คงจะสามารถอธิบายได้เช่นนี้ “หากวันใดที่กลุ่มอิทธิพลทุกฝ่ายลุกฮือขึ้นฆ่าสังหารกัน แคว้นมารของพวกเขาคงไม่ต้องส่งทหารไปแม้แต่คนเดียว ใช้ฝีปากท่านจอมมารเพียงผู้เดียวก็เพียงพอที่จะฆ่าสังหารคนเหล่านั้นจนสิ้นได้!”