บทที่ 8 ชีวิตในตระกูลหลินเป็นเช่นไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม

บทที่ 8 ชีวิตในตระกูลหลินเป็นเช่นไร

เมื่อเหยาซูลืมตาตื่นขึ้น หลินซานเป่าน้อยที่นอนอยู่ข้างกายก็เริ่มส่งเสียงร้องไห้ออกมา

หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ พลางคิดกับตนเองว่า ‘เจ้าหนูนี่ช่างตรงเวลาเสียจริง เขาตื่นมาทุก ๆ 4 ชั่วโมงเลย’

ในขณะที่นางอุ้มลูกก็เห็นผู้เป็นมารดากำลังถือชามน้ำแกงเข้ามา และนั่งลงข้างเตียงของตน

“เด็ก ๆ ออกไปเล่นกันหมดแล้ว แม่ตุ๋นน้ำแกงไก่มาให้เจ้า” แม่เฒ่าเหยาเป่าน้ำแกงในมือ “เอาล่ะ รีบดื่มตอนที่มันร้อน ๆ เถอะ”

นางพูดไปก็ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงของลูกสาว หญิงชราอุ้มหลานขึ้นมาป้อนนมแพะซึ่งกำลังอุ่น ๆ ด้วยความชำนาญ

ก่อนหน้านี้ แม่เฒ่าเหยาได้ถือนมแพะเข้ามาแล้วครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเห็นว่าลูกสาวและหลานยังหลับอยู่นางจึงผละตัวออกไปตุ๋นน้ำแกงไก่อย่างเงียบ ๆ

เหยาซูยกน้ำแกงขึ้นดื่ม อารมณ์ของนางซับซ้อนมาก เพียงเอ่ยเบา ๆ ว่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ…”

เมื่อพูดจบก็ยกน้ำแกงขึ้นดื่มอีกครั้ง

แม่เฒ่าเหยารับรู้ถึงคำขอบคุณจากลูกสาว แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ป้อนนมให้เด็กน้อย เมื่อเห็นว่าทารกน้อยอิ่มนางก็ลูบหลังเขาเบา ๆ เด็กน้อยก็ผล็อยหลับไป

เมื่อเห็นว่าลูกชายคนเล็กหลับไปแล้ว เหยาซูซึ่งกำลังแทะน่องไก่อยู่ก็เอ่ยออกมาอย่างจนปัญญาว่า “เด็กคนนี้ช่างดีจริง ๆ พอตื่นขึ้นมาก็ดื่มจนอิ่มแล้วหลับอย่างว่าง่าย”

หลินซานเป่าที่กำลังหลับอยู่ดูเหมือนจะมีการตอบสนองเล็กน้อยกับคำพูดของนาง ทำให้นางต้องสำลักออกมาเบา ๆ

หญิงชราเห็นแบบนั้นก็หัวเราะออกมา นางวางหลานชายไว้บนที่นอนก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “เด็กน้อยอย่างซานเป่า บางครั้งก็ต้องการให้อุ้มพอวางลงก็ร้องไห้ไม่หยุด ดูเหมือนว่าซานเป่าของเราจะเลี้ยงง่ายนะ”

เหยาซูจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ท่านแม่ ท่านฆ่าแม่ไก่ที่วางไข่ของบ้านอย่างนั้นเหรอ?”

แม่เฒ่าเหยาพยักหน้า เงยหน้ามองลูกสาวที่กำลังถือชามน้ำแกงอย่างทำอะไรไม่ถูก แววตาของเหยาซูเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด “ไก่ตัวเดียวจะสำคัญไปกว่าการบำรุงร่างกายของลูกได้อย่างไร?”

หากเป็นเหยาซูคนก่อน นางคงไม่คิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้ คงไม่แสดงความรู้สึกผิดต่อครอบครัวออกมา…

หากก่อนหน้านี้นางไม่ได้โกรธจนไม่ติดต่อกับครอบครัวบ้านแม่ นางก็คงไม่ต้องตกระกำลำบากพร้อมกับลูกน้อยอีกสองคน

เหยาซูไม่ได้ตอบผู้เป็นมารดา นางยังคงขบคิดอยู่ในใจ แม้ว่าตระกูลเหยาจะไม่ได้มีฐานะยากจน แต่ในชนบทแล้วอย่างไรเสียแม่ไก่ที่สามารถวางไข่ได้นั้นมีค่ามากต่อครอบครัวอย่างไม่อาจจินตนาการได้

เกษตรกรจำนวนมากไม่จำเป็นต้องกินแต่เนื้อและผักตลอดทั้งปี เพราะชีวิตของพวกเขายังสามารถดำรงอยู่ได้ก็เพราะไข่ไก่

แต่ผู้เป็นมารดากลับบอกว่าเพื่อบำรุงร่างกายของตนแล้วถึงกับฆ่าแม่ไก่ไข่ที่มีอยู่เพื่อนาง แบบนี้จะไม่ทำให้นางรู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร?

แม่เฒ่าเหยากล่าวต่อไปว่า “อาซู ตอนนี้ดูเหมือนเจ้าจะโตขึ้นมาก พ่อแม่เองก็รู้สึกสงสารเจ้า แต่ก่อนที่ต้องลำบากทุกข์ยากอยู่กับตระกูลหลิน ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล แม่หวังว่าเจ้าจะดูแลร่างกายของตนเองให้ดี และเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตยิ่งขึ้น…”

น้ำเสียงของหญิงชราเต็มไปด้วยความเศร้า ยิ่งพูดออกมาก็ยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกสงสารมากยิ่งขึ้น

ในมือของนางยังคงมีไข่ต้มอยู่สองฟอง นางปอกเปลือกมันออกอย่างพิถีพิถันแล้วยื่นให้กับเหยาซู

ในยุคปัจจุบัน เหยาซูเคยได้กินแม้กระทั่งอาหารทะเลรสเลิศมาก่อน แต่ในความทรงจำเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลยกับชามน้ำแกงและไข่ต้มในมือของมารดา

เสียงของเหยาซูสะอึกสะอื้นเล็กน้อย “ขอบคุณเจ้าค่ะ”

“เด็กโง่ เจ้าคือไข่มุกล้ำค่าของพ่อกับแม่ เจ้าออกไปทนทุกข์ทรมานตั้งมากมายยังกล่าวขอบคุณแม่อีกเหรอ ไม่ใช่ว่าเจ้ารู้สึกเกลียดชังที่พ่อกับแม่ละเลยเจ้าหรอกหรือ?”

ดวงตาของหญิงชราเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ยกมือลูบแก้มที่ซูบตอบของลูกสาว

หัวใจของเหยาซูเต้นรัว รีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะไม่พูดสิ่งใดแล้วท่านแม่ ข้าจะไม่พูดถึงมันอีก”

ดูจากท่าทางของแม่เฒ่าเหยา หากภายภาคหน้าต้องแยกจากกันนางคงจะคัดค้านหัวชนฝา

หญิงชราหัวเราะเบา ๆ “เด็กโง่ รีบกินเข้าไปเถอะ”

สองแม่ลูกพูดคุยกันอย่างมีความสุข

ทันทีที่เหยาซูกินเสร็จก็พลันได้ยินเสียงพี่สะใภ้ใหญ่ที่อยู่ด้านนอกพูดขึ้น “ท่านแม่ ท่านหมอมาแล้ว! อาซูตื่นหรือยัง?”

“ตื่นแล้ว ๆ รีบเชิญท่านหมอเข้ามาเร็ว แล้วเบาเสียงหน่อย เด็กน้อยยังหลับอยู่เลย”

ขณะที่พูด พี่สะใภ้ใหญ่ก็พาชายชราอายุราวหกสิบปี ซึ่งมีผมสีขาวโพลนเดินเข้ามา ชายชรายังดูกะปรี้กะเปร่าพร้อมกับสะพายกล่องยาใบเล็กไว้ใบหนึ่ง

“อาซู นี่คือหมอในเมือง เขาเคยรักษาอาการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อย ๆ เจ้าจำเขาได้ไหม?”

เหยาซูยิ้มแย้มและเอ่ยขึ้น “ท่านหมอจาง”

หลังจากที่นางพูดเสร็จ ก็พบว่าตราบใดที่ร่างเดิมของนางนั้นเคยคุ้นเคยกับใครมาก่อน ร่างนี้ก็จะตอบสนองตามสัญชาตญาณ…

ท่านหมอจางและหญิงชราเอ่ยทักทายกันไม่กี่คำ จากนั้นจึงขยับเก้าอี้มาให้ท่านหมอจางเพื่อตรวจชีพจรของเหยาซู

หมอชราลูบเคราด้วยมือเปล่าอีกข้าง สีหน้าของเขาดูเป็นกังวล

แม่เฒ่าเหยาสังเกตสีหน้าของท่านหมออยู่ตลอดเวลา จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหมอจาง อาซูของเรา…”

ท่านหมอถอนหายใจแล้วส่ายหน้า “ข้าจำแม่นางซูผู้นี้ได้ เหตุใดหลายปีมานี้ร่างกายจึงอ่อนแอนัก?”

ดวงตาของหญิงชราแดงก่ำ “ท่านหมอจาง รบกวนท่านรักษาอาซูของข้าด้วย…”

หมอจางกล่าวว่า “ไม่มีอะไรที่จะรักษานางให้หายขาดได้หรอก ทั้งยังเป็นอาการเจ็บป่วยของสตรีหลังคลอดบุตร”

นางรีบถามต่อ “แล้วอย่างไรต่อ ไม่ว่าจะต้องใช้จ่ายเท่าไรพวกเราก็ยินดี”

“ยังดีที่แม่นางซูพึ่งคลอดบุตรและยังรักษาได้ ธรรมดาสตรีที่พึ่งคลอดบุตรจะต้องฟื้นฟูตัวเองภายในหนึ่งเดือน ส่วนลูกของเจ้าเกรงว่าจะต้องพักฟื้นอย่างน้อยสักร้อยวัน อาการถึงจะดีขึ้น ห้ามให้เหนื่อยมากเป็นอันขาด”

เหยาซูรู้สึกว่าสิ่งที่ท่านหมอพูดมาเกินจริง “ท่านแม่ ข้าไม่เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น”

ร้อยวันงั้นเหรอ? นางจะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้เป็นเวลาถึงสามเดือน คงขาดใจตายพอดี!

หมอจางพูดด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย “เจ้าอายุยังน้อยและคลอดลูกหลายครั้ง ควรดูแลร่างกายให้ดี! หากไม่ปรับสภาพร่างกายเกรงว่าจะอยู่ได้อีกไม่กี่ปี”

แม่เฒ่าเหยารีบพูดอย่างร้อนรน “ใช่ ๆ ดูสิว่าเจ้าดูผอมมากแค่ไหน! กลับมาบ้านเราแล้วเจ้าก็ควรนอนพักฟื้นให้สบายซักสามเดือนค่อยทำงาน”

เหยาซูทำอะไรไม่ถูกภายใต้คำสั่งของหมอชราและมารดา จึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าเท่านั้น

………

แม่เฒ่าเหยาและสะใภ้ใหญ่เดินออกมาด้านนอกเพื่อส่งท่านหมอ ทั้งยังเอ่ยกับสะใภ้ใหญ่ว่า “ชีวิตในตระกูลหลินของนางเป็นเช่นไรถึงทำให้สภาพร่างกายของนางทรุดโทรมลงถึงเพียงนี้?”

น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและเศร้าโศก

พี่สะใภ้ใหญ่เองก็รู้สึกปวดใจกับน้องสามีคนเล็กเช่นกัน แม้ตอนออกเรือนนางจะเป็นคนอารมณ์ร้าย แต่ร่างกายนางก็ยังแข็งแรง สะใภ้ใหญ่ไม่รู้จะปลอบใจแม่สามีอย่างไรจึงได้แต่เอ่ยให้นางวางใจ “ท่านแม่โปรดวางใจเถิด ข้าและน้องสะใภ้รองเคยอยู่ไฟหลังจากคลอดบุตรมาก่อน พวกข้าจะดูแลอาซูเอง”

หญิงชราพยักหน้า และพาลูกสะใภ้เดินเข้าไปในครัว….

……………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มีแววว่าตระกูลหลินเตรียมโดนอัดอีกรอบแบบทบต้นทบดอกแฮะ ทำร้ายลูกสาวบ้านเขาขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)