บทที่ 33 ที่หวนนึกถึงบนเตียงคือรูปร่างของภรรยาคนก่อน

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

“พี่เพ่ยหลินคะ เจ็บ……” สีหน้าของเฉินจื่อโร่วซีดเผือดไปในทันที เธอถูกสือเพ่ยหลินกดเข้ากับกำแพง รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างแทบจะทะลุอยู่แล้วก็ไม่ปาน

เมื่อก่อน เขาก็เคยทำเธอเจ็บ แต่ทว่า ในทุกครั้งที่เธอส่งเสียงร้องเจ็บออกมา สือเพ่ยหลินจะรีบอ่อนโยนขึ้นในทันที

แต่ทว่า สือเพ่ยหลินในวันนี้ราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรเลยก็ไม่ปาน กลับกันการกระทำก็ยิ่งดุเดือดและรุนแรงมากขึ้น

เฉินจื่อโร่วถูกเขากระแทกเข้าใส่จนร่างกายราวกับว่าแทบจะแหลกสลาย เธอยื่นมือออกแรงผลักเขาอย่างไม่รู้ตัว แต่ทว่า มือของเธอก็ถูกเข้าคว้าจับแล้วยึดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะชูขึ้นเหนือศีรษะไปในทันที ทำให้ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้เลยแม้แต่น้อย

เฉินจื่อโร่วในตอนนี้ถึงเห็นได้อย่างชัดเจนแล้ว บนใบหน้าของสือเพ่ยหลินยุ่งเหยิงและขมวดคิ้วติดกันเป็นปม นัยน์ตาสีแดงก่ำแต่ทว่าไม่แสดงความรู้สึกใดออกมาเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่า กำลังกระแทกเข้าออกในร่างของเธอเพื่อเป็นการระบายเท่านั้น

มันไม่ใช่อารมณ์ใคร่ แต่ทว่า กลับเป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง!

หรือว่า เขาทำแบบนี้เป็นเพราะว่ายายหลานเสี่ยวถางกันนะ?

หัวใจของเฉินจื่อโร่วพรั่งพรูความหวาดหวั่นออกมาเป็นจำนวนมหาศาล เมื่อมีความคิดนี้ก่อนเกิดขึ้นมาแล้ว เธอจึงรีบปลอบใจตนเองทันที มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?

ก็ในเมื่อ ถ้าหากในตอนแรกสือเพ่ยหลินชมชอบหลานเสี่ยวถางจริง ๆ แล้วละก็ หรือจะบอกว่า หากว่าสือเพ่ยหลินมีความรู้สึกต่อหลานเสี่ยวถางบางอย่างแล้วละก็ เขาคงไม่ทำต่อหลานเสี่ยวถางแบบนั้น เธอก็คงไม่มีโอกาสได้เข้ามาแทนที่หรอก

ดังนั้นแล้ว เขาเพียงแค่โกรธโดยไม่คำนึกถึงอะไรก็เท่านั้นเอง ไม่คำนึกถึงอะไรก็เป็นเพียงแค่ข้ออ้างของผู้ชายก็เท่านั้น!

เมื่อเฉินจื่อโร่วคิดได้ดังนั้นแล้ว หัวใจจึงผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทว่า ความเจ็บปวดบนร่างกายกลับเพิ่มและชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม เธอมองสือเพ่ยหลินที่ดูไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะร้องไห้แล้วเอ่ยขอร้องออกมาว่า “พี่เพ่ยหลินคะ พี่ทำฉันเจ็บจะตายอยู่แล้ว เบาลงหน่อยได้ไหมคะ?”

สือเพ่ยหลินมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาในทันที จู่ ๆ เขาก็ถอนตัวออกมาจากร่างของเธออย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็กดเฉินจื่อโร่วลงบนโซฟาที่อยู่ทางด้านข้าง พลิกตัว หลังจากนั้นก็สอดใส่ตัวตนของเขาเข้าไปใหม่อีกครั้ง

ความเจ็บปวดในร่างกายมีเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เฉินจื่อโร่วเริ่มต่อสู้ แต่ทว่า มือของสือเพ่ยหลินที่ราวกับคีมเหล็กกลับจับเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา เธอไม่มีทางขยับไปไหนได้เลย ทำได้เพียงแค่รองรับความเจ็บปวดที่เข้าออกอยู่อย่างนั้น

เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้แผ่วเบาของเฉินจื่อโร่ว สือเพ่ยหลินรู้สึกเพียงแค่ว่าความหงุดหงิดภายในหัวใจของตนเองกลับมีเพิ่มมากขึ้น เขาตะคอกเสียงดังออกมาว่า “หุบปากนะ!”

เป็นไปตามคาด เมื่อเขาตะคอกออกไปแล้ว เธอก็ไม่กล้าที่จะร้องไห้อีกต่อไปแล้ว อย่างมากที่สุดคือหัวไหล่ที่กำลังสั่นไหวไม่ยอมหยุด ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าถูกเข้ากระแทกหรือเป็นเพราะว่ากำลังร้องไห้อย่างไร้เสียงอยู่

โดยสรุปแล้ว เธอหันหลังของตนเองให้ เขาก็ไม่เห็นหน้าของเธอแล้ว ความหงุดหงิดภายในหัวใจจึงค่อยๆ ลดลงไปเล็กน้อย

ผิวเนียนขาวดังหิมะปรากฏอยู่ตรงหน้า ที่ด้านบนไม่มีรอยจูบ สติของสือเพ่ยหลินที่บีบรัดกันแน่นก็ค่อย ๆ คลายตัวออกลงไปอยู่มากโข เขายกมือขึ้นมา ก่อนจะสัมผัสเข้าที่แผ่นหลังของเฉินจื่อโร่ว

ไม่มีรอยจูบสิดีมาก ไม่มีร่องรอยของผู้ชายคนอื่น มีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น!

เขารับรู้ได้ถึงร่างกายของเธอที่โอบรัดเขาเอาไว้ การกระทำจึงค่อย ๆ อ่อนโยนมากขึ้น

เฉินจื่อโร่วไม่ได้รู้สึกว่ามันเจ็บมากขนาดนั้นแล้ว แม้กระทั่ง มีอารมณ์บางอย่างที่ค่อย ๆ พุ่งสูงขึ้นมาแทน เธออดไม่ได้ที่จะส่งเสียงต่ำ ๆ ออกไป

แต่ทว่า หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องของเธอสองสามครั้งแล้วนั้น ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งราวกับเป็นน้ำเย็น ๆ ที่สาดเข้ามาใส่หน้าว่า “หุบปาก!”

เฉินจื่อโร่วพลันชะงักนิ่งไป ความรู้สึกที่มีขึ้นกลับหดหายไปอย่างรวดเร็ว ร่างทั้งร่างรู้สึกว่าเย็นยะเยือกขึ้นเล็กน้อย

ไม่มีเสียงแล้ว เขาแทบจะเพลิดเพลินไปกับความรู้สึกนี้ นัยน์ตาของสือเพ่ยหลินฉายประกายความสุขออกมา เขาคิด แบบนี้เขาก็แยกไม่ออกแล้วว่าหญิงสาวใต้ร่างของเขาจริง ๆ แล้วเป็นใครกันแน่

ถ้าหากว่าเป็นหลานเสี่ยวถางละก็……

เขาค้นพบว่าลำคอของตนเองบีบตัวแน่นขึ้นเล็กน้อย ลูกกระเดือกขยับขึ้นลง จู่ ๆ ร่างทั้งร่างก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมาในทันที

สายตาของเขาเริ่มฉายภาพจินตนาการถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่นี้ในห้องโถงใหญ่

รอบข้างมืดสนิท แต่ทว่าที่กลางลานเต้นรำ มีแสงไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้น ก่อนจะตกกระทบลงมา ฉายส่องลงมาที่ศีรษะของเธอ

เธอถูกหางของกระโปรงสีฟ้าน้ำทะเลรัดแน่นเอาไว้อยู่ ในตอนที่ร่างกายขยับตัวเคลื่อนไหวนั้นเอง ราวกับว่าเธอเป็นนางเงือกตนหนึ่งเลยจริง ๆ

ใต้แสงนั่น บนกระโปรงของเธอเต็มไปด้วยอัญมณีที่ส่องแสงสว่างออกมามากมาย ทำให้บรรยากาศรอบข้างราวกับว่าเป็นแสงสว่างของพระจันทร์ที่สาดส่องไปยังมหาสมุทรอันกว้างใหญ่

สือเพ่ยหลินกอดเฉินจื่อโร่วจากทางด้านหลังเอาไว้แน่น ก่อนจะเข้าไปลึกขึ้น เขารู้สึกว่าตนเองกำลังกกกอดนางเงือกโฉมงามตนนั้นอยู่

นางเงือกนั่นไร้เสียง เป็นเพราะว่าเจ้าชายเธอถึงสูญเสียน้ำเสียงอันไพเราะของเธอไป ดังนั้นแล้ว เขาไม่อยากได้ยินเธอร้องอีกต่อไปแล้ว มันจะไปทำลายบรรยากาศทั้งหมดที่สร้างขึ้นมา

เฉินจื่อโร่วเดิมทีที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสือเพ่ยหลิน การกระทำของเขาอ่อนโยนลงแล้ว แม้กระทั่งมีความรู้สึกรัดแน่นขึ้นมา ร่างกายของเธอถูกเขาทำให้อ่อนไหวต่อสัมผัสตั้งนานแล้ว ดังนั้นจึงหมดหนทางที่จะควบคุมความตื่นเต้นและสั่นไหวได้เลย

ในระหว่างนั้น เขาไม่ให้เธอร้องออกมา ดังนั้นแล้ว เธอก็ทำได้เพียงแค่ขบกรามเอาไว้แน่น แต่ทว่า ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ร่างของเธออดไม่ได้ที่จะสั่นเทาขึ้นมา

สุดท้ายแล้ว สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าตนเองกับนางเงือกโฉมงามนั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดี เขาตื่นเต้นดีใจจนสมองขาวโพลนไปหมด ปลดปล่อยความปรารถนาและความใคร่ทั้งหมดเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของร่างเธอ

เพียงแต่ว่า เขายังคงกกกอดเธอเอาไว้อยู่ เมื่อเห็นแผ่นหลังของเธอแล้ว ก็ไม่ได้ถอยออกมา

เฉินจื่อโร่วเห็นสือเพ่ยหลินไม่เคลื่อนไหวอยู่ครู่หนึ่ง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกงุนงงเล็กน้อย สัมผัสได้ว่าหว่างขามีของอะไรบางอย่างไหลออกมา เธอไม่ชื่นชอบความชื้นแฉะแบบนี้เลย ดังนั้น ก็เลยลองขยับตัวดู

สือเพ่ยหลินถูกการกระทำเล็ก ๆ อันแผ่วเบาของเธอปลุกให้ตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็ว รู้สึกได้เพียงแค่ว่าทะเลลึกและนางเงือกโฉมงามตนนั้นค่อย ๆ มลายหายไปแล้ว บรรยากาศเลือนหายไป แปรเปลี่ยนเป็นห้องรับรองในตอนนี้เหมือนอย่างเคย

เขาอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ก่อนจะถอดถอนออกมาจากร่างของเฉินจื่อโร่วอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้น จึงสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ หนึ่งครั้ง

“พี่เพ่ยหลินคะ……” เฉินจื่อโร่วมีความรู้สึกมากเกินไปจนมีใบหน้าและแก้มแดงก่ำ ใต้ตาเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา เธอหมุนตัวกลับมา ก่อนจะสบตามองสือเพ่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก

เมื่อก่อน เขามองเห็นเธอก็รับรู้ได้ว่าเขาต้องการเธอ แต่ทว่า ในครั้งนี้ไม่รู้เป็นเพราะว่าอะไรที่มักจะรู้สึกหงุดหงิด ราวกับว่าหลังจากที่ได้ระบายออกไปแล้ว กลับรู้สึกไม่ดีเพิ่มมากขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

สือเพ่ยหลินไม่ได้สนใจเฉินจื่อโร่ว อีกทั้งยังเริ่มจัดแจงเสื้อผ้าของตนเองให้เข้าที่เข้าทาง

เขาสวมใส่เสื้อผ้าเสร็จแล้วก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันไปงานเลี้ยงก่อนละนะ”

เฉินจื่อโร่วไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงเย็นชามากขนาดนี้ เธอรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้สะอาดทันที ในตอนที่จะสวมใส่เสื้อผ้านั้นเอง ถึงได้ค้นพบว่าการกระทำเมื่อครู่นี้ของสือเพ่ยหลินนั่นเล่นใหญ่เกินไปแล้ว กระโปรงของเธอขาดออกจากกันเป็นวงกว้างวงหนึ่ง

“พี่เพ่ยหลินคะ เสื้อผ้าของฉันมัน……” คำพูดของเฉินจื่อโร่วยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยจนจบ สือเพ่ยหลินก็เปิดประตู แล้วเดินออกไปเรียบร้อยแล้ว

เฉินจื่อโร่วมองประตูที่ปิดลงอย่างไม่คาดฝันมาก่อน เธอนั่งตกตะลึงอยู่บนโซฟา ผ่านไปอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นวี่แววว่าสือเพ่ยหลินจะกลับมา เธอถึงได้รับรู้ว่า เขาจากไปแล้วจริงๆ! แล้วก็ยังทิ้งเธอเอาไว้ในห้องคนเดียวแบบนี้อีกด้วย!

ปลายจมูกของเธอแสบร้อน หยาดน้ำตาไหลลงมา รู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างเย็นเฉียบขึ้นมาในทันที

เมื่อก่อนเขาไม่เคยปฏิบัติต่อเธอแบบนี้มาก่อนเลย บนเตียงอ่อนโยน ลงจากเตียงก็ประคบประหงมอย่างดี วันนี้ทำไมถึงแปรเปลี่ยนเป็นอย่างนี้ไปได้กันนะ?

หรือว่าเขาออกไปหายายจินเยว่ฉีคนนั้นกันนะ? หรือว่าเขาจะสนอกสนใจจินเยว่ฉีเข้าไปแล้วงั้นหรือ?

เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว เฉินจื่อโร่วหวาดหวั่นจนถึงขีดสุด เธอกุลีกุจอลุกขึ้นยืนแล้วรีบพุ่งไปล็อกประตู หลังจากนั้น ก็หยิบโทรศัพท์มือถือที่ตกหล่นจากการถูกฉีกขาดเมื่อครู่นี้ขึ้นมา

หน้าจอแตกไปแล้ว ยังดีที่โทรศัพท์มือถือไม่ได้พังไปด้วย เฉินจื่อโร่วเลื่อนหาเบอร์โทรศัพท์ของทางหย่าหยุน ก่อนจะต่อสายกดโทรออกไป

ในตอนนี้ ทางหย่าหยุนกำลังหาโอกาสเพื่อที่จะเข้าไปพูดคุยกับสือมูเฉินอยู่ เมื่อเห็นสายเรียกเข้าจากเฉินจื่อโร่วแล้ว ก็รีบกดปิดเสียงโทรศัพท์ในทันที

เฉินจื่อโร่วโทรต่ออีกสองสามสายก็ไม่มีคนรับสายเลย ทันใดนั้นเองก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา จึงทำได้เพียงแค่โทรศัพท์ออกไปหาสือเพ่ยหลินเท่านั้น

แต่ทว่า เมื่อเขาเห็นสายเรียกเข้าของเธอแล้วนั้น ก็รีบกดตัดสายไปในทันที เธอโทรหาอีกครั้ง เขาถึงกับปิดเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว

เฉินจื่อโร่วนั่งอยู่ในห้องพักรับรอง สบตามองกระโปรงที่ถูกดึงจนฉีกขาดของตนเอง ในช่วงเวลานั้นเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี

ในตอนนั้นเอง เธอมองเห็นนามบัตรใบหนึ่งตกหล่นอยู่บนพื้น คล้ายกับว่าเป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายคนนั้นของเธอ

เฉินจื่อโร่วย่อตัวไปหยิบนามบัตรใบนั้นขึ้นมา Cui Industry Group ราวกับว่ากำลังทำพวกสิ่งทออยู่ เมื่อก่อนเธอเคยเห็นรายงานแบบนี้มาบ้าง

ตอนนี้เธออยากออกไปจากที่นี่ แทบจะมีเพียงแค่ผู้ชายคนนี้เท่านั้นแล้วที่จะสามารถมาส่งเสื้อผ้าให้ได้ ถึงแม้ว่าเฉินจื่อโร่วจะไม่ยินยอมโดยเด็ดขาดก็ตามที แต่ทว่า ก็ยังคงต่อสายโทรศัพท์ไปหา

ชุยซื่อฮว่ารับสายอย่างรวดเร็ว “สวัสดีครับ”

“ฉันคือเฉินจื่อโร่วนะคะ” หัวใจของเฉินจื่อโร่วร่วงลงต่ำ รู้สึกขายหน้าขึ้นมาเต็มทน แต่ทว่า ก็ยังคงขบกรามแน่นก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อว่า “ฉันอยู่ที่ห้องพักรับรองที่ชั้นหนึ่งของโรงแรมน่ะค่ะ เมื่อครู่นี้ไม่ทันได้ระวังก็เลยทำเสื้อผ้าเลอะไปหมดแล้ว คุณสามารถช่วยมาส่งเสื้อให้ฉันสักชุดได้ไหมคะ?”

“ย่อมได้อยู่แล้วล่ะครับ” น้ำเสียงตื่นเต้นของชุยซื่อฮว๋าดังลอยเข้ามา “จื่อโร่วครับ ผมจะให้ผู้ช่วยนำเข้าไปให้นะ”

“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ” เฉินจื่อโร่วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ครั้งหนึ่ง

สิบกว่านาทีหลังจากนั้น ที่ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น ตามมาด้วย เสียงของผู้ชายที่เอ่ยขึ้นมาว่า “จื่อโร่ว ผมมาส่งเสื้อครับ”

“ค่ะ” เฉินจื่อโร่วพึ่งจะเปิดประตูออกมา ชุยซื่อฮว๋าก็แทรกตัวเข้ามาแล้ว เขาสบตามองเธออย่างรวดเร็ว ด้วยนัยน์ตาที่เป็นประกาย “เสื้อผ้ามาส่งแล้วครับผม คุณลองสวมดูว่าใส่ได้หรือเปล่า”

เฉินจื่อโร่วรู้สึกรังเกียจสายตาของเขาที่ดูลา…ลามก เธอหมุนตัวกลับไป “คงจะได้นั่นแหละค่ะ คุณออกไปก่อนเถอะค่ะ”

ชุยซื่อฮว๋าพินิจพิเคราะห์เธออีกครั้ง หลังจากนั้นจึงยอมออกไปอย่างอาลัยอาวรณ์

ในตอนนี้ ที่เขตพักรับรอง หลานเสี่ยวถางกับสือมูเฉินนั่งอยู่คู่กัน ประจันหน้ากับทางหย่าหยุน

ราวกับว่าสามารถสัมผัสได้ถึงความอยากกลับบ้านของสือมูเฉินที่อยู่ภายในใจเอาไว้ได้ ทางหย่าหยุนลุกขึ้นยืนก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอาคะ ฉันได้ยินพี่เพ่ยหลินบอกมาว่า คุณอาชอบฟังเปียโนนี่คะ ฉันเล่นให้คุณอาฟังสักเพลง เป็นอย่างไรคะ?”

นัยน์ตาดำขลับของสือมูเฉินสั่นไหวในทันที “เอาสิ”

นัยน์ตาของทางหย่าหยุนเป็นประกายขึ้นมาในทันที ก่อนจะรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณอาอยากฟังเพลงไหนคะ?”

สือมูเฉินพินิจอยู่ครู่หนึ่ง “ถ้าอย่างนั้นเล่นเพลง Always In My Dream แล้วกัน!”

เมื่อทางหย่าหยุนได้ยินดังนั้น ก็ตกตะลึงในทันที ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอย่างเชื่องช้าว่า “คุณอาคะ ฉันเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ”

สือมูเฉินเอ่ยขึ้นชื่อเพลงขึ้นมาอีกเพลงหนึ่ง ทางหย่าหยุนก็ส่ายศีรษะไปมา “ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ”

หลังจากนั้น สือมูเฉินก็เอ่ยชื่อเพลงต่อขึ้นมาอีกสองสามเพลง สีหน้าของทางหย่าหยุนเริ่มดูไม่ดีมากขึ้นแล้ว เธอเอ่ยอย่างแพ้ราบคาบขึ้นมาว่า “คุณอาคะ ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยค่ะ คุณอาบอกเพลงที่เล่นง่าย ๆ หน่อยสักเพลงจะได้ไหมคะ?”

สือมูเฉินพินิจพิเคราะห์อย่างจริงจังจริง ๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เพลงเสี่ยวซิงซิงแล้วกัน ฉันคิดว่าเพลงนี้น่าจะเหมาะกับความสามารถของเสี่ยวทางนะ”

ทางด้านข้าง หลานเสี่ยวถางแทบจะกักเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่เล็กน้อย หรือว่า โดยปกติแล้วสือมูเฉินมักจะปฏิบัติต่อคนที่เขาชอบแบบนี้งั้นหรือ? ดังนั้นแล้ว หลังจากที่เลิกกันกับหลานเล่อซินแล้ว เขาก็โสดมาโดยตลอดเลยอย่างนั้นหรือ?

เมื่อนึกถึงหลานเล่อซินแล้ว หัวใจของหลานเสี่ยวถางก็สับสนว้าวุ่นขึ้นมาเล็กน้อย

เธอมีความสัมผัสกับพี่สาวคนนี้มากว่าสิบปีแล้ว แต่ทว่า กลับไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยว่าหลานเล่อซินชอบอะไร ไม่รู้ว่าปกติแล้วมีเพื่อนรู้ใจอะไรหรือเปล่า

ความรู้สึกที่หลานเล่อซินมีให้ต่อเธอนั้นเลือนรางเป็นอย่างมาก เหมือนว่าจะสบาย ๆ ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างอบอุ่นและมีมารยาทเป็นอย่างมาก แต่ทว่า กลับรู้สึกว่าความอบอุ่นอ่อนโยนนี้มันราวกับว่าขาดหายอะไรไปยางอย่าง

ในระหว่างตอนที่หลานเสี่ยวถางกำลังรำลึกความหลังอยู่นั้นเอง ทางหย่าหยุนก็เริ่มเล่นเพลงเสี่ยวซิงซิงแล้ว สือมูเฉินหยิบแก้วไวน์แดงขึ้นไปพลางจิบมันไปพลาง ก่อนจะหันไปเอ่ยถามหลานเสี่ยวถางที่อยู่ทางด้านข้างว่า “เล่นเปียโนเป็นไหมครับ?”

หลานเสี่ยวถางส่ายหน้า “เคยเรียนด้วยกันกับพี่สาวสองสามครั้งค่ะ แต่ทว่ามีแต่เธอที่เคยฝึกเล่น ฉันไม่มีเปียโน เล่นไม่ค่อย……”

สือมูเฉินได้ยินหลานเสี่ยวถางเอ่ยถึงหลานเล่อซิน แต่ทว่า สีหน้าของเขายังไม่แปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว เขาพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่เป็นไรครับ กลับบ้านไปผมจะสอนคุณให้ก็แล้วกันเนอะ”