บทที่ 34 คนของฉัน ใครหน้าไหนก็ไม่สามารมารังแกได้หรอกนะ!

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

หลังจากที่สือเพ่ยหลินเดินออกมาจากห้องรับรองแล้ว ก็ไม่ได้มุ่งตรงเข้าไปที่ห้องโถงใหญ่จัดงานเลี้ยงในทันที แต่ทว่ากลับยืนสูบบุหรี่อยู่ที่ด้านนอกตลอดแทน

เขาสูบบุหรี่มวนแล้วมวนเล่า จนกระทั่งบุหรี่ในกระเป๋าเสื้อสูทหมดลงแล้ว หลังจากนั้นถึงจะกลับเข้าไปในห้องโถงใหญ่ที่จัดงานเลี้ยง

ราวกับว่าอย่างกับมีวิญญาณมาคอยชี้นำทางให้เขาอยู่เลยก็ไม่ปาน เท้าของเขาก้าวเข้าไปที่เขตพักผ่อนโดยไม่รู้ตัว เป็นไปตามคาด มองจากที่ไกล ๆ ก็สามารถเห็นได้แล้ว สือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถางนั่งอยู่ด้วยกัน ทั้งสองคุยพูดคุยและหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ดูจากบรรยากาศแล้วคุยกันอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว

มือของสือเพ่ยหลินที่สอดอยู่ในกางเกงชุดสูทกำเข้าหากันแน่นโดยทันที นัยน์ตาของเขาฉายประกายความอาฆาตออกมา ก่อนเร่งความเร็วของฝีเท้าให้เพิ่มมากขึ้น

แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง ที่ด้านหลังกลับมีเสียงของบิดาดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง “เพ่ยหลิน”

สือเพ่ยหลินหมุนตัวกลับไปมองเห็นสือมูชิงและที่ด้านข้างของบิดากลับมีจินเยว่ฉียืนอยู่ด้วย เขากักเก็บโทสะเอาไว้ในหัวใจ ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจินเยว่ฉีเล็กน้อย “คุณจินก็อยู่ด้วยหรือครับ”

สือมูชิงเอ่ยขึ้นมาว่า “เพ่ยหลิน เยว่ฉีพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ สองสามปีมานี้หนิงเฉิงแปรเปลี่ยนไปเยอะมาก พรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์พอดี แกพาเยว่ฉีไปเที่ยวในเมือง ให้คุ้นเคยเสียหน่อยแล้วกันนะ”

สือเพ่ยหลินพยักหน้า ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับจินเยว่ฉี “ถ้าอย่างนั้นแล้วพรุ่งนี้คุณจินก็ให้ผมดูแลเถอะนะครับ!”

“ขอบคุณนะคะคุณสือ” จินเยว่ฉียิ้มหวานออกมาหนึ่งครั้ง “ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ขอรบกวนให้พรุ่งนี้คุณสือต้องเป็นไกด์นำเที่ยวแล้วละค่ะ”

“เป็นโอกาสยากที่จะได้รับมาเลยครับผม” สือเพ่ยหลินแสดงท่าทางวอนขอออกมาครั้งหนึ่ง

ที่ประตูของห้องโถงใหญ่ เมื่อเฉินจื่อโร่วที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามานั้น ก็เข้ามาเห็นเหตุการณ์นี้พอดี นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เป็นเพราะว่าโกรธ จึงทำให้เดิมทีใบหน้าที่มีแต่ความสวยสดงดงามของเธอเต็มไปด้วยรอยยับยู่ยี่เล็กน้อย

อีกด้านหนึ่ง ชุยซื่อฮว๋ากับเก็บสีหน้าของเธอเอาไว้อยู่ในสายตา ก่อนที่นัยน์ตาจะฉายประกายครุ่นคิดออกมา

“จื่อโร่วครับ ดูเหมือนว่าเต่าทองคำของคุณจะวิ่งหนีไปกับคนอื่นแล้วนะครับนั่น?” ชุยซื่อฮว๋าที่ยืนอยู่ทางด้านข้างหันไปเอ่ยพูดกับเฉินจื่อโร่ว

“เกี่ยวอะไรกับคุณด้วยละคะ?!” เฉินจื่อโร่วกระทืบเท้าไปมา ก่อนจะใช้สายตาราวกับจะฉีกเลือดฉีกเนื้อมองไปยังจินเยว่ฉี

“ไม่อะไรหรอกนะครับ ก็แค่อยากจะบอกว่า ความจริงใจที่ผมมีต่อคุณ มันไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยนะครับ” ชุยซื่อฮว๋าเข้าใกล้เฉินจื่อโร่วมากขึ้น “ถ้าหากว่าคุณยอมที่จะหันกลับมา ผมจะรอคุณอยู่ข้างหลังเสมอนะครับ” พูดจบ เขาก็สาวเท้าออกไป แล้วหายไปในกลุ่มคน

ที่เขตพักผ่อน ทางหย่าหยุนเล่นเพลงเสร็จแล้ว กำลังจะเดินเข้าไปพูดคุยกับสือมูเฉินพอดี แต่ทว่ากลับค้นพบว่า ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ สือมูเฉินก็หายไปเสียแล้ว!

เธอชะงักนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หาไปสองสามรอบแล้ว ก็ยังไม่พบเงาของสือมูเฉินเลย ก่อนจะขบฟันแน่นด้วยความโมโหอย่างอดไม่ได้!

อันที่จริงแล้ว ในตอนนี้สือมูเฉินได้กล่าวลากับนายท่านแห่งตระกูลจินเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะกลับไปด้วยกันกับหลานเสี่ยวถางแล้ว

“ผมดื่มมา คุณกล้าขับรถไหมครับ?” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น

หลานเสี่ยวถางก็เรียบขับรถมาเดือนหนึ่งแล้ว เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า “ฉันจะลองดูค่ะ”

“ครับ” สือมูเฉินนั่งลงที่เบาะข้างคนขับ สบตามองหลานเสี่ยวถางที่จับเกียร์อย่างประหม่า ปลดเบรกแล้วเหยียบคันเร่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ อย่างอดไม่ได้ว่า “เสี่ยงถางครับ ผ่อนคลายหน่อย อย่าทำให้ตัวเองเป็นคนขับรถผู้หญิงมือใหม่สิครับ……”

“ค่ะ ฉันจะพยายามผ่อนคลายค่ะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้น “ฉันจะพยายามทำให้ตัวเองเป็นสารถีผู้เชี่ยวชาญเอง”

“สารถีผู้เชี่ยวชาญงั้นหรือ?” สือมูเฉินเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ “คุณดูไม่เชี่ยวชาญขนาดนี้ จะสามารถเป็นสารถีผู้เชี่ยวชาญได้อย่างไรกันครับ?”

หลานเสี่ยวถางกำลังตั้งหน้าตั้งตาเปลี่ยนเกียร์ ยังไม่ได้เข้าใจความหมายที่แฝงมาของเขา ก่อนจะขับมุ่งตรงไปได้ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นถึงพึ่งจะมีปฏิกิริยาตอบกลับมา เมื่อครู่นี้เขาหมายถึง……

สือมูเฉินเห็นสีหน้าบนใบหน้าของเธอ ก็เข้าใจได้ว่าเธอดึงสติกลับคืนมาแล้ว ก่อนจะหัวเราะร่าออกมาอย่างอดไม่ได้ทันที

เดินทีหลานเสี่ยวถางก็ไม่กล้าที่จะหันศีรษะกลับไปมองสือมูเฉิน ถึงแม้ว่าเธอจะเรียนขับรถมาแล้วหนึ่งเดือน แต่ทว่า มันเป็นตอนกลางวัน ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว จึงรู้สึกว่าไม่เหมือนกันเลยจริงๆ “หากคุณเอ่ยขึ้นมาอีก นั่นก็เป็นการรบกวนสมาธิฉันขับรถแล้วนะคะ ประเดี๋ยวชนอะไรเข้าฉันจะไม่รับผิดชอบนะ……”

“เรื่องรับผิดชอบ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชายก็พอครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย

ขับมาได้ครู่หนึ่ง หลานเสี่ยวถางก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “มูสือคะ พี่ชายขอคุณคิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับตระกูลจินหรือคะ?”

“อืม” สือมูเฉินเอ่ย “แต่ว่านะ ตระกูลจินคงจะยังไม่ทราบเรื่องความสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของคุณกับสือเพ่ยหลิน ยิ่งไม่รู้จักคนนอกของเขาหรอกครับ”

หลานเสี่ยวถางพยักหน้าหงึกหงัก จู่ ๆ ก็เหยียบคันเร่งขึ้นมาเล็กน้อย “ฉันจะต้องบอกกับเยว่ฉีให้ได้ ว่าอย่าลงมาที่กองไฟกองนี้เป็นอันขาด!”

ทางด้านข้าง สือมูเฉินคว้าจับเข้าที่มือจับโดยอัตโนมัติทันที “เสี่ยงถางครับ คันเร่งไม่ใช่กองไฟนะครับ คุณไม่ต้องใช้แรงเหยียบคันเร่งมากขนาดนี้หรอก”

“อ้อ ขอโทษค่ะ เมื่อครู่นี้ตื่นเต้นมากไปหน่อย” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขอโทษขึ้น

“พรุ่งนี้ ไปเป็นเพื่อนผมไปที่ที่หนึ่งหน่อยสิครับ ทางโรงเรียนสอนขับรถคุณก็โทรลาพวกเขาเสีย” จู่ ๆ สือมูเฉินก็เอ่ยขึ้นมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางเอ่ยขึ้นมาว่า “จะไปไหนงั้นหรือคะ?”

“ไปเยี่ยมคุณแม่ของผมครับ” น้ำเสียงของสือเพ่ยหลินแปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขึ้นเล็กน้อย

หลานเสี่ยวถางเบิกตากว้าง คุณแม่ของสือเพ่ยหลินงั้นหรือ?

แทบจะนับครั้งได้ ตั้งแต่ที่เธอถูกตระกูลหลานรับมาเลี้ยง ก็แทบจะไม่ได้ยินคนเอ่ยถึงคุณแม่ของสือมูเฉินเลย

ไม่ว่าจะเป็นที่ตระกูลหลานก็ดี หรือแม้จะเป็นหลังจากที่แต่งเข้าตระกูลสือแล้วก็ดี เธอเคยได้ยินวันคล้ายวันเกิดของนายท่านแห่งตระกูลสือกับวันถือแก่กรรมของบรรพบุรุษ แต่ทว่า กลับไม่เคยได้ยินเรื่องราวใด ๆ เกี่ยวกับนายหญิงแห่งตระกูลสือเลย

ราวกับว่า นี่กลับกลายเป็นคำสั่งห้ามไปแล้ว ไม่มีใครเอ่ยกล่าวถึง

ดังนั้น เมื่อได้ยินว่าสือมูเฉินจะไปเยี่ยมมารดาของตนเอง หลานเสี่ยวถางจึงตกตะลึง ภายในหัวใจจึงล่องลอยขึ้นแล้วหวนกลับไปนึกถึงเรื่องราวเก่า ๆ โดยไม่รู้ตัว

ในเมื่อสือมูเฉินเอ่ยถึงมารดาของตนเองต่อหน้าเธอแล้ว ถ้าอย่างนั้นแล้ว ภายในหัวใจของเขา ก็คงจะถือว่าเธอเป็นคนของตนเองแล้วสินะ มีเพียงแค่ความเห็นพ้องต้องกันจริง ๆ เท่านั้น เขาถึงจะแบ่งปันความลับของเขาให้กับเธอได้รับรู้ด้วย

การแต่งงานระหว่างคนสองคนที่ไม่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจดทะเบียนสมรสกันแล้ว อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเกิดขึ้นอีก แต่ทว่า ภายในหัวใจของหลานเสี่ยวถางยังคงมีคำถามค้างคาอยู่คำถามหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมสือมูเฉินถึงเลือกเธอ

ไม่ใช่บอกว่าเธอดูแคลนตนเองมากเกินไป ไม่มีความปลอดภัยเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอกลับรับรู้อย่างแจ่มแจ้ง หลังจากที่เธอจบงานแต่งงานสองปีระหว่างเธอกับสือเพ่ยหลินแล้ว สภาพของเธอเป็นอย่างไร

แต่ทว่าคำพูดของเขาในวันนี้กลับทำให้ความสงสัยใจหัวใจของเธอดำเนินมาถึงจุดเปลี่ยนแล้ว ทำให้เธอสามารถเชื่อถือได้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ว่าเขาตั้งใจที่จะแต่งเธอมาเป็นภรรยาจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่เอ่ยถึงหัวข้อนี้ขึ้นมาแล้วนั้น บรรยากาศภายในรถกลับไม่ได้เป็นเหมือนดั่งเมื่อครู่นี้ไปเลย ดังนั้นแล้ว ตลอดทางกลับบ้านนั้น ทั้งสองคนก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรขึ้นมากันอีกเลย

ที่เงียบสงบเหมือนกันนั้น ยังมีรถของสือเพ่ยหลินอีกคันหนึ่ง

หลังจากที่เขาพูดคุยกับจินเยว่ฉีเสร็จแล้วนั้น ก็ขอตัวกล่าวลาออกมาจากงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว

เขาขับรถมาจนถึงหน้าประตูอยู่แล้ว ถึงพึ่งจะนึกถึงเฉินจื่อโร่วขึ้นมาได้ แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง ที่กระจกหลังก็เผยให้เห็นเงาของเฉินจื่อโร่วพอดี

สือเพ่ยหลินหยุดรถ รอจนเธอเดินขึ้นรถมา ก่อนจะเคลื่อนรถออกไปอีกครั้ง

ตลอดระยะทางเงียบมาเป็นระยะเวลาครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วเฉินจื่อโร่วก็อดไม่ได้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “พี่เพ่ยหลินคะ ฉันทำผิดอะไรหรือเปล่าคะ? พี่โกรธอะไรฉันหรือเปล่าคะ?”

“ไม่มี” สือเพ่ยหลินสบตามองเธอ “เอาเสื้อผ้ามาจากไหนน่ะ?”

เฉินจื่อโร่วกุลีกุจออธิบายในทันทีว่า “เสื้อผ้าของฉันมันขาดในตอนที่อยู่กับพี่ด้วยกันที่ห้องรับรองค่ะ ดังนั้นฉันก็เลยไหว้วานเพื่อนให้ช่วยซื้อมาให้ใหม่ชุดหนึ่ง”

“อืม” สือเพ่ยหลินพยักหน้าหงึกหงัก

เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยนอีกครั้งหนึ่งว่า “พี่เพ่ยหลินคะ พรุ่งนี้ฉันทำอาหารให้พี่ทานที่บ้านดีกว่า ฉันพึ่งจะเรียนทำอาหารชนิดใหม่มาหนึ่งอย่าง……”

สือเพ่ยหลินส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก พรุ่งนี้ฉันมีธุระ ไม่อยู่ทั้งวัน เธอไม่ต้องไปหาฉันที่นู่นหรอกนะ”

เมื่อนึกขึ้นได้ถึงเหตุการณ์ที่พบเจอใบห้องโถงใหญ่ของงานเลี้ยงแล้วนั้น จู่ ๆ หัวใจของเฉินจื่อโร่วกลับหนักอึ้ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาในทันทีว่า “มีธุระอะไรงั้นหรือคะ?”

“ที่บริษัทมีเรื่องนิดหน่อย เธอไม่ต้องกังวลหรอก” สือเพ่ยหลินเอ่ยพูดขึ้น ก่อนจะหันศีรษะไปพรมจูบให้กับเฉินจื่อโร่วครั้งหนึ่ง “สรุปแล้วเป็นเด็กดีเถอะ หากฉันมีเวลาจะไปหาเธอนะ”

เฉินจื่อโร่วกลับไม่ได้รู้สึกดีกับการกระทำที่จู่ ๆ ก็อ่อนโยนขึ้นของสือเพ่ยหลินเลยแม้แต่นิดเดียว เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “พี่เพ่ยหลินคะ พี่ยังจะแต่งงานกับฉันอยู่ไหมคะ?”

“ย่อมแต่งแน่นอน แต่ว่าเธอจะต้องตั้งครรภ์เร็วๆ เข้าละ มิฉะนั้นแล้วทางฝั่งพ่อของฉันอาจจะรับมือยากขึ้น” สือเพ่ยหลินพูดจบ จู่ ๆ ในสายตาก็ฉายภาพวันนี้ที่ได้มองเห็นหลานเสี่ยวถางขึ้นมาในทันที

เขารู้สึกลำคอตีบตันขึ้นมาเล็กน้อย เลือดภายในร่างกายไหลเวียนอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาเข้มขึ้นมากกว่าเดิม “คืนนี้ไปที่ที่ฉันอยู่แล้วกัน พรุ่งนี้ฉันค่อยไปส่งเธอกลับ”

นัยน์ตาของเฉินจื่อโร่วเป็นประกายขึ้นมาทันที ภายในหัวใจอดที่จะคิดไม่ได้ หรือว่าเป็นเพราะเธออ่อนไหวมากเกินไปกันนะ? หรือว่าอันที่จริงแล้วเขาไม่ได้จะเปลี่ยนใจ?

อีกอย่างหนึ่ง เธอทดลองดูแล้ว วันนี้กับวันพรุ่งนี้เป็นวันตกไข่ของเธอ หากทำภายในสองสามวันนี้ จะมีประสิทธิภาพมากที่สุด!

เมื่อเฉินจื่อโร่วคิดมาได้ถึงตรงนี้แล้ว ร่างทั้งร่างจึงเป็นเปี่ยมไปด้วยเป้าหมาย

วันที่สอง หลานเสี่ยวถางตามสือมูเฉินออกมา ก่อนจะเห็นเขาถือกระเป๋าใบใหญ่ขึ้นรถไปด้วยหนึ่งใบ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “มูเฉินคะ คุณแม่……ที่ท่านอยู่ไกลมากเลยหรือคะ?”

“อืม ต้องขับรถวันหนึ่งแหนะ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น “พวกเราจะกลับมาในวันจันทร์”

“ค่ะ” หลานเสี่ยวถางไม่ได้ถามอะไรต่อ ก่อนจะหยักหน้าหงึกหงัก

ในตอนที่ทั้งสองคนขับรถออกมากันแล้วนั้น ท้องฟ้ามืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย เมื่อผ่านร้านสะดวกซื้อหน้าหนึ่ง สือมูเฉินก็หยุดรถแล้วลงไปซื้อของกิน

สือเพ่ยหลินออกมาตั้งแต่เช้ามืดแล้ว กำลังจะขับรถไปรับจินเยว่ฉีที่ตระกูลจินเพื่อมาทานอาหารเช้า ในตอนที่เขาขับผ่านร้านสะดวกซื้อร้านหนึ่งนั้นเอง จู่ ๆ เขาก็เห็นรถยนต์ยี่ห้อหรูที่คุ้นตาคันหนึ่ง

เขาชะลอความเร็วอย่างไม่ลังเล ในตอนที่ผ่านไป ก็พยายามมองไปทางด้านข้างอย่างสุดความสามารถครั้งหนึ่งทันที

เมื่อได้มองเห็นแล้ว นัยน์ตาดำขลับของเขาหดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็ว ที่เบาะข้างคนขับของสือมูเฉินนั้นเอง คนที่นั่งอยู่คล้ายกับว่าจะเป็นหลานเสี่ยวถางเลย?!

เขาเหยียบเบรกอย่างรุนแรง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้ความรู้สึกของตนเองเป็นอย่างไร เปิดประตูรถก็รีบร้อนลงไปเสียแล้ว

หลานเสี่ยวถางก้มหน้ามองดูโทรศัพท์ รู้สึกว่ามีคนเดินเข้ามาหา เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นไปมอง ทันใดนั้นเองก็สบสายตาเข้ากับนัยน์ตาดุดันของสือเพ่ยหลินทันที

เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อนึกขึ้นได้ที่สือมูเฉินเอ่ยขึ้นเมื่อวานว่าเธอต้องเรียนรู้ที่จะรู้จักปกป้องตนเองแล้ว ดังนั้น จึงไม่ได้สนใจ แล้วก็ยิ่งไม่ได้เปิดประตูรถด้วย

เมื่อถูกหมางเมิน ไฟโทสะภายในหัวใจของสือเพ่ยหลินยิ่งพุ่งสูงมากขึ้น เขายื่นมือออกไปเคาะกระจกฝั่งข้างคนขับรถสองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกคำสั่งเสียงเย็นขึ้นมาว่า “หลานเสี่ยงถาง ปลดล็อกนะ”

ในตอนนั้นเอง สายตาของหลานเสี่ยวถางมองเห็นสือมูเฉินที่เดินถือข้าวของกลับมาเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เธอจึงปลดล็อกประตู ก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “คุณสือมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

ตอนนี้ยังไม่ทันที่จะเจ็ดโมงเช้าดีเลย เขาขับรถออกมาก็เป็นเพราะว่าจะไปรับจินเยว่ฉีมาทานอาหารเช้า หลานเสี่ยวถางอยู่บนรถของสือมูเฉินในตอนเช้าแบบนี้ มันหมายความว่าอะไร ทำไมสือเพ่ยหลินจะไม่รู้ละ!

สายตาของเขาล็อกตรงไปที่เธอ “หลานเสี่ยวถาง เมื่อคืนวานคุณนอนกับอาของผมแล้วงั้นหรือ?!”

หลานเสี่ยวถางเห็นเขาที่ระเบิดความโกรธออกมาแล้ว ก่อนที่จะอดยิ้มขำออกมาไม่ได้ เธอฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ใช่ค่ะ สือเพ่ยหลิน ไม่แน่ว่าหลังจากนี้ต่อไป คุณอาจจะต้องเรียกฉันว่าอาสะใภ้แล้วก็ได้นะคะ!”

นัยน์ตาดำขลับของสือเพ่ยหลินหดตัวเล็กลง รู้สึกเพียงแค่ว่ามีมือข้างหนึ่งฟาดลงมาเข้าที่ใบหน้าของเขาอย่างจัง แผ่นอกเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง ราวกับว่าแทบจะไม่ได้คิดอะไรเลย ก็ยื่นมือออกไป คิดอยากที่จะหักคอของหลานเสี่ยวถาง

“เพ่ยหลิน” ในตอนนั้นเอง น้ำเสียงของสือมูเฉินก็ดังขึ้นที่ทางด้านหลังของสือเพ่ยหลิน เขายื่นมือเข้ามาคว้าจับมือของสือเพ่ยหลินเอาไว้ “เมื่อวานนายลงไม้ลงมือกับเสี่ยวถาง ฉันจะไม่ยุ่งแล้ว แต่ทว่าในเมื่อตอนนี้เธอเป็นคนของฉันแล้ว ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไม่ให้ใครหน้าได้มารังแกเธอได้อีกต่อไปแล้ว!”

“คุณอาครับ!” สือเพ่ยหลินกระชากมือของตนเองกลับไป ก่อนจะจ้องหน้าสือมูเฉินเขม็งแล้วเอ่ยถามขึ้นด้วยความโกรธว่า “ทำไมถึงเป็นเธอละครับ?!”