“เป็นเพราะว่าเมื่อวานที่ห้องโถงใหญ่ของงานเลี้ยง จู่ ๆ ก็ชอบเสี่ยวถางขึ้นมาไง” สือมูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางราบเรียบ
สือเพ่ยหลินกำมือจับขอบประตูรถเอาไว้แน่น ก่อนจะใช่สายตาแหลมคมสบตามองไปยังสือมูเฉิน “อาครับ อาก็รู้ เธอเคยเป็นภรรยาของผมนะ?! อาไม่รู้สึกอึดอัดบ้างหรือไงครับ?”
สือมูเฉินยกยิ้มบางขึ้นที่มุมปากครั้งหนึ่ง อย่างเรียบเฉย แต่ทว่ากลับเอ่ยวาจากลับไปอย่างเหมาะสมว่า “เพ่ยหลิน นายก็พูดแล้วนี่ นั้นคือเมื่อก่อน ในเมื่อตอนนี้พวกนายก็ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันแล้ว ฉันจะต้องอึดอัดกับอะไรอีกละ?”
สือเพ่ยหลินสบตามองสือมูเฉินอย่างดุดันครั้งหนึ่ง รู้สึกว่าทางฝั่งของเขานั้นเอ่ยอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้น จึงเบนสายตาหันกลับไปมองทางหลานเสี่ยวถาง “หลานเสี่ยวถาง อาของฉันก็แค่เล่น ๆ กันคุณก็เท่านั้น คุณจะต้องเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน!”
หลานเสี่ยวถางเลิกคิ้ว “เรื่องที่เสียใจที่สุด ฉันผ่านมันมาแล้วละค่ะ ภายภาคหน้า ไม่ว่าฉันจะพบเจอกับใครก็ตาม ก็คงจะไม่ได้เลวร้ายไปกว่าอดีตสามีของฉันแล้วละมั้งคะ? แล้วจะมีอะไรที่จะต้องมาเสียใจภายหลังได้อีกละคะ!”
“คุณ!” นัยน์ตาดำขลับของสือเพ่ยหลินหดเกร็งแน่น เขาสบตามองหลานเสี่ยงถาง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาทีละคำทีละประโยคว่า “คนที่อาของผมชอบนั่นก็คือหลานเล่อซินพี่สาวของคุณ คุณ มันก็เป็นได้แค่ตัวแทนก็เท่านั้นแหละ!”
“คนที่ฉันชอบจะเป็นใคร ฉันรู้ตัวเองดี ไม่จำเป็นที่จะต้องให้นายมาบอกกับเสี่ยวถางหรอก!” สือมูเฉินใช้สายตาที่เต็มไปด้วยคำเตือนสบตามองไปยังสือเพ่ยหลิน “พวกเราจะไปกันแล้ว อย่ามาขวางทางตรงนี้เลย!”
สือเพ่ยหลินยังคงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “อาครับ ถ้าหากว่าอาจะอยู่กับเธอจริงๆ แล้วละก็ หากหลานเล่อซินกลับมา คุณอาจะอธิบายว่าอย่างไรครับ?”
“ฉันทำอะไร ไม่จำเป็นต้องอธิบายต่อใคร” สือมูเฉินดึงสือเพ่ยหลินให้ออกห่าง ก่อนจะปิดประตูรถ “นี่คือชีวิตของฉัน ฉันรับผิดชอบเอง”
สือเพ่ยหลินเห็นรถยนต์ของทั้งสองคนหายไปจากสายตา เขายกเท้าขึ้นมาแล้วแตะไปที่ทางด้านข้างหนึ่งครั้ง “แม่งเอ้ย!”
บนรถ สือมูเฉินเปิดเครื่องเล่นเพลง ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลานเสี่ยวถางว่า “คุณอยากฟังอะไรครับ?”
หลานเสี่ยวถางยังคงคิดถึงคำพูดที่สือเพ่ยหลินเอ่ยขึ้นเมื่อครู่นี้อยู่ ถึงแม้ว่า เธอจะรู้ว่าสือเพ่ยหลินจงใจทำให้เธอโกรธ แต่ทว่า เธอไม่สามารถปฏิเสธได้เลย ว่าเธอก็ถูกผลกระทบเล่นงานอยู่เล็กน้อยเหมือนกัน
เธอก็อยากที่จะรู้ ว่าท้ายที่สุดแล้วสือมูเฉินชอบหลานเล่อซินหรือเปล่า อีกทั้งก็กังวล หากว่าหลานเล่อซินกลับมาแล้ว เธอจะต้องย้ายไปที่ไหนอีก?
“เสี่ยวถางครับ?” สือมูเฉินเห็นท่าทางของหลานเสี่ยวถางที่เหม่อลอย ทันใดนั้นเองก็เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที
เขายื่นมือเข้าไปจับมือของเธอ สอดแทรกปลายนิ้วเข้ากับฝ่ามือ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผ่านไปแล้ว หลานเล่อซินเป็นเพียงแค่คู่หมั้นคู่หมายของผมก็เท่านั้น แต่ตอนนี้ เธอก็ไม่ได้เป็นอะไรต่อผมเลยไม่ว่าเธอจะกลับมาหรือไม่นั้น สำหรับผมแล้ว มันไม่มีความหมายอะไรเลยนะครับ”
หลานเสี่ยวถางหันไปมองสือมูเฉินอย่างตกตะลึง
เขา ไม่ได้มีความรู้สึกอะไรต่อหลานเล่อซินแล้วอย่างนั้นหรือ?
เขายิ้มบางก่อนจะมองเธอ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเย้าหยอก “หึงแล้วหรือครับ?”
หลานเสี่ยวถางหน้าแดงเล็กน้อย ก่อนจะรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ค่ะ”
“ไม่ว่าจะหึงหรือไม่หึงอย่างไรก็ตาม สรุปแล้ว หลังจากนี้ก็อย่าคิดมากนะครับ” สือมูเฉินเอ่ยขึ้น
“อืม” หลานเสี่ยวถางพยักหน้า จู่ ๆ ก็รู้สึกเพียงแค่ว่าหัวใจเบาหวิวขึ้นมาในทันที ร่างทั้งร่างก็ผ่อนคลายลงไปอยู่มาก
ทั้งสองคนขับรถมุ่งหน้าลงไปทางใต้ของเขตรอบนอกของเมือง ในตอนเที่ยง พวกเขาทั้งสองคนมาเดินทางมาถึงอู๋เฉิง แล้วก็ขับรถต่ออีกสามชั่วโมง ก็มาถึงเมืองเสวียหลานที่สือมูเฉินเคยเอ่ยถึงแล้ว
แต่ทว่าในช่วงเวลานั้นเอง ในโรงพยาบาลหนิงเฉิง เฉินจื่อโร่วกำลังหนังเผชิญหน้ากับคุณหมออยู่ แล้วกำลังรอผลตรวจจากคุณหมอด้วยความตื่นเต้น
คุณหมอเอ่ยขึ้นมาว่า “เฉินจื่อโร่วใช่ไหมครับ ร่างกายของคุณไม่เป็นปัญหาอะไรครับ มดลูกกับการตกไข่ก็เป็นปกติดีมาก ถ้าหากว่าเป็นเวลานานแล้วคุณยังไม่ตั้งครรภ์ ถ้าอย่างนั้นแล้วขอให้คุณลองทำจิตใจให้ผ่อนคลาย มีบางครั้งถ้าหากว่าอารมณ์ตื่นเกร็งก็จะสามารถส่งผลกระทบต่อการตั้งครรภ์ได้นะครับ”
เฉินจื่อโร่วเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหมอคะ พวกเราอยู่ด้วยกันมาสามเดือนแล้วนะคะ แทบจะอยู่ด้วยกันทุกวัน มันไม่ควรจะ……”
คุณหมอเอ่ยขึ้นด้วยความขบขัน “พึ่งจะสามเดือนเองงั้นหรือครับ? มีคู่สามีภรรยาอยู่หลายคู่ที่ไม่มีปัญหาอะไร ปีกว่าถึงจะตั้งครรภ์ คุณยังไม่ถึงครึ่งปีเลย รีบร้อนไปทำไมละครับ?!”
เฉินจื่อโร่วส่ายหน้าก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “คุณหมอคะ สถานการณ์ของฉันค่อนข้างจะพิเศษ ดังนั้นแล้วก็เลยอยากที่จะมีลูกเร็วหน่อยน่ะค่ะ คุณหมอพอจะมีวิธีการพิเศษอะไรหรือเปล่าคะ ที่จะสามารถทำให้ฉันสามารถตั้งครรภ์ได้ภายในเดือนนี้เลยน่ะค่ะ?”
คุณหมอส่ายหน้า “ไม่มีครับ การตั้งครรภ์ไม่ใช่การเล่นเกมนะครับ คุณคิดว่าทุกอย่างมันจะมีทางลัดไปหมดเลยหรือไงกันครับ?!”
เฉินจื่อโร่วหมดคำจะเอ่ย ก่อนจะออกมาพร้อมกับหัวใจที่หนักอึ้ง รู้สึกเพียงแค่ว่ารีบร้อนและกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าตระกูลสือต้องการที่จะแต่งงานเพื่อเชื่อสัมพันธ์กับตระกูลจิน ถ้าหากสือเพ่ยหลินถูกใจจินเยว่ฉีขึ้นมา ถ้าอย่างนั้นแล้ว เฉินจื่อโร่วก็จะไม่มีทางชนะเลยแม้แต่นิดเดียว! ดังนั้น เดือนนี้เธอจำเป็นที่จะต้องตั้งครรภ์แล้วจริงๆ!
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง เฉินจื่อโร่วเดินออกมาจากโรงพยาบาล ก็มองเห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่ง ร่างของเธอแข็งเกร็งขึ้นมาในทันที ก่อนจะมองตามรถยนต์คันนั้นไปด้วยสายตาอาฆาต
ไม่นานนัก ก็มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมาจากร้านอาหารตรงข้ามกับโรงพยาบาล มีการพูดคุยหยอกล้อกันอย่างออกรสออกชาติ นั่นก็คือสือเพ่ยหลินกับจินเยว่ฉี!
วันนี้เขาไม่ได้บอกหรอกหรือว่าตอนกลางวันมีประชุมนะ? บอกว่าจะต้องจัดการธุระที่บริษัททั้งวันนี่? ทำไมถึงออกมาเดตกับจินเยว่ฉีได้แบบนี้กันล่ะ!
ร่างทั้งร่างของเฉินจื่อโร่วเย็นเฉียบและสั่นเทา เมื่อเห็นสือเพ่ยหลินกับจินเยว่ฉีขึ้นรถกันไปแล้ว เธอแทบจะไม่ได้คิดเลย ก่อนจะรีบต่อสายโทรศัพท์หาสือเพ่ยหลินในทันที
สือเพ่ยหลินได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ก่อนจะเห็นว่าเป็นชื่อของเฉินจื่อโร่ว เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกดรับสาย ไม่รอให้เธอได้เอ่ยอะไร เขาก็เอ่ยปากขึ้นมาก่อนว่า “ฉันกำลังยุ่งอยู่ ถ้ามีธุระรอให้เสร็จก่อนแล้วค่อยคุยนะ”
เมื่อได้ยินสือเพ่ยหลินรับสายอย่างไร้อารมณ์แล้ว เฉินจื่อโร่วรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างทั้งร่างแข็งเย็น เธออ้าปาก อยากจะเอ่ยอะไรสักประโยค เขาก็ตัดสายโทรศัพท์ไปแล้วเรียบร้อย
ตามมาด้วย เธอเบิกตากว้างมองสือเพ่ยหลินออกรถไป แล้วหายออกไปจากสายตา
“สือเพ่ยหลิน!” เฉินจื่อโร่วร้องเรียกเสียงดังอยู่ทางด้านหลัง แต่น่าเสียดาย ไม่ได้มีใครได้ยินเสียงเรียกจากเธอเลย
ในช่วงเวลาต่อมา เฉินจื่อโร่วรู้สึกว่าตนเองกำลังทุกข์ทรมานอยู่
แทบจะไม่ได้ทานอะไรเลยทั้งวัน เดิมทีเธอก็ร่างกายอ่อนแอเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้เริ่มเจ็บกระเพาะขึ้นมา เฉินจื่อโร่วหิวจนเป็นลมล้มพับลงไป ทรมานทั้งร่าง จู่ ๆ สายตากลับเป็นประกายขึ้นมาในทันที
เป็นตอนห้าโมงเย็นที่สือเพ่ยหลินได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนบ้านของเฉินจื่อโร่ว บอกว่าเฉินจื่อโร่วเป็นลมอยู่ที่หน้าประตู เบอร์โทรศัพท์เบอร์สุดท้ายที่ติดต่อกันเป็นเขา ให้เขารีบเข้ามาดู
ในเมื่อหลับนอนด้วยกันมาสามเดือนแล้ว เมื่อได้รับสายสือเพ่ยหลินก็ได้สติกลับคืนมาในทันที เขาเอ่ยขอโทษต่อจินเยว่ฉี หลังจากนั้นก็เร่งรีบเดินทางไปยังบ้านของเฉินจื่อโร่วทันที
ในตอนนั้นเธอตื่นขึ้นมาแล้ว เมื่อเห็นสือเพ่ยหลินเดินเข้ามาหา จึงเผยรอยยิ้มอย่างอ่อนแรงให้กับเขา “พี่เพ่ยหลินคะ……”
เขาสบตามองใบหน้าไร้สีเลือดของเธอ ก่อนที่จะรู้สึกปวดหัวใจขึ้นมาอย่างรวดเร็ว “โร่วโร่ว เกิดอะไรขึ้น? ฉันพาเธอไปส่งที่โรงพยาบาลดีไหม?”
เฉินจื่อโร่วค่อย ๆ ขยับเข้าไปในอ้อมกอดของสือเพ่ยหลินอย่างเชื่องช้า “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่ไปโรงพยาบาลหรอก ฉันต้องการให้พี่อยู่บ้านเป็นเพื่อนกับฉัน”
“แต่ว่าร่างกายของเธอ——” สือเพ่ยหลินกอดเธอเอาไว้หลวมๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน
“โรคกระเพาะของฉันกำเริบ ทานยาแล้ว ดีขึ้นมากแล้วค่ะ” เฉินจื่อโร่วเอ่ยพูดไป ก่อนที่หยาดน้ำตาจะไหลออกมาอย่างน่าเวทนา “พี่ไม่อยู่บ้าน ฉันอยู่คนเดียวเลยทานข้าวไม่ลงเลยค่ะ”
“ฉันไม่ได้ทำงานยุ่งอยู่หรือไง?” สือเพ่ยหลินเอ่ยอย่างปลอบประโลมขึ้นมาว่า “เอาละ ไม่ต้องร้องแล้ว วันนี้กับพรุ่งนี้ฉันจะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอเองนะ”
“จริงหรือคะ?” นัยน์ตาของเฉินจื่อโร่วเป็นประกาย ก่อนจะยกมือขึ้นไปคล้องรอบลำคอของสือเพ่ยหลินเอาไว้ แล้วพรมจูบเข้าที่ใต้คางของเขา “สามีดีที่สุดเลยค่ะ”
สือเพ่ยหลินถูกเธอเอ่ยเรียกว่า ‘สามี’ ก็เลยรู้สึกใจลอยเล็กน้อย ลูกกระเดือกของเขาขยับขึ้นลง แต่ทว่าภายในดวงตากลับฉายเป็นภาพของหลานเสี่ยวถางที่ได้เจอกันวันนี้
เขาสวมใส่กระโปรงสีขาว นั่งอยู่บนรถยนต์คันหรูสีดำ สีหน้าท้าทาย ราวกับว่าเป็นความรู้สึกบางอย่างที่ดึงดูดสายตาให้สบตามอง
เขาหรี่ตาลง ก่อนจะสบตามองไปในอากาศ “เธอเรียกฉันว่าอะไรนะ?”
“สามี” เฉินจื่อโร่วเรียกใหม่ด้วยประโยคเดิมอีกครั้ง
นัยน์ตาของสือเพ่ยหลินเข้มขึ้นกว่าเดิม เขาอุ้มเฉินจื่อโร่วขึ้น ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นแล้วก็ต้องทำเรื่องที่สามีควรจะต้องทำแล้วล่ะ”
เดิมทีเฉินจื่อโร่วคิดแค่ว่าอยากจะเรียกให้สือเพ่ยหลินกลับมาเท่านั้น ไม่ให้เขาได้ไปเดตกับผู้หญิงคนอื่น แต่ทว่ากลับคิดไม่ถึงเลย หลังจากที่เขาเห็นเธอแล้วนั้น ก็มีความปรารถนาขึ้นมาเลยเสียอย่างนั้น
เธอปลื้มปีติทันที เขายังคงมีความรู้สึกต่อเธอมากที่สุดอยู่สินะ! อีกอย่างสองวันนี้เป็นวันตกไข่ ทำมากขึ้นความหวังก็ยิ่งมีมากขึ้น!
สือเพ่ยหลินอุ้มเฉินจื่อโร่วมาวางเอาไว้บนเตียง ก่อนจะก้มลงไปประกบริมฝีปากจูบ
ในสมองของเขา เป็นอีกครั้งที่ฉายภาพหลานเสี่ยวถางที่กำลังเต้นรำอยู่กลางลานกว้าง เอวคอดกิ่ว รูปร่างโค้งนูนสมส่วน อีกทั้งยังมี นัยน์ตาที่ราวกับว่ากำลังห่างไกลอยู่นับพันลี้นั้นอีก
เขาจูบไป พลางคิดไป ว่าทำไมที่ผ่านมาเขาไม่เลยค้นพบเลยว่าดวงตาของเธอสามารถทำให้คนหวั่นไหวได้มากถึงขนาดนั้นกันนะ?
ในตอนที่ยิ้ม เต็มไปด้วยแสงสีทอง ตอนไม่ยิ้ม ราวกับว่ากำลังซ่อนเร้นความสวยงามเอาไว้อยู่เลย
เขาจูบไป พลางถอดเสื้อผ้าของเฉินจื่อโร่วไปพลาง ไม่นานนัก ร่างทั้งร่างของเธอก็เปลือยเปล่าเป็นที่เรียบร้อย
ในตอนที่กำลังจะเข้าไปนั้น ก็มองเห็นเฉินจื่อโร่วกำลังมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน หางตาของเธอเชิดขึ้นสูง ในตอนที่กำลังหรี่ตาลงมานั้นเอง ราวกับว่ากลายเป็นจิ้งจอกที่เหนื่อยล้า
สือเพ่ยหลินตกตะลึงไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะขมวดคิ้วแน่น ร่างทั้งร่างราวกับว่าถูกทำให้แข็งเป็นไม้
เฉินจื่อโร่วเห็นเขาไม่ทำต่อไป จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “สามีคะ พี่เป็นอะไรไปน่ะ?”
สือเพ่ยหลินลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันไปเอ่ยกับเฉินจื่อโร่วว่า “รอฉันประเดี๋ยวหนึ่งนะ” พูดไป เขาก็วิ่งไปที่อีกห้องหนึ่งแล้ว หลังจากนั้นก็เปิดตู้ออก แล้วหยิบไวน์แดงจากด้านในออกมา
ในตอนที่เขากลับมา ก็หันไปเอ่ยกับเฉินจื่อโร่วว่า “ดื่มสักนิดแล้วค่อยทำต่อนะ”
เฉินจื่อโร่วยิ่งไม่เข้าในสือเพ่ยหลินเข้าไปกันใหญ่ อีกทั้งยังเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “หรือว่าอยากที่จะเพิ่มอารมณ์กันคะ?”
สือเพ่ยหลินไม่ได้ตอบเธอกลับ แต่ทว่ากลับเทให้เธอแก้วหนึ่ง หลังจากนั้น ตนเองก็ยกดื่มขึ้นจากปากขวดโดยตรง
เสียงอึกอักของของเหลวในขวดไหลลงเข้าสู่กระเพาะ ในไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเอง ฤทธิ์ของแอลกอฮอล์เริ่มทำงาน สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าสมองของเขาเริ่มมึนงงเล็กน้อยแล้ว สายตา ก็เริ่มพร่ามัวมากขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
เขายกยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนจะถอดเสื้อผ้าของตนเองออก หลังจากนั้นจึงเดินตรงคร่อมเฉินจื่อโร่วอีกครั้ง
ในความล่องลอย ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเริ่มเลือนราง ก่อนจะค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นชัดเจน กลายเป็นอีกใบหน้าของคนอีกคนหนึ่ง
ไฟรุ่งโรจน์ในดวงตาของเขาถูกรูปร่างของเธอจุดขึ้น เขาคว้าหมับเข้าที่ช่วงเอวด้วยความพอใจ ร่างทั้งร่างโน้มไปทางด้านหน้า ก่อนจะใส่มันเข้าไปด้านใน
เฉินจื่อโร่วก็ดื่มไวน์ไปเล็กน้อยเหมือนกัน ถึงแม้จะไม่มาก แต่ทว่าก็สามารถทำให้ร่างกายของตนเองตื่นเต้นขึ้นมาได้
เธอสวมกอดสือเพ่ยหลินด้วยความดีใจ รู้สึกได้ถึงตัวตนของเขาที่เข้า ๆ ออก ๆ ดังนั้น จึงยกสะโพกขึ้นสวนกลับ
สือเพ่ยหลินรู้สึกว่าร่างทั้งร่างของตนเองเบาหวิวขึ้นมาเล็กน้อย จุดที่ทั้งสองคนเชื่อมต่อกันนั้นร้อนรุ่มราวกับกำลังแผดเผาอยู่
เขาอ้าปากพ่นลมหายใจที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา ก่อนจะยื่นตัวไปพรมจูบเข้าที่หน้าอกของเฉินจื่อโร่ว
เธอถูกการกระทำของเขาทำให้ต้องส่งเสียงคราวอย่างแผ่วเบาออกมา ร่างทั้งร่างราวกับจะเหลวกลายเป็นน้ำ
สือเพ่ยหลินเร่งเครื่องเต็มกำลัง ลูกกระเดือกของเขาขยับตัวขึ้นลง การกระทำก็เริ่มเร็วขึ้น
ภายในห้อง มีเสียงเร่าร้อนเต็มไปหมด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรือเปล่า วันนี้สือเพ่ยหลินรู้สึกว่ามันดีมากเป็นพิเศษ เขาโอบกอดนางเงือกโฉมงามเอาไว้ในอ้อมแขน เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง ไม่หยุดที่จะแปรเปลี่ยนท่วงท่าไปมาเลย
สุดท้าย เขาก็ปลดปล่อยเข้าไปในส่วนลึกของหญิงสาว รู้สึกเพียงแค่ว่าในสมองมีแสงลำหนึ่งพาดผ่านไป ในความล่องลอยนั้นราวกับว่าได้มองเห็นแสงสว่างจากมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
สือเพ่ยหลินหายใจเข้าออกอย่างพึงพอใจ ก้มลงไปสวมกอดคนในอ้อมกอด ก่อนจะครางออกมาครั้งหนึ่งว่า “เสี่ยวถางครับ……”